"การออกแบบและงานระบบป้องกันน้ำท่วม" ทำได้อย่างไร?
เขียนบทความโดย RISC | 1 ปีที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 1 ปีที่แล้ว
เข้าสู่หน้าฝนทีไร ปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนต้องว้าวุ่น!! คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้ำ ว่าจะเข้ามาท่วมบ้านเรารึเปล่า? หรือท่วมแล้วเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง?
ทุกความว้าวุ่นกังวลใจเหล่านี้ จริงๆ แล้วสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบและจัดการเรื่องงานระบบป้องกันน้ำท่วม ซึ่งมีหลายขั้นตอนและปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา เพื่อสร้างระบบให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยขั้นตอนจะมีตั้งแต่...
- การประเมินความเสี่ยง: เริ่มต้นการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ของเรา อย่างเช่น ประเมินแหล่งน้ำที่อาจเกิดน้ำท่วม ความเสี่ยงจากพายุ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของน้ำท่วม ดังนั้นผู้ที่ออกแบบแปลนพื้นที่ภายในบริเวณบ้านต้องสำรวจระดับความสูงของน้ำในปีที่ผ่านมา หรืออาจจะย้อนหลังเป็น 10 ปี เพื่อที่จะหาระดับของพื้นที่บ้านให้เหมาะสมในการสร้างบ้าน
- การออกแบบระบบระบายน้ำ: ออกแบบระบบระบายน้ำให้มีความเหมาะสม เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฝนตกหนักหรือน้ำท่วม ซึ่งระบบนี้สามารถรวมถึงรางน้ำ ท่อระบายน้ำ และอาจจะมีระบบสูบน้ำทิ้ง หากบ้านอยู่ต่ำกว่าระดับระบายน้ำของสาธารณะ
- การป้องกันการซึมเข้าบ้าน: มีหลายเหตุการณ์ที่ตัวบ้านอยู่ต่ำกว่าระบบระบายน้ำของสาธารณะ ส่งผลให้น้ำสามารถซึมลอดผ่านเข้ามาตามท่อระบายน้ำได้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน เราอาจต้องเตรียม "ซีลเลอร์" หรือ วัสดุป้องกันน้ำซึม เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่เข้ามาผ่านช่องโหว่ หรือรอยร้าวในโครงสร้าง เช่น ซีลเลอร์คอนกรีต และกระสอบทรายอุดตามบ่อพักของระบบระบายน้ำ
- การสร้างกำแพงและอุปกรณ์ป้องกัน: การสร้างกำแพงหรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้ามาในพื้นที่ เป็นขั้นตอนสุดท้ายแต่เป็นขั้นตอนที่ต้องป้องกันแรกสุด คือ ทำกำแพงหรือออกแบบประตูที่สามารถใช้งานอุปกรณ์ป้องกันน้ำแบบง่าย เช่น ประตูป้องกันน้ำท่วม
หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมก่อกำแพง หรือกั้นกระสอบทราย และใช้วัสดุอุดรอยต่อเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าสู่ตัวบ้านอย่างมั่นคงแข็งแรงแล้วยังเกิดเหตุน้ำท่วมภายในบ้านอีก”
นั่นก็เพราะยังมีจุดที่มักจะถูกมองข้าม และทำให้เกิดความล้มเหลวในการป้องกันน้ำจากภายนอกเข้ามาในตัวบ้าน นั่นก็คือ “ระบบท่อน้ำทิ้ง” นั่นเอง
โดยปกติแล้วน้ำทิ้งจะไหลออกจากตัวอาคารผ่านท่อน้ำทิ้งที่อยู่สูงกว่า ลงสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะที่อยู่ต่ำกว่า แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมระดับน้ำในท่อระบายน้ำสาธารณะจะสูงกว่าระดับท่อน้ำทิ้ง จึงทำให้น้ำจากภายนอกไหลย้อนกลับเข้ามาในตัวบ้าน ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันน้ำไหลย้อนกลับทางท่อน้ำทิ้งด้วย
“ระบบป้องกันน้ำไหลย้อน” เป็นระบบที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับเข้ามาในตัวบ้านผ่านทางท่อน้ำทิ้ง (หรือท่อประปา) ซึ่งจะใช้ได้ในกรณีที่เราสามารถป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้ามาในตัวบ้านผ่านทางอื่นๆ ได้ (ระบบนี้ใช้ได้กับกรณีที่ระดับน้ำท่วมภายนอกสูงประมาณ 50 – 60 ซม.) หลักการทำงานของระบบป้องกันน้ำไหลย้อน เพื่อป้องกันน้ำท่วมจากภายนอกที่มีระดับน้ำสูงกว่าไหลย้อนเข้ามาในบ้านผ่านระบบท่อน้ำทิ้ง โดยขนาดของระบบป้องกันน้ำไหลย้อนจะมีขนาดแตกต่างกันไปตามขนาดและปริมาณการใช้น้ำในแต่ละบ้าน อย่างเช่น บ้านขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ควรสร้างบ่อพักน้ำเสียขนาดไม่น้อยกว่า 50 x 50 x 50 ซม. (กว้าง x ยาว x ลึก) และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการติดตั้งเครื่องสูบน้ำหรือปั๊มไดโว่ (เครื่องสูบน้ำหรือปั๊มไดโว่ต้องใช้ไฟฟ้า จึงควรเดินสายไฟฟ้าเข้าไปยังภายในตัวบ้าน เพื่อให้สะดวกต่อการปิด-เปิดระบบสูบน้ำ) ที่มีขนาดท่อสูบน้ำเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว เพื่อต่อท่อ PVC หรือสายยางเพื่อสูบออกไปภายนอกอาคารหรือนอกรั้ว แล้วทำการติดตั้งวาล์วน้ำ (ประตูน้ำหรือวาล์วปีกผีเสื้อขนาด 6 นิ้ว) หรือใช้วิธีติดตั้งชุดท่อสั้นฝาปิดหน้าจาน ให้กับท่อน้ำทิ้งที่จะระบายน้ำจากบ่อพักน้ำเสียออกไปยังท่อระบายน้ำสาธารณะ เพื่อปิดในกรณีที่ระดับน้ำภายนอกสูงกว่าภายใน และเปิดเมื่อระดับน้ำภายในสูงกว่าภายนอก
หลังจากที่ระบบป้องกันน้ำท่วมถูกสร้างขึ้นแล้ว ควรหมั่นทำการทดสอบระบบ ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เช่น ก่อนเข้าหน้าฝนต้องตรวจสอบ ระบบระบายน้ำว่ามีสิ่งอุดตันในระบบหรือเปล่า ที่จุดเชื่อมต่อกับระบบระบายน้ำสาธารณะถ้ามีการติดตั้งระบบสูบน้ำต้องตรวจสอบตัวเครื่องจักร หรือเตรียมเชื้อเพลิงให้พร้อม หรือจะเป็นปั๊มที่ใช้ระบบไฟฟ้าก็ควรตรวจสอบการชำรุดของสายไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ในระบบให้มีความพร้อมใช้งานตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้งานอย่างทันท่วงทีและปลอดภัย
นอกจากนี้ ควรมีแผนการปฏิบัติฉุกเฉินเมื่อเกิดน้ำท่วม การเตรียมตัวของสมาชิกในบ้านจะได้ไม่เกิดความตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์ รวมทั้งประเมินผลหลังจากน้ำท่วม เพื่อดูว่าระบบป้องกันน้ำท่วมทำงานดีหรือไม่ หรือต้องมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกหรือไม่ในอนาคต
เนื้อหาโดย คุณ มนตรี ภูแล่นคู่ วิศวกรวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญด้าน Well-Being Research Integration และ Building Infrastructure, RISC