Knowledge - RISC

หน้าฝนนี้...อย่าให้ไฟรั่ว ไฟดูด มาทำพิษ!

เขียนบทความโดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

แก้ไขล่าสุด : 2 เดือนที่แล้ว

524 viewer

เข้าหน้าฝนเมื่อไหร่ หลายบ้านต้องเจอกับปัญหาไฟรั่ว ไฟดูด จนกลายเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะนอกจากจะไม่สะดวกสบายแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตคนในบ้านอีกด้วย ​

เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ในบ้านอย่างปลอดภัยและมีความสุข วันนี้ RISC มีวิธีป้องกันง่ายๆ มาแนะนำกัน...​

ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันตั้งแต่....​

"การออกแบบระบบไฟฟ้า" ให้ได้มาตรฐานตามหลักการที่ถูกต้องตามประเภทการใช้งาน บทความนี้เราจะพูดถึงระบบไฟฟ้าของบ้านเดี่ยว หรือทาวส์โฮมเท่านั้น (ส่วนของอาคารสูง หรือคอนโดมิเนียม จะมีการกำหนดมาตรฐานในการออกแบบสำหรับอาคารสูงหรือใหญ่พิเศษ)​

การออกแบบระบบไฟฟ้าภายในบ้าน ให้ถูกต้องและคำนึงถึงปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ไฟฟ้า เช่น ไฟรั่ว ไฟดูด หรือไฟไหม้ ซึ่งการออกแบบจะต้องมีปัจจัยต่างๆ ตามนี้ ไม่ว่าจะเป็น...​
1. เลือกใช้สายไฟที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน มอก. หรือ IEC กำกับ และเหมาะกับการใช้งาน โดยทั่วไปสายไฟสำหรับใช้ในบ้านควรมีขนาดตามโหลดการใช้งาน และเหมาะสมกับขนาดอุปกรณ์ป้องกันวงจรแต่ละประเภท​
2. แยกวงจรแสงสว่าง และเต้ารับไฟฟ้าออกจากกัน รวมทั้งควรมีการแยกวงจรไฟฟ้าในห้องครัว ห้องน้ำ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสูง เช่น เครื่องปรับอากาศ เตาอบ เป็นต้น​
3. ติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย และควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว (RCD) และอุปกรณ์ตัดวงจรไฟฟ้า (MCB) ในตู้ไฟฟ้า เพื่อป้องกันไฟดูดและกระแสไฟฟ้าเกิน หรือจะติดตั้งอุปกรณ์ทั้งป้องกันไฟดูดและแรงดันเกิน (RCBO) ก็ได้​


ภาพที่ 1 จาก PMK Corporation Ltd.​


ภาพที่ 2 จาก PMK Corporation Ltd.​

มาดูในส่วนของ "การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว หรือ Residual Current Device (RCD)" ส่วนมากจะติดตั้งในตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต ในบ้าน ซึ่งเครื่องนี้มีหน้าที่ตัดไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยจะตัดกระแสไฟฟ้าภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเข้าและออก มีค่าไม่เท่ากัน หรือก็คือมีกระแสไฟฟ้าบางส่วนที่รั่วหายไป เช่น รั่วไหลจากเครื่องใช้ไฟฟ้าลงดิน หรือกระแสไฟฟ้ารั่วผ่านคนที่ไปสัมผัสอุปกรณ์ที่มีไฟรั่วอยู่ ​

เครื่องตัดไฟรั่ว อาจมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น เครื่องตัดวงจรกระแสเหลือ (RCD, RCBO, RCCB) หรือเครื่องตัดกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน (ELCB, GFCI) โดยจะถูกนำไปใช้งานร่วมกับเซอร์กิต เบรกเกอร์ ประเภทอื่นๆ เช่น เบรกเกอร์ลูกย่อย MCB หรือ เบรกเกอร์ MCCB แต่ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายจะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ก็คือ 1) RCCB (Residual Current Circuit Breakers) สามารถใช้ตัดวงจรได้เฉพาะกรณีเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วอย่างเดียว จึงมักต้องติดตั้งร่วมกับฟิวส์หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์เสมอ, 2) RCBO (Residual Current Circuit Breakers with Overload protection) สามารถใช้ตัดวงจรได้ทั้งกรณีเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว, กระแสไฟฟ้าเกิน และกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และ 3) ELCB (Earth Leakage Circuit Breaker) เบรกเกอร์กันไฟดูด ตรวจจับไฟฟ้ารั่วและตัดไฟ รวมทั้งการป้องกันอันตรายจากไฟรั่ว​

คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของเครื่องตัดไฟรั่วกัน อย่างแรกคือ ป้องกันไม่ให้คนถูกไฟฟ้าดูด อย่างที่สองคือใช้ป้องกันอัคคีภัยที่อาจเกิดจากไฟฟ้ารั่วในวงจรไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า และสุดท้ายใช้ตรวจสอบว่ามีจุดใดกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน เพื่อจะได้แก้ไขต่อไป ส่วนตำแหน่งการติดตั้ง ก็สามารถทำได้ 2 แบบ คือ​
1.  ติดตั้งที่แผงเมนสวิตช์ เช่น ติดตั้ง RCBO แทนเซอร์กิตเบรกเกอร์เมน กรณีนี้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันอัคคีภัยเป็นหลัก​
2. ติดตั้งที่วงจรย่อย เช่น ติดตั้ง RCCB กรณีนี้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันอันตรายต่อบุคคลจากการถูกไฟฟ้าดูดเป็นหลัก​

สำหรับการเลือกเครื่องตัดไฟรั่ว เราจำเป็นจะต้องดูข้อกำหนดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น...​
1. ต้องผลิตและผ่านการทดสอบตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เครื่องตัดไฟรั่วชนิด RCBO มอก. 909-2548 หรือ เครื่องตัดไฟรั่วชนิด RCCB มอก. 2425-2552​
2. ต้องมีพิกัดกระแสไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 30 มิลลิแอมแปร์ เพื่อป้องกันอันตรายต่อบุคคลจากการถูกไฟฟ้าดูด​
3. ต้องติดตั้งร่วมกับสายดิน เพราะสายดินจะช่วยนำไฟฟ้าที่รั่ว ไหลลงดินโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อคนที่สัมผัส และยังช่วยให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน (เซอร์กิตเบรกเกอร์) รวมทั้งช่วยให้ RCD สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ​
4. ติดตั้งในวงจรย่อยที่มีความเสี่ยง เช่น บริเวณที่เปียกชื้น ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องครัว ห้องใต้ดิน วงจรไฟฟ้าภายนอกอาคาร รวมถึงวงจรย่อยสำหรับเครื่องทำน้ำอุ่น หรืออ่างอาบน้ำ​
5. RCD ต้องมีพิกัดกระแสไม่น้อยกว่า พิกัดกระแสของเครื่องป้องกันกระแสเกิน​
6. ต้องเป็นชนิดที่ปลดสายไฟทุกเส้นออกจากวงจรรวมทั้งสายนิวทรัล ยกเว้นสายนิวทรัลนั้นมีการต่อลงดินโดยตรงแล้ว​
7. ติดตั้ง RCD ที่ตำแหน่งหลังจากเซอร์กิต เบรกเกอร์เมน โดยเลือก RCD ขนาดพิกัดกระแสรั่วมากกว่า 30 mA (เช่น 100 mA หรือ 300 mA) และควรเป็นชนิดหน่วงเวลา (type S)​

นอกจากนี้ การตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟอยู่เป็นประจำก็สามารถช่วยให้เราปลอดภัยจากการถูกไฟฟ้าดูด หรือไฟฟ้ารั่วได้อีกทางนึง ซึ่งสามารถทำได้ตามนี้...​
1. ตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านว่ามีการชำรุดหรือไม่ หากพบว่ามีการชำรุดหรือฉีกขาด ควรรีบซ่อมหรือเปลี่ยนทันที โดยช่างผู้ชำนาญ​
2. หมั่นทำความสะอาดแผงควบคุมไฟฟ้าและตู้ไฟ เพื่อป้องกันการเกิดความชื้นและฝุ่นละอองที่อาจทำให้เกิดการลัดวงจร​
3. ควรตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าดูด หรืออุปกรณ์ป้องกันการลัดวงจร 6 เดือนครั้ง หรืออย่างน้อยควรมีการตรวจสอบปีละครั้ง โดยกดที่ปุ่มทดสอบการทำงาน (Test Button) ที่ RCD​
4. ตรวจตู้โหลดไฟฟ้าเพื่อดูระบบกราวด์ว่ายังอยู่ในสภาพค่ากราวด์และระบบสายดินเป็นไปตามมาตรฐานที่การไฟฟ้ากำหนด โดยช่างผู้ชำนาญ​
5. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟรั่ว โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกหนักหรือมีพายุฟ้าร้อง อย่างเช่น เครื่องซักผ้า หรือเตารีด แต่หากจำเป็นต้องใช้ ก็ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย​
6. หลีกเลี่ยงการสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยมือเปียก การสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยมือที่เปียกหรืออยู่ในพื้นที่ที่เปียกชื้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าดูด ดังนั้นควรเช็ดมือให้แห้งก่อนใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้ง​

​ในบทความต่อไป เราจะมาเรียนรู้กันว่า "ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจากการถูกไฟฟ้าดูด เราควรรับมือและปฏิบัติอย่างไร ถึงจะถูกต้องและปลอดภัย"​

เนื้อหาโดย คุณ มนตรี ภูแล่นคู่ วิศวกรวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญด้าน Well-Being Research Integration และ Building Infrastructure, RISC

© 2024 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน