บ้านแบบไหน...ที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้?
เขียนบทความโดย RISC | 1 วันที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 1 วันที่แล้ว
หน้าฝนแบบนี้ “บ้าน” ควรเป็นที่พักใจ ไม่ใช่แหล่งสะสมภูมิแพ้
ปัจจุบันเราใช้เวลากว่า 90% ของชีวิตอยู่ในอาคาร โดยเฉพาะในบ้านพักอาศัย ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจ แต่...บางครั้ง "บ้าน" กลับกลายเป็นแหล่งสะสมของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา และสารระเหย VOC โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง อากาศปิด และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
“โรคภูมิแพ้” กลายเป็นโรคประจำบ้านของคนไทยไปแล้ว โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งคนกลุ่มนี้มักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากกว่ากลุ่มวัยทำงาน ซึ่งความน่ากังวลก็คือ หลายครั้งเราไม่รู้ว่าอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจาก “บ้านของเราเอง”
อาการภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย และผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงกว่า 60%RH ติดต่อกันหลายวัน สามารถเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว
แล้วอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ภายในบ้าน
จากการศึกษาพบว่า
▪️ ไรฝุ่น (Dust mites): มากกว่า 80% ของบ้านในเขตเมืองมีไรฝุ่นในระดับสูงกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะบนที่นอน พรม และโซฟา
▪️ เชื้อรา (Mold): เชื้อราในบ้านมักเกิดจากความชื้นสะสม เช่น ใต้อ่างล้างมือ ห้องน้ำ หรือผนังที่รั่วซึม พบว่า เชื้อราในบ้านเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของการเกิดโรคหืด และภูมิแพ้ในเด็กอย่างมีนัยสำคัญ
▪️ ขนสัตว์และโปรตีนจากสัตว์เลี้ยง (Pet Dander): สารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงไม่ได้มาจากขนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโปรตีนในน้ำลาย สะเก็ดผิวหนัง หรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง และเกาะติดตามเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้า กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้แม้จะไม่ได้ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นบนเตียงหรือโซฟา
▪️ มลพิษในอาคาร (Indoor Air Pollution): อากาศภายในบ้านสามารถมีมลพิษสูงกว่าภายนอก 2–5 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปิดทึบ และไม่มีการระบายอากาศที่ดี
▪️ สารระเหยอินทรีย์ (VOCs) จากวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์: วัสดุก่อสร้างบางชนิด สีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด หรือพรม อาจปล่อยสารระเหยอินทรีย์ (Volatile Organic Compounds - VOCs) เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ออกมาในอากาศ สารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การระบายอากาศที่ไม่ดีในช่วงหน้าฝนอาจทำให้สารเหล่านี้สะสมในบ้านมากขึ้น
เมื่อเราทราบถึงปัจจัยที่ทำให้เป็นภูมิแพ้ ก็ถึงเวลาที่เราจะลดปัจจัยเหล่านี้กัน ด้วยการ...
▪️ การจัดการไรฝุ่น: ไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในบ้าน โดยเฉพาะบนเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์บุผ้า การจัดการไรฝุ่นอย่างถูกวิธีจะช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้อย่างมาก
▪️ การทำความสะอาดเครื่องนอน ควรซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิอย่างน้อย 50-60 องศาเซลเซียส เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อฆ่าไรฝุ่นและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกไป การใช้ผ้าคลุมที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น ซึ่งทอด้วยเส้นใยที่แน่นหนาจนไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่านทะลุได้ ก็เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น
▪️ การดูดฝุ่น ควรดูดฝุ่นที่นอน หมอน พรม และโซฟาผ้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แนะนำให้เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA filter) ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กอย่างมูลไรฝุ่นได้ดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป รวมทั้งการใช้เครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีระบบสั่นสะเทือนและแสง UV เพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
▪️ การเพิ่มระบบระบายอากาศเพื่อลดความอับชื้นในบ้าน: อากาศในบ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนมักจะหมุนเวียนช้า การปิดหน้าต่างเพื่อกันฝน กลายเป็นกับดักให้มลพิษในอากาศภายในสะสม เช่น สารระเหย VOC จากสีทาภายในและเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ และเชื้อรา ดังนั้นการออกแบบบ้านที่มีอัตราการหมุนเวียนอากาศ ร่วมกับการใช้แผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) ช่วยลดความเข้มข้นของมลพิษที่สะสมภายในบ้านได้ และลดอาการภูมิแพ้ในผู้อยู่อาศัย โดย...
▪️ เพิ่มการระบายอากาศแบบธรรมชาติ (Passive Ventilation) ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้าต่างให้ลมผ่านได้ เช่น Cross-Ventilation หรือการเปิดหน้าต่างระบายอากาศในบ้าน เมื่ออากาศภายนอกอาคารมีคุณภาพอากาศดี โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว
▪️ ติดตั้งระบบเครื่องกล โดยเฉพาะพื้นที่ใช้งานหลักอย่างห้องนอน หรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบเครื่องกลเพื่อช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศ เช่น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ, การติดตั้งระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh Air), ระบบ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation เป็นต้น รวมทั้งใช้เครื่องกรองอากาศที่มีไส้กรอง HEPA และ Activated Carbon Filter และควรหมั่นทำความสะอาดระบบระบายอากาศ และระบบเครื่องกลที่ติดตั้ง เช่น ล้างแอร์เป็นประจำ ทุก 6 เดือน รวมทั้งทำความสะอาด เปลี่ยนไส้กรองระบบ ERV และเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น
▪️ ติดตั้งเซนเซอร์ หรือใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ใช้งานประจำ เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ, ความชื้น CO2, PM2.5, VOC เป็นต้น
▪️ ควบคุมความชื้นในบ้าน: ช่วงฝนตกทำให้ระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อรา และไรฝุ่นเติบโต และหากความชื้นสูงกว่า 60% ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่นมากขึ้น ซึ่งการควบคุมความชื้นนั้นทำได้โดย...
▪️ การออกแบบเพื่อลดความชื้น โดยออกแบบช่องระบายอากาศในห้องอับ เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ควรมีพัดลมระบายอากาศ หรือช่องลมถ่ายเทอากาศ และเลือกวัสดุที่ไม่อุ้มน้ำ และไม่สะสมความชื้น
▪️ การปรับพฤติกรรมในบ้าน ด้วยการตรวจสอบเชื้อราใต้อ่างล้างหน้า ผนังห้องน้ำ ใต้พื้น และควรเปิดพัดลมช่วยไล่ความชื้นหลังล้างห้องน้ำ ส่วนการปรับแอร์ให้ใช้โหมดควบคุมความชื้น (Dry Mode) ในบางช่วงเวลาที่มีความชื้นสูง
▪️ การใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ให้เลือกขนาดตามพื้นที่ เช่น 20–50 ลิตร/วัน สำหรับห้องขนาด 20–40 ตร.ม. และตั้งค่าความชื้นที่ 45–55%
▪️ การออกแบบและเลือกวัสดุที่ไม่ก่อภูมิแพ้: วัสดุตกแต่งภายในที่มีพื้นผิวอุ้มน้ำ อมฝุ่น มักเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น สปอร์เชื้อรา รวมทั้งสารระเหยจากวัสดุก่อสร้าง สี เฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ และเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้ได้ ซึ่งสามารถทำได้โดย...
▪️ การออกแบบเพื่อทำความสะอาดง่าย ด้วยการออกแบบให้ไม่มีมุมอับที่ทำความสะอาดยาก ใช้พื้นผิวเรียบ ไม่สะสมฝุ่น และหลีกเลี่ยงการใช้พรมหนาแน่นในห้องนอน รวมทั้งเลือกผ้าม่านที่ซักได้ง่าย หรือใช้บานมู่ลี่แทน
▪️ ใช้วัสดุที่มีฉลากรับรอง โดยเลือกใช้วัสดุอาคารที่ได้รับฉลากเขียวจากไทย, GreenGuard, FloorScore รวมทั้งเลือกวัสดุที่ไม่ปล่อยสารระเหยต่างๆ วัสดุ Low-VOC หรือเลือกไม้ E1, E0
▪️ หลีกเลี่ยงใช้วัสดุที่ดูแลยาก ควรเลือกวัสดุ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย หลีกเลี่ยงการใช้พรม หรือผ้าม่านหนา แล้วหันมาใช้มู่ลี่ หรือม่านม้วนแทน ส่วนวัสดุปูพื้นควรเลือกแบบไม่อมฝุ่น รวมทั้งการใช้ดีไซน์แบบ Minimal เพื่อลดซอกหลืบเก็บฝุ่น
ในยุคที่ภูมิแพ้กลายเป็นโรคเรื้อรังของคนเมือง บ้านที่ดีต้องไม่ใช่แค่สวย หรือประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถดูแลสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้จริง หากเราสามารถออกแบบบ้านที่ระบายอากาศได้ดี ควบคุมความชื้น และเลือกวัสดุที่ปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภูมิแพ้ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัวได้อีกด้วย
ติดตามข้อมูลสุขภาวะอาคารเพิ่มเติมได้ที่ https://risc.in.th/knowledge
เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC
อ้างอิงข้อมูลจาก
World Health Organization. (2010). WHO guidelines for indoor air quality: selected pollutants. WHO Regional Office for Europe.
Environmental Protection Agency (EPA). (2021). Indoor Air Quality. Retrieved from https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq
Mendell, M. J., Mirer, A. G., Cheung, K., Tong, M., & Douwes, J. (2011). Respiratory and allergic health effects of dampness, mold, and dampness-related agents: a review of the epidemiologic evidence. Environmental Health Perspectives, 119(6), 748–756. https://doi.org/10.1289/ehp.1002410
Salthammer, T., Mentese, S., & Marutzky, R. (2010). Formaldehyde in the indoor environment. Chemical Reviews, 110(4), 2536–2572.
Johns Hopkins Medicine. (2020). Allergies and Asthma. Retrieved from https://www.hopkinsmedicine.org
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. (2564). รายงานสถานการณ์ฝุ่นและไรฝุ่นในประเทศไทย. กระทรวงสาธารณสุข.
Harvard T.H. Chan School of Public Health, Healthy Buildings: https://www.hsph.harvard.edu/healthybuildings/
WHO Guidelines for Indoor Air Quality: Dampness and Mould: https://www.euro.who.int/__data/assets/pdf_file/0017/433074/WHO-EHC-313-eng.pdf
CDC Healthy Homes Manual: https://www.cdc.gov/nceh/publications/books/housing/housing.htm
Jaakkola, J. J., et al. (2013). "Interior surface materials and asthma in school children: a case–control study." Indoor Air 23(3): 179-185.
WELL v2 Materials Concept: https://v2.wellcertified.com/en/materials
LEED v4 Low-Emitting Materials Credit: https://www.usgbc.org/node/2613953
UL GreenGuard Gold Product Guide: https://spot.ul.com