จุดเริ่มจาก “การกินเจ” สู่การออกแบบการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน
เขียนบทความโดย RISC | 1 วันที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 1 วันที่แล้ว
เมื่อพูดถึงเทศกาลถือศีลกินเจ เรามักจะนึกถึงช่วงเวลาของการไม่กินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ต้องการลดการเบียดเบียน หรือเลี่ยงการรบกวนชีวิตสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่จะลงมาดูแลปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถือศีล ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนที่บอกว่า การกินเจ 9 วัน 9 คืน จะเป็นการสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ในอดีตกาล และพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์
จากความเชื่อกลายเป็นเทรนด์รักสุขภาพ
ปัจจุบัน หลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น “การกินเจ” จึงกลายเป็นช่วงเวลา “เริ่มต้น” ของการ “ละการกินเนื้อสัตว์” เน้นการ “กินผักและผลไม้” โดยเอาเทศกาลเป็นตัวกระตุ้น และมีเพื่อนกินเจในเทศกาลนี้เยอะอีกด้วย
ด้านสุขภาพกาย การกินอาหารที่ปรุงจากพืชผัก ผลไม้ และธัญพืช เป็นการลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มใยอาหาร สร้างความสบายให้แก่ระบบย่อยอาหารลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานที่ราบรื่นของร่างกาย มีงานวิจัยยืนยันว่า การบริโภคพืชกลุ่มถั่วเป็นหลักช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ถึง 21% ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ถึง 11% ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้มากถึง 20.2 ล้านตัน นับเป็นการดูแลทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ด้านสุขภาพใจ การกินเจเป็นการกำหนดวินัยให้กับตนเอง และฝึกสติในทุกมื้ออาหาร จิตใจที่สงบจากการเลือกอย่างมีสติ คือหัวใจสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดี หรือ Well-being ซึ่งไม่ได้วัดเพียงจากร่างกายแข็งแรง แต่รวมถึงความสมดุลระหว่างกาย ใจ และสังคมด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกความเมตตา และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคารพ นับว่าเป็นอีกหนึ่งในแก่นแท้ของการสร้างสุขภาวะทั้งกาย และจิตใจอย่างสมบูรณ์
ที่สำคัญ การกินเจยังสะท้อนแนวคิด “การออกแบบพฤติกรรมที่ยั่งยืน” ผู้คนอาจเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติ 9 วันต่อปี ซึ่งหากคำนวณจากการประเมินของสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า หากการเปลี่ยนไปทานอาหารที่มาจากพืช สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อปีของแต่ละบุคคลได้ถึง 5.75 กิโลกรัมคาร์บอร์ต่อวัน การกินเจเป็นระยะเวลา 9 วัน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 50-55 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทียบกับการกินอาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือความตระหนักรู้ และความตั้งใจที่จะเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ในมิติของ Well-Being ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับการออกแบบพฤติกรรมที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานให้เกิดพฤติกรรมที่ดีอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การเลือกอาหารที่สดใหม่และมีประโยชน์ การตระหนักถึงที่มาของวัตถุดิบ หรือการลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและยั่งยืน
การกินเจจึงไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการออกแบบชีวิตสู่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาวให้มีคุณค่ามากขึ้น ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อเราตระหนักว่า “ทุกการเลือกคือการออกแบบ” เราก็สามารถปรับการกินเจ ไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
เนื้อหาโดย คุณ วชรกรณ์ มณีโชติ สถาปนิกวิจัย Well-Being Research Integration, RISC
อ้างอิงข้อมูลโดย
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2161831323000686
https://www.mdpi.com/2071-1050/12/19/8228
https://www.un.org/en/actnow/food