RISC

Knowledge Resilience

Resilience

หน้าฝนแล้ว พร้อมรับมือแล้วรึยัง?

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายจังหวะก็มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง​ แล้วมีใครสงสัยไหม? ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนได้โดยใช้หลักเกณฑ์อะไร​ กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่​ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และฝนตกต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามัน เข้ามาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก​ โดยปริมาณฝนจะมีปริมาณมากหรือน้อย น้ำจะท่วมหรือฝนทิ้งช่วงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า แต่ในช่วงนี้โลกกำลังอยู่ในสภาวะเป็นกลางจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมในบ้านเราในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และฝนมีแนวโน้มการกระจายตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจะยังคงอยู่กับเราไปจนถึงเดือนตุลาคม โดยในเดือนสิงหาคม และกันยายนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น ​ สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปจนหมดฤดูฝนของเรา คือการเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ลืมพกร่มทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน สวมใส่รองเท้าที่กันลื่น หลีกเลี่ยงสภานที่แออัดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคที่มากับฤดูฝนได้ง่าย และอย่างลืมตรวจเช็คยานพาหนะให้สมบูรณ์ พร้อมต่อการขับขี่ในฤดูฝนอย่างปลอดภัย แล้วเราจะแข็งแรง และปลอดภัยจนหมดฤดูฝนไปด้วยกัน​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

187 viewer

ทำไมปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีก่อน?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

สงสัยมั้ย ว่าทำไมปีนี้เหมือนจะร้อน แต่ก็ไม่ร้อนเมื่อเทียบกับปีก่อน แล้วอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาตั้งแต่ปลายเมษา มันเกิดอะไรขึ้น?​เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วร้อนมาก และร้อนกว่าปีนี้ เพราะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวโลกสูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม (ปี 1850 - 1900) ถึง 1.55 องศาเซลเซียส (± 0.13 องศาเซลเซียส) อ้างอิงจากรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติศาสตร์นั้นมีสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง ทั้งจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศสูงสุดในรอบ 8 แสนปี และจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง​โดยปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนั้น เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2023 และสูงสุดในช่วงต้นปี 2024 ส่งผลให้น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น อุณหภูมิโลกจึงสูงทุบสถิติ รวมไปถึงประเทศไทย เพราะในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 28.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ทุบสถิติในรอบ 74 ปี นับตั้งแต่ปี 1951 - 2024​แต่ในช่วงมิถุนายน ปี 2024 ปรากฏการณ์เอลนีโญเริ่มอ่อนกำลังลง และสิ้นสุดในช่วงปลายปี ก่อนที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเริ่มในช่วงมกราคมปีนี้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เคยสูงกว่าค่าเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย และทำให้อุณหภูมิโลกลดลงในช่วงต้นปีด้วยเช่นกัน แต่...ปรากฏการณ์ลานีญาในปีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ และสิ้นสุดลงในช่วงมีนาคมที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงสั้นๆ และทำให้ฤดูร้อนปีนี้ของเราไม่ร้อนจัด​จริงอยู่ที่ปี 2025 อุณหภูมิโลกจะลดลงจากปี 2024 แต่อย่านิ่งนอนใจ เพราะความร้อนที่ถูกสะสมในมหาสมุทรจากปี 2024 ก็ยังคงอยู่ และส่งผลให้ "อุณหภูมิโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว" การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรีบช่วยกันและดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/climate/summaryyearly​https://www.tmd.go.th/climate/El-Nino-La-Nina?show=25​https://www.cpc.ncep.noaa.gov/products/analysis_monitoring/enso_advisory/ensodisc.shtml?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/media/news/january-2025-sees-record-global-temperatures-despite-la-nina?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/news/media-centre/wmo-report-documents-spiralling-weather-and-climate-impacts?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExSTl4Vm85Zldwa0NZR1pnVgEeRsIDw0bfpWMgDWSE4OtG631k4VifzWwXia-mk80oEYs4t2Z6HGYAEHXXKyU_aem_6j0-pm_0CQ7VfuQ2MPMdvA#:~:text=The%20clear%20signs%20of%20human,social%20upheavals%20from%20extreme%20weather.&text=WMO's%20State%20of%20the%20Global,doubled%20since%20satellite%20measurements%20began​

369 viewer

การประเมินพื้นที่ด้วย GIS ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รายงานขององค์การสหประชาชาติ พบว่าปัจจุบันประชากรมากกว่า 58% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง และคาดว่าในปี 2050 จะมีประชากรเพิ่มมากขึ้นเป็น 68% จากรายงานจะเห็นว่า “การขยายตัวของความเป็นเมือง” กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง​ "การขยายตัวของความเป็นเมือง" เป็นปรากฏการณ์ที่เมือง หรือนครขนาดใหญ่ขยายตัวออกไป ทั้งในเชิงสถิติของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น และขอบเขตพื้นที่แผ่ขยายออกไป​ หากมองในมุมของการเติบโตของเมือง หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่...จริงๆ แล้วมีอะไรมากกว่านั้น​ จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อกระบวนการ "การกลายเป็นเมือง" (Urbanization) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากขาดการวางผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อาศัยในเมืองก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงในการดำเนินชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาวะดี (Well-Being) ในมิติต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ ด้านสภาพแวดล้อม และด้านสังคม​ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-informatics technology) จึงถูกนำมาใช้ เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การนำข้อมูลมารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ จะช่วยในการประเมินพื้นที่ ประกอบการวางแผน และการตัดสินใจในระดับเมือง ส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี (Well-Being) อย่างเช่น...​ ด้านสุขภาพ: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ และการกระจายเชิงพื้นที่ของการบริการตอบสนองความต้องการของประชากรที่ครอบคลุม ด้านสภาพแวดล้อม: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเข้าถึงพื้นที่สีเขียว เช่น ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยภายในเมืองรู้สึกผ่อนคลาย สนับสนุนให้ออกกำลังกาย ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ หรือการประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความมั่นคงทางการเงิน รวมไปถึงการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการตรวจสอบมลภาวะทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ​ ด้านสังคม: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอาชญากรรม เช่น การช่วยวางแผน ลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินให้คนในเมือง​ นอกจากนี้ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ยังเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ที่สามารถนำมาใช้ประเมินแนวโน้มการขยายตัวของเมืองได้ ช่วยในการวางผังเมืองและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เมืองเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาวะให้กับคนทุกกลุ่ม​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​ อ้างอิงข้อมูลจาก​ https://ourworldindata.org/grapher/share-of-population-urban?time=latest#sources-and-processing​https://unhabitat.org/programme/sustainable-development-goals-cities​https://population.un.org/wup/assets/WUP2018-Report.pdf​https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/regional-articles/reg-article-2023-10-09.html​https://www.okmd.or.th/okmd-opportunity/urbanization/256/​https://www.sdgmove.com/2021/01/25/sdg-updates-good-health-and-well-being/​https://www.sdgmove.com/2023/02/23/disparities-in-thailand-healthcare-services/​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=5935&lang=TH ​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=7964&lang=TH​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=2450&lang=TH

425 viewer

การเตรียมพร้อมกรณีฉุกเฉิน เตรียมตัวอย่างไรให้รอด พร้อมตั้งรับภัยพิบัติ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

จะต้องเตรียมตัวและตั้งรับอย่างไร...จึงจะรอด กับภัยพิบัติที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว ที่ไม่ได้แค่ส่งผลกระทบกับตัวอาคารและสภาพแวดล้อมที่เสียหายเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสภาวะจิตใจอีกด้วยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ของแผ่นเปลือกโลก Indian Plate และ Eurasian Plate ทำให้อาคารในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้รับความเสียหายไปด้วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือนในระยะไกล ประกอบกับสภาพชั้นดินที่อ่อนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงเหมือนเป็นการขยายสัญญาณให้เป็นแรงสั่นสะเทือนในรูปแบบคลื่นยาว​ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญมองว่า จากความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังถือว่าประเทศไทยเรามีการตั้งรับที่ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากหลายๆ อาคารมีการออกแบบ และก่อสร้างตามกฎหมาย ทำให้สถานการณ์คลายความกังวลไปได้ชั่วคราว​แต่...ถ้าวันหนึ่งจุดศูนย์กลางของการเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ประเทศไทย หรือเข้าใกล้มากขึ้น ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?​นอกจากอาคารสูงแล้ว บ้านเรือนทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว อีกทั้งอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ คงเสียหายเป็นวงกว้างมากกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เนื่องจากอาคารส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกบังคับด้วยกฎหมายควบคุมอาคารให้มีการคำนึงถึงการต้านทานแรงแผ่นดินไหว​อีกทั้งระบบระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางของเมืองทั้งหมด ที่อาจต้องหยุดชะงักเนื่องจากระบบถนนและการจราจรเสียหาย ระบบไฟฟ้า น้ำประปาถูกระงับ ระบบสัญญาณโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ตล่ม ส่งผลให้การสัญจร หรือการติดต่อสื่อสารเป็นอัมพาตได้ ซึ่งจากเหตุการณ์ล่าสุด เพียงแค่รถไฟฟ้าหยุดให้บริการไม่กี่ชั่วโมง ยังกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างได้ขนาดนี้​"การป้องกันปัญหา (Prevention)" และ "การบรรเทาผลกระทบ (Mitigation)" เป็นหนทางที่ลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด อย่างเช่น การออกแบบอาคารใหม่และเสริมสร้างอาคารเก่าเพื่อรองรับแรงแผ่นดินไหว, การออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงการป้องกันอัคคีภัย, การป้องกันน้ำท่วมโดยการยกระดับพื้น วางระบบคันกั้นน้ำ หรือโยกย้ายตำแหน่งเครื่องจักรและงานระบบอาคารให้พ้นระดับน้ำท่วม​สำหรับภัยธรรมชาติอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ เราจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ ไม่เพียงเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่ยังหมายรวมถึงอุทกภัย อัคคีภัย ไฟป่า มลพิษทางอากาศ สารเคมีระเบิด และอื่นๆ อีกมากมาย​ แล้วอะไรบ้างที่ "ต้องมีติดตัว" และอะไรบ้างที่ "ต้องมีติดบ้าน"?​ประเทศไทยยังไม่สามารถทุ่มงบมหาศาลในการลงทุนระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว (Earthquake Early Warning System) อย่างที่ประเทศญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกาใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เมื่อไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ โดยรู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้น การเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ (Disaster Preparedness) และการเตรียมการอพยพ (Evacuation Plan) จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ และควรทำทันที​อาคารสาธารณะ ที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก จำเป็นต้องตอบสนองอย่างทันสถานการณ์ และสื่อสารกับคนหมู่มากได้อย่างถูกต้อง กระชับ ฉับไว โดยที่มีหลายหน่วยงานจากทุกภาคส่วนให้ข้อมูลแนวทางอันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและนำไปปรับใช้ ตัวอย่างเช่น คู่มือการบริหารสถานการณ์วิกฤต กรณีเกิดแผ่นดินไหวสำหรับอาคารสาธารณะ และคู่มือการจัดการฉุกเฉินสำหรับอาคารสำนักงานในเหตุการณ์แผ่นดินไหว จัดทำและเผยแพร่โดยสมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร เป็นต้น​ที่พักอาศัย แนะนำให้ทุกบ้านมีการเตรียมพร้อม โดยมีสิ่งที่ต้องสำรองติดบ้านไว้เสมอ และต้องมีการหมุนเวียนนำของใหม่มาแทนของเก่าอย่างเป็นประจำ (Rolling Stock)​- น้ำดื่ม คือสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด ควรสำรองไว้ที่ขั้นต่ำ 3 วัน (โดยคำนวณความต้องการน้ำดื่มที่ปริมาณ 3 ลิตร ต่อคน ต่อวัน) และอาจต้องสำรองถึง 7 วัน หรือมากกว่านั้น ตามการประเมินความสามารถของพื้นที่ในการอยู่รอดได้ เพื่อรอการฟื้นฟู หรือมีการช่วยเหลือจากส่วนกลาง​- อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง หรืออาหารสำเร็จรูป ควรเป็นรูปแบบที่สามารถรับประทานได้โดยไม่ปรุง หรือไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า และคำนึงถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอด้วย โดยเฉพาะโปรตีน​- อุปกรณ์สำหรับการขับถ่าย เช่น ถุงพลาสติก​- กระเป๋าฉุกเฉินสำหรับตนเอง สมาชิกในครอบครัว และสัตว์เลี้ยง กรณีที่จำเป็นต้องอพยพออกจากที่พักอาศัยไปยังศูนย์พักพิง หรือสถานที่อื่นๆ ที่สามารถพกพาได้สะดวก​นอกจากการเตรียมรับมือขั้นต้นแล้ว Assoc. Prof. Dr. Yusuke Toyoda รองศาสตราจารย์ประจำ College of Policy Science และ Institute of Disaster Mitigation for Urban Cultural Heritage, Ritsumeikan University, Kyoto ประเทศญี่ปุ่น และนักวิจัยพันธมิตร (Researcher Alliance) แห่งสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ ให้ข้อมูลการศึกษาจากการถอดบทเรียนของประเทศญี่ปุ่นที่สำคัญซึ่งประเทศไทยเราอาจจะยังไม่ได้เตรียมรับมือเท่าที่ควร นั่นคือ...​การเสียชีวิตของผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเท่านั้น หากสภาพจิตใจและร่างกายที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้รับการเยียวยา ถึงแม้ได้รับการช่วยเหลือด้านที่พักพิงและปัจจัย 4 อื่นๆ แต่ต้องถูกแยกตัวออกจากสังคมเดิมจากความจำเป็นในการอพยพไปยังพื้นที่พักพิงอื่นที่มีจำนวนจำกัด โดยไม่มีครอบครัว หรือญาติมิตรอยู่ร่วมกันที่จะสามารถปรับทุกข์ดูแลกันและกันได้ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ในภายหลังเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย จากสถานการณ์เหล่านี้จึงต้องมีมาตรการจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยชั่วคราวโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของครอบครัว และความสัมพันธ์ในชุมชน (Social Networking) ร่วมด้วย เพื่อป้องกันปัญหาความเหงา และโดดเดี่ยวอันนำไปสู่อัตราการตายเดี่ยว (Lonely Death) หลังจากประสบภัยพิบัติได้ นั่นหมายความว่า การเตรียมรับมือทางด้านจิตใจและภาวะทางสังคมนั้นก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อมกายภาพ​อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ เมื่อวิเคราะห์จำนวนผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากอาคาร มีรายงานว่าสามารถรอดชีวิตได้จากการช่วยเหลือตนเองเป็นสัดส่วนมากที่สุด ถึงร้อยละ 34.9 รองลงมาคือรอดชีวิตจากการช่วยเหลือโดยสมาชิกในครอบครัว ร้อยละ 31.9 และโดยเพื่อนฝูงหรือเพื่อนบ้าน อีกร้อยละ 28.1 ในขณะที่อัตราการรอดชีวิตจากการช่วยเหลือโดยทีมกู้ภัย มีเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้น ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ฮันชิง-อาวาจิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2538 นั่นหมายความว่า "เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ อีกสิ่งที่สำคัญก็คือการพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด" โดยไม่หวังพึ่งหน่วยงานภาครัฐหรือส่วนกลาง เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้นแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะมีภารกิจที่ต้องดูแลรับผิดชอบอย่างหนักอย่างมากมายรออยู่ข้างหน้า​จากข้อมูลทั้งหมดเราเห็นได้ว่า จะต้องเสริมความแข็งแรงเพื่อป้องกันความเสียหาย หากลยุทธ์เพื่อบรรเทาผลกระทบ และวางแผนเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดภัย จึงจะแคล้วคลาดจากสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และคงจะเป็นการดีหากเราได้เตรียมพร้อมทั้งสภาพแวดล้อม ร่างกาย และจิตใจ สำหรับการรับมือกรณีฉุกเฉิน เพื่อเราสามารถช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือครอบครัวได้ และยังอาจเป็นที่พึ่งพาให้กับเพื่อนบ้าน และสังคมได้อีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC ​ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่​- สมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร. คู่มือการจัดการฉุกเฉินสำหรับอาคารสำนักงานในเหตุการณ์แผ่นดินไหว – การเข้าพื้นที่ของผู้เช่า (30 มีนาคม 2568).​https://drive.google.com/file/d/1Dg9PEC5RDRy1gmXfL0gXPTGxx8EBpSWS/view?fbclid=IwY2xjawJcPRxleHRuA2FlbQIxMAABHS8G5gyr_NOpaJLwf3MWXmQ289hIrwQRhjKSTndUE9WXcffIWtACD05OPg_aem_6GxVDRjM9gYhWaYn37w3AA​- สมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร. คู่มือการบริหารสถานการณ์วิกฤต กรณีเกิดแผ่นดินไหวสำหรับอาคารสาธารณะ เพื่อทีมผู้บริหารอาคาร (31 มีนาคม 2568).​https://drive.google.com/file/d/16xpcz_ryvs7O_E4uHVtJSnLQjQxYeIge/view?fbclid=IwY2xjawJcPbdleHRuA2FlbQIxMAABHVjviq9mNJfqqVKtVu9sOaFK_GUhfKpJFaqPW7EkzLHCfkWGkfa7SSx4kw_aem_2kWtm_hbgkGP8pnkBO4USg​- Japan Fire Research Association. Report on the Investigation into the Fires Caused by the 1995 Southern Hyogo Prefecture Earthquake (November 30, 1996).​- Japan Living Guide. Disaster preparedness: Stockpiling and emergency food in Japan (January 29, 2024).​https://www.japanlivingguide.com/expatinfo/emergencies/emergency-food/​

733 viewer

แผ่นดินไหวไม่ได้เกิดครั้งแรก แต่ทำไมรอบนี้เสียหายเยอะ?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

หากพูดถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบกับเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เราอาจจะนึกย้อนไปหลายปี จนรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือพูดง่ายๆ คือเป็นภัยพิบัติที่คนกรุงเทพฯ หลายคนอาจมองข้ามไปแล้วด้วยซ้ำ​ซึ่งจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2568 ครอบคลุมระยะเวลา 30 ปี พบว่ากรุงเทพฯ สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้รวมทั้งสิ้น 35 ครั้ง โดยจำแนกตามช่วงเวลาได้ตามนี้...​- พ.ศ. 2538–2548: จำนวน 7 เหตุการณ์​- พ.ศ. 2549–2558: จำนวน 17 เหตุการณ์​- พ.ศ. 2559–2568: จำนวน 13 เหตุการณ์​โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เกิดเฉพาะในอาคารสูง และมักมีลักษณะเบา ถึงปานกลาง แต่อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่แรงสั่นสะเทือนในกรุงเทพฯ มีความชัดเจนอย่างมาก จนตึกสูงทั่วเมืองโยกไหว และมีรายงานความเสียหายต่ออาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ชี้ให้เห็นว่าความถี่และระดับความรุนแรงของผลกระทบเริ่มเพิ่มขึ้น จนไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป​ในเมื่อแผ่นดินไหวไม่ได้เกิดครั้งแรก แล้ว.....ทำไมรอบนี้ถึงเสียหายเยอะกว่าที่ผ่านมา?​แม้ว่ากรุงเทพฯ จะไม่ได้ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนมีพลังโดยตรง และไม่ได้เป็นเขตเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวหลักของประเทศไทย แต่กลับรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นไกลอยู่บ่อยครั้ง โดยสามารถหาเหตุผลหลักทางธรณีวิทยาได้ดังนี้​1. ดินอ่อน: พื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ (และหลายจังหวัดในภาคกลาง) เป็นดินตะกอนแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะสมตัวมานานนับพันปี มีลักษณะเป็นดินเหนียวอ่อน (Soft Clay) ที่มีความลึกตั้งแต่ 10 - 30 เมตร ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญ คือ สามารถขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ เมื่อคลื่นแผ่นดินไหวเดินทางจากพื้นที่ห่างไกลมาถึงชั้นดินอ่อนของกรุงเทพฯ พลังงานของคลื่นอาจเกิดการ “ขยาย” แรงสั่นสะเทือนในบางความถี่ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในอาคาร โดยเฉพาะอาคารสูง ยังสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นไหวได้อย่างชัดเจน​2. แผ่นดินไหวความถี่ต่ำ: แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เกิดไกลจากกรุงเทพฯ มักปล่อยคลื่นแผ่นดินไหวในช่วงความถี่ต่ำ (Low-Frequency Seismic Waves) ซึ่งสามารถเดินทางได้ไกลได้ถึง 1,000 กิโลเมตร โดยพลังงานไม่หายไป และส่งผลกระทบกับอาคารสูง 10 ชั้นขึ้นไปโดยตรง ขณะที่บริเวณพื้นดินอาจแทบไม่รู้สึกอะไร (ตามกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา) ยิ่งโครงสร้างของอาคารถูกออกแบบมาให้สูง และยืดหยุ่นมากเท่าไร ความถี่ที่สั่นเองอย่างเป็นธรรมชาติของโครงสร้างอาคารก็จะสอดคล้องกับคลื่นของแผ่นดินไหวมากขึ้นเท่านั้น และเกิดการสั่นสะเทือน และ “โยก” อย่างมีนัยสำคัญ​แม้อาคารสูงที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีความเสี่ยงจากแรงสั่นสะเทือนมากกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อนซึ่งสามารถขยายแรงสั่นไหวได้ แต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นสามารถจัดการได้หากมีการออกแบบโครงสร้างตามมาตรฐานอย่างถูกต้อง โดยสามารถศึกษาแนวทางการออกแบบเพื่อความปลอดภัยในกรณีแผ่นดินไหวเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ (https://mqdc.link/4lfVStr) “มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดแผ่นดินไหว” โดย คุณสริธร อมรจารุชิต หนึ่งในผู้พัฒนามาตรฐานด้านการออกแบบอาคารเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีภายใต้ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC)​เนื้อหาโดย คุณ ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส แล Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions และ คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://earthquake.tmd.go.th/document.html​https://earthquake.tmd.go.th/documents/file/seismo-doc-1606435108.pdf​https://op.mahidol.ac.th/rm/wp-content/uploads/2018/06/earthquake_140516.pdf​

751 viewer

Resilience “Shock & Stress” Framework เครื่องมือที่จะทำให้เราพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

การเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ขยับเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที เห็นได้จากเหตุ “แผ่นดินไหว” เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา​จากเหตุการณ์ในวันนั้นเห็นได้ชัดว่า “การรับมือ” ล่วงหน้ามีผลอย่างมากต่อ “การอยู่รอด” ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในด้าน “Living & Infrastructure” ในข้อย่อย “Incident & Disaster” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ด้านหลักของ Resilience "Shock & Stress" Framework​ ​ทีม RISC เราได้พัฒนา "Resilience Framework Toolkit" เป็นเครื่องมือที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างการตระหนักรู้ให้เห็นถึงภัยพิบัติและปัญหาที่เกิดขึ้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ​• Nature & Environment​• Living & Infrastructure ​• Society & Economy ​เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า "Resilience Framework Toolkit" จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มองเห็น เข้าใจถึงปัญหา และคาดการณ์ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และวางแผนการพัฒนาเมือง ให้พร้อมตั้งรับและปรับตัวอย่างถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ ทั้งในระดับอาคาร ระดับชุมชน และระดับเมือง​เรามาดูการนำ "Resilience Framework Toolkit" ไปใช้ในแต่ละมุมมองกัน สั่งซื้อ Resilience Framework Toolkit ได้แล้ววันนี้​✅RISC LINE Official : risc_center​ (ราคาเล่มละ 600 บาท รวมค่าส่ง)✅DTGO CAMPUS ตึก Empty Cup, RISC Office (ชั้น 2) และ Forget-Me-Not Shop (ชั้น 3) ​(https://maps.app.goo.gl/kGLM3YcccNysnMcW9)​(พิเศษ!! ซื้อและรับด้วยตัวเอง ลดเหลือราคาเล่มละ 500 บาท)

574 viewer

มาตรฐานการออกแบบอาคาร เพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดแผ่นดินไหว

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

“ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนครั้งสุดท้าย”...ประโยคนี้มักเป็นข้อความฝากทิ้งท้ายหลังเหตุการณ์เลวร้ายเสมอ​เหตุการณ์แผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในเมืองไทย จึงทำให้หลายภาคส่วนมักมองข้ามเรื่องสำคัญไป นั่นก็คือเรื่อง “โครงสร้างอาคาร”​โครงสร้างอาคารมีความสำคัญแค่ไหน? ยังไง?​ทำไมจึงต้องมีการรับประกันความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร ในเมื่ออาคารโดยทั่วไปก็อยู่ได้เป็นร้อยปีอยู่แล้ว?​เชื่อว่าคำถามนี้ ได้รับคำตอบอย่างประจักษ์แล้ว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา และนับเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของคนไทย และยังถือเป็นการพิสูจน์ผลงานด้านวิศวกรรมของวิศวกรโครงสร้าง และผู้รับเหมาก่อสร้างได้เป็นอย่างดี​การออกแบบ และการคำนวณโครงสร้างอาคารที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่พิเศษ และอาคารสูง รวมถึงศาสนสถาน และอาคารสาธารณะที่มีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก จะถูกบังคับด้วยกฎหมายควบคุมอาคารตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ให้มีการคำนึงถึงการต้านทานแรงแผ่นดินไหว เช่น กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ.2564 ซึ่งได้ปรับปรุงจากปี พ.ศ.2550 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ.2564​แต่หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายของอาคารทั้งระดับเล็กน้อย ปานกลาง จนถึงรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่อาคารก่อสร้างใหม่ที่ทำตามกฎหมายฉบับใหม่ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมโครงสร้าง และสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน เพื่อ "ทบทวนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก และหาข้อสรุปสำหรับการออกแบบอาคารใหม่" ต่อจากนี้ ว่าการอ้างอิงกฎหมายปัจจุบันยังเพียงพออยู่หรือไม่ หรือควรต้อง "ปรับปรุงมาตรฐานอย่างไร?" อีกทั้งสามารถพิสูจน์ "ประสิทธิภาพของการออกแบบ และรายการคำนวณโครงสร้าง" ก่อนการก่อสร้างจริงได้ด้วยการจำลองทางคอมพิวเตอร์ ทดสอบในอุโมงค์ลม หรือเครื่องมือการทดสอบอื่นใดบ้าง นอกจากนี้ ควรมีบทพิจารณาทางกฎหมายถึงระดับของการออกแบบ และก่อสร้างเพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น ตามการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ตั้งโครงการนั้นๆ หรือไม่ และอย่างไร?​รวมถึงในกรณีบ้านพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือตึกแถว ที่ไม่อยู่ในขอบเขตการใช้บังคับของกฎหมาย จะสามารถปรับปรุงอาคารให้มีความปลอดภัยมากขึ้นได้อย่างไร? อีกทั้งรายละเอียดการประกันโครงสร้างบ้านที่ระบุในพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน และแบบมาตรฐานของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร อันคุ้มครองกรณีเกิดความเสียหายแก่โครงสร้างหลัก ได้แก่ เสาเข็ม ฐานราก เสา คาน พื้น โครงหลังคา และผนังรับน้ำหนัก ที่ครอบคลุมเป็นระยะเวลาเพียง 5 ปี ตั้งแต่วันที่โอนกรรมสิทธิ์นั้น ควรต้องทบทวนเช่นเดียวกันใช่หรือไม่​แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะส่วนงานวิศวกรรมโครงสร้างเท่านั้นที่สำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานอาคาร ในส่วนของมาตรฐานทางด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรม งานตกแต่งภายใน งานระบบ ตลอดจนส่วนประกอบอาคารต่างๆ ควรต้องถูกนำกลับมาทบทวนด้วยเช่นกัน​​RISC ในบทบาทของผู้พัฒนามาตรฐานด้านการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและมีสุขภาวะที่ดี ขอยกตัวอย่างข้อพิจารณามาตรฐานการออกแบบอาคาร เพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดแผ่นดินไหว ดังนี้​1. กระจกอาคาร - ไม่ควรร่วงหล่นหากมีการแตกร้าวหรือเกิดการขยับตัวของโครงสร้างจากแรงแผ่นดินไหว อันก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งาน และกีดขวางเส้นทางการอพยพ และควรเลือกใช้กระจกลามิเนตสำหรับกระจกเปลือกอาคาร ประตู หน้าต่าง และราวกันตก อีกทั้งไม่ควรใช้วัสดุประตูกระจกบานเปลือย สำหรับประตูบานขนาดใหญ่เกินขนาดมาตรฐาน โดยเฉพาะในบริเวณที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้งานเป็นประจำ หรือรับแรงลมสูง​2. สระว่ายน้ำ - ควรมีราวกันตกสูงจากขอบสระอย่างน้อย 1.20 เมตร หรือมีระยะร่นห่างจากขอบอาคารอย่างน้อย 2.00 เมตร กรณีเป็นสระว่ายน้ำแบบไร้ขอบ (Infinity Pool) เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานในสถานการณ์ปกติ ป้องกันวัตถุหรือคนพลัดตกจากอาคาร และป้องกันอันตรายต่อผู้คน และอาคารข้างเคียงจากน้ำล้นออกนอกสระเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน​3. ผนังภายในทั่วไป - หากมีการกรุทับด้วยวัสดุตกแต่ง หรือวอลเปเปอร์ ที่มักจะปิดกั้นความชื้น ปกปิดเชื้อรา และยังปกปิดรอยแตกร้าวด้วยเช่นกัน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจความเสียหายของโครงสร้าง และการรั่วซึมที่ผนัง​4. เฟอร์นิเจอร์และส่วนตกแต่งที่มีน้ำหนักมาก - สามารถล้มหรือร่วงหล่นได้ เช่น ตู้หนังสือ ตู้เก็บของ ควรมีการยึดติดแน่นเข้ากับพื้นหรือผนัง และมีการล็อคหน้าบานหรือราวกันตก ป้องกันสิ่งของที่อยู่ด้านในร่วงหล่น รวมถึงอุปกรณ์และส่วนตกแต่งที่มีโอกาสแกว่ง หรือไหวได้ เช่น โคมไฟ เครื่องปรับอากาศ ป้ายสัญลักษณ์ จะต้องมีจุดยึดที่แข็งแรง แน่นหนา​5. ประตูอาคารที่เป็นระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ - ที่นิยมใช้ในอาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้า ควรมีการออกแบบให้สามารถเปิดค้างไว้ได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และทำการทดสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ​6. งานระบบท่อน้ำไม่ควรฝังในโครงสร้าง - ที่ไม่สามารถตรวจสอบการรั่วซึม หรือสามารถซ่อมบำรุงได้ทันท่วงที อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว อาจมีการรั่วซึมหรือเกิดการชำรุดเสียหายของระบบท่อน้ำในอาคาร โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัย จึงควรออกแบบให้มีจุดระบายน้ำกรณีฉุกเฉินในพื้นที่ เช่น ที่พื้นบริเวณทางเดินส่วนกลาง เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้าห้องพักและห้องเครื่องลิฟต์​7. เส้นทางอพยพ ควรถูกกำหนดอย่างชัดเจน และจะต้องมั่นใจว่ามีไฟสำรองฉุกเฉินจ่ายมายังไฟแสงสว่าง และป้ายแสดงทางหนีไฟ เพื่อนำทางไปยังจุดรวมพลนอกอาคารได้ หากเหตุแผ่นดินไหวในช่วงกลางคืน หรือกระแสไฟฟ้าของอาคารถูกตัด ที่สำคัญคือต้องมีการประชาสัมพันธ์ และซักซ้อมการอพยพอย่างสม่ำเสมอ​8. ระบบเตือนภัย และพื้นที่หลบภัย - ที่เหมาะสมสำหรับเป็นพื้นที่พักรอการช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่มีกฎหมายบังคับใช้สำหรับอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกอาคาร โดยเฉพาะอาคารสาธารณะ​จากข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างมาตรฐานบางส่วนที่อาจเป็นประโยชน์กับอาคารอื่นๆ เพื่อนำไปปรับปรุงเพิ่มเติม โดย RISC จะมุ่งมั่นศึกษาวิจัย และพัฒนาองค์ความรู้เพื่อประยุกต์ใช้ในการออกแบบ และพัฒนาอาคารบ้านเรือนให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยมีประโยชน์ของผู้อยู่อาศัยเป็นที่ตั้ง​บทเรียนจากแบบทดสอบสถานการณ์จริงในครั้งนี้ ถือเป็นการซ้อมใหญ่สำหรับอาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรืออาคารที่ยังไม่ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงการอยู่รอดจากการเกิดแผ่นดินไหว หากการตื่นตัวเป็นเพียงกระแสที่ผ่านมา และยังถูกปล่อยให้ผ่านเลยไป แผ่นดินไหวครั้งนี้คงจะไม่ใช่บทเรียนครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน​เพราะความปลอดภัย ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย และมาตรฐาน ไม่ได้มีไว้ต่อรอง ต้องพัฒนา ปรับปรุง และต่อยอด อย่างต่อเนื่อง​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่​กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/A/016/T_0013.PDF​ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/275/T_0016.PDF​ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่องมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉินในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานนอกสถานพยาบาล พ.ศ. 2564: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/293/T_0057.PDF​กฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/A/016/T_0019.PDF​พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543: ​https://download.asa.or.th/03media/04law/lsa/lsa43-upd02.pdf​ประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง เรื่อง กำหนดแบบมาตรฐานของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร พ.ศ. 2545: ​https://www.dol.go.th/estate/DocLib18/scan0003.pdf​

2370 viewer

หมดฝนแล้ว ปีนี้จะหนาวมั้ย?

โดย RISC | 8 เดือนที่แล้ว

หลายคนคงได้เริ่มสัมผัสถึงไอเย็นที่โชยมาในช่วงเช้ามืดกันบ้างแล้ว และเมื่อความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้ามาแทนที่ในช่วงสาย ไอเย็นก็จะจางหายไป ทำให้เราเข้าใจได้เองว่ากำลังเข้าสู่ฤดูหนาว​แต่ถ้าถามว่าปีนี้ประเทศไทยเมื่อหมดฝนแล้วจะเข้าสู่ฤดูหนาวเมื่อไหร่ แล้วจะหนาวหรือไม่ หน่วยงานที่จะให้คำตอบได้ดี และแม่นยำที่สุดของประเทศไทย มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ กรมอุตุนิยมวิทยา ​จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา ปกติแล้วประเทศไทยจะเริ่มต้นฤดูหนาวประมาณกลางเดือนตุลาคม เมื่อมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศ อากาศจะแปรปรวน เปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว โดยก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว กรมอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์ลักษณะอากาศช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย และทำการเผยแพร่ข้อมูลออกมาให้ประชาชนรับทราบและเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการคาดการณ์นี้จะเป็นการคาดการณ์ระยะนานโดยใช้วิธีทางสถิติ และวิเคราะห์จากแบบจำลองภูมิอากาศ ​การคาดการณ์ หรือการพยากรณ์อากาศระยะนาน (Longe Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลามากกว่า 10 วันขึ้นไป โดยใช้ทฤษฎีทางอุตุนิยมวิทยาร่วมกับข้อมูลที่ได้จากระบบตรวจอากาศทั้งจากสถานีตรวจอากาศพื้นผิว และชั้นบน โดยจะทำการตรวจวัดองค์ประกอบต่างๆ เช่น อุณหภูมิอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ความกดอากาศ ความเร็วลม และทิศทางลม รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเรดาร์ตรวจวัดอากาศ และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา ก็จะยิ่งทำให้การคาดการณ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น​ส่วนการวิเคราะห์จากแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อพยากรณ์อากาศรายฤดู จะเป็นการคาดการณ์ทางสถิติ ด้วยเครื่องมือ Climate Predictability Tool (CPT) ที่พัฒนาขึ้นโดย สถาบันวิจัย IRI (International Research Institute for Climate and Society, The Earth Institute of Columbia University) ซึ่งการคาดการณ์นี้มาจากแบบจำลอง GCM (Global Climate Model) เป็นการคาดการณ์โดยอาศัยผลการพยากรณ์อุณหภูมิน้ำทะเลเป็นหลัก ร่วมกับข้อมูลการตรวจวัดทางอุตุนิยมวิทยาอื่นๆ​ถ้าถามว่า ฤดูหนาวปีนี้บ้านเราจะหนาวมั้ย?​กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ไว้ว่า ฤดูหนาวจะเริ่มช้ากว่าปกติ โดยประเทศไทยตอนบน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีอากาศหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20 - 21 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพมหานครจะมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 16 – 18 องศาเซลเซียส และปริมณฑล 14 – 16 องศาเซลเซียส อากาศหนาวเย็นที่สุดจะเริ่มประมาณต้นเดือนธันวาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 และจังหวัดที่มีโอกาสเกิดอากาศหนาวจัด (ต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส) ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา น่าน เลย สกลนคร นครพนม ส่วนในภาคใต้จะมีอากาศเย็นบางพื้นที่ แต่ยังคงมีฝนตกชุกต่อไป ​ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวน และกำลังก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัวแบบนี้ อาจทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายของคนในครอบครัวให้แข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงวัย และผู้ที่มีโรคประจำตัว เตรียมเครื่องนุ่งห่มให้พร้อมรับมือกับอากาศหนาวที่จะมาถึง ​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://tmd.go.th/info/%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2​http://climate.tmd.go.th/content/category/4​http://climate.tmd.go.th/content/category/6​

1337 viewer

เอลนีโญและลานีญาส่งผลกับประเทศไทยอย่างไร

โดย RISC | 9 เดือนที่แล้ว

คงไม่มีใครไม่รู้จัก ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) เพราะในช่วงหลายปีมานี้เราได้เจอปรากฏการณ์นี้กันไปเต็มๆ​ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเป็นส่วนหนึ่งของความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ซึ่งลักษณะของเอลนีโญ คือ อุณหภูมิมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกจะอุ่นขึ้นผิดปกติ ส่งผลต่อภูมิภาคเขตร้อนอย่างไทยที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักเกิดสภาพอากาศแห้งแล้งกว่าเดิม ในขณะที่ลานีญานั้นจะกลับกัน คือ ทำให้ภูมิภาคเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทยมีปริมาณฝนตกมากขึ้น​สำหรับในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากปรากฎการณ์เอลนีโญสลับมาเป็นปรากฏการณ์ลานีญา จะทำให้ประเทศไทยเรามีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ เมื่อประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำให้พื้นที่ป่าตามธรรมชาติลดน้อยลง เมื่อฝนตกจึงทำให้มีโอกาสเกิดน้ำหลาก ซึ่งไหลอย่างรวดเร็วเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน การเตรียมพร้อมรับมือจึงต้องพร้อมอยู่เสมอ เช่น ยกสิ่งของต่างๆ ขึ้นสู่ที่สูง ตัดกระแสไฟฟ้าในบริเวณชั้น 1 และคอยติดตามฟังสถานการณ์เพื่อเตรียมพร้อมอพยพหากจำเป็น​โดยปกติการที่มีทั้งสองปรากฏการณ์เกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้น มักเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย เสมือนอากาศผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งผลพวงก็มาจากภาวะโลกรวนนั่นเอง และนั่นจึงเป็นสัญญาณที่บอกให้เราทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมือโดยอาศัยหลักการคิดแบบ Resilience และยิ่งเรามีเครื่องมือดีๆ ที่ช่วยให้เราพร้อมรับถือสถานการณ์ต่างๆ ได้ ก็ยิ่งทำให้เราปรับตัวได้ง่ายขึ้น ​“Resilience Framework Toolkit” เป็นเครื่องมือช่วยให้มองเห็นและเข้าใจถึงปัญหา คาดการณ์ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การออกแบบอาคาร การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และวางแผนการพัฒนาเมือง ให้พร้อมตั้งรับและปรับตัวอย่างถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ ที่จะส่งผลกระทบทั้งในระดับอาคาร ระดับชุมชน และระดับเมือง ​สนใจสั่งซื้อ Resilience Framework Toolkit ชำระเงินราคาเล่มละ 600 บาท (รวมค่าส่ง)ได้ที่ เลขที่บัญชี 175-054975-8 ธนาคารกรุงเทพ บจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ​พร้อมแนบหลักฐานการโอนเงิน และชื่อที่อยู่ในการจัดส่งมาทาง https://forms.gle/7ybMXoNZ29Xo826b7 ​หากต้องการใบกำกับภาษี กรุณากรอกรายละเอียดใบเสร็จรับเงิน (รูปแบบ E-Receipt) ได้ที่ https://forms.gle/WPq8ybbKfxXPmkXi9 ​พิเศษ!! ลดเหลือราคาเล่มละ 500 บาท เมื่อซื้อและรับด้วยตัวเองที่ DTGO CAMPUS ตึก Empty Cup, RISC Office (ชั้น 2) และ Forget-Me-Not Shop (ชั้น 3) (https://maps.app.goo.gl/kGLM3YcccNysnMcW9)​------------------------------------------------------------------​เนื้อหาโดย คุณ วรพร ปุณยกนก วิศวกรวิจัยอาวุโส Acting Head of Resilience Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/info/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8D%E0%B8%B2​https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2786619​

2201 viewer

มาส่องต่างประเทศใช้ "เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ" รับมือกับน้ำท่วมกัน

โดย RISC | 11 เดือนที่แล้ว

ก่อนหน้านี้โลกของเราได้อยู่ในสภาวะเป็นกลาง (ENSO-neutral) ของปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) แต่ตั้งแต่ช่วงพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โลกได้เข้าสู่สภาวะลานีญา (La Niña) อย่างเต็มตัวแล้ว ทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มสูงขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมสูงตามมา​น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยในทางตรง น้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน เส้นทางคมนาคมขนส่ง และระบบสาธารณูปโภค รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ส่วนในทางอ้อม ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความปลอดภัยต่อชีวิต และสุขภาพจิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ​แต่ละประเทศทั่วโลกก็มีวิธีในการรับมือน้ำท่วมที่แตกต่างกัน งั้นวันนี้เราลองมาดูกันว่า ในต่างประเทศเค้ามีวิธีจัดการและรับมือกันอย่างไร?​ปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเมืองทั่วโลกล้วนมีการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ Geo-informatics มาใช้สนับสนุนการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ในการลดผลกระทบและบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วม อย่าง "ประเทศสหรัฐอเมริกา" ภายใต้ Federal Emergency Management Agency (FEMA) มีการจัดทำ FEMA Flood Map Service Center แหล่งข้อมูลเชิงพื้นที่ที่แสดงแผนที่น้ำท่วม แผนที่ความเสี่ยงน้ำท่วม และแผนที่แสดงอัตราการประกันภัยน้ำท่วม สนับสนุน National Flood Insurance Program (NFIP) เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใช้ดำเนินการบรรเทาผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ​ขยับมาที่ประเทศใกล้บ้านเราหน่อย "ประเทศสิงคโปร์" ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ได้มีการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการน้ำท่วม อย่างเช่น ระบบตรวจวัดระดับน้ำผ่านเซนเซอร์และกล้อง CCTV แสดงผลบนแผนที่แบบ Real-time ที่จะมีการแจ้งเตือนเมื่อน้ำขึ้นสูงถึงระดับความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อหาจุดเสี่ยงน้ำท่วม และระบบตรวจสอบปริมาณน้ำฝนและการคาดการณ์ที่ใช้ในการแจ้งเตือนฝนตกล่วงหน้าจากการตรวจสอบปริมาณน้ำฝนด้วยเรดาร์​คราวนี้มาดูที่บ้านเรากันบ้าง "กรุงเทพมหานคร" มีการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น การใช้ข้อมูลจากเรดาร์ตรวจอากาศ ที่จะแสดงภาพการเคลื่อนที่และปริมาณความรุนแรงของกลุ่มฝน โดยการสำรวจระยะไกลผ่านการส่งคลื่นวิทยุออกไปกระทบกับเม็ดฝน ทำให้ช่วยวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ซึ่งประชาชนทั่วไปก็สามารถติดตามสถานการณ์การเคลื่อนที่ของกลุ่มฝนได้ จากเว็บไซต์ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร https://weather.bangkok.go.th/radar/​กรุงเทพมหานคร ยังได้มีการพัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัลพื้นที่จุดเสี่ยงความปลอดภัย (Bangkok Risk Map) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยของกรุงเทพมหานคร ที่เราสามารถเข้าไปดูพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังและพื้นที่น้ำท่วมในอดีตได้จากเว็บไซต์นี้ https://cpudapp.bangkok.go.th/riskbkk/index.html​นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ก็ได้ทำการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ภัยพิบัติ ระบบให้บริการข้อมูลเชิงพื้นที่ด้านน้ำท่วม รวมถึงไฟป่าและภัยแล้ง โดยจะแสดงให้เห็นถึงภาพรวมสถานการณ์ล่าสุดของประเทศไทย เพื่อช่วยคาดการณ์ความรุนแรงหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งเราทุกคนก็สามารถติดตามสถานการณ์ได้เช่นกัน ผ่านทางเว็บไซต์ https://disaster.gistda.or.th/#4.87/13.16/101.49​ช่วงนี้ฝนก็เริ่มตกหนักและถี่ขึ้นทุกวัน หากสนใจหรืออยากวางแผนรับมือน้ำท่วมด้วยตัวเองลองเข้าไปดูข้อมูลที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์สาธารณะเหล่านี้ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ในการวางแผนและช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำท่วมได้ไม่มากก็น้อย​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://msc.fema.gov/portal/home​https://www.pub.gov.sg/Public/KeyInitiatives/Flood-Management​https://pr-bangkok.com/?p=258971​https://weather.bangkok.go.th/radar/​https://disaster.gistda.or.th/#4.87/13.16/101.49​https://gistda.or.th/news_view.php?n_id=2883&lang=TH​

2211 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา