RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

ถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมผ่าน​ "Neuro-Architecture" เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน​

โดย RISC | 4 วันที่แล้ว

งานวิจัย RISC เราได้มีการศึกษาด้านพฤติกรรมและจิตวิทยา เพื่อออกแบบสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับความต้องการตามพฤติกรรมของกลุ่มคนต่างๆ และได้มีการพัฒนามาสู่การนำศาสตร์ของระบบประสาทวิทยา (Neuroscience) เข้ามาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการรับรู้ของประสาทสัมผัสของเรา ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และการสัมผัส ก่อนส่งสัญญาณจากการรับรู้ผ่านระบบประสาทต่างๆ นั้น ไปสู่สมองเพื่อตีความ และเกิดความรู้สึกต่างๆ​การศึกษานี้่ทำให้ RISC เข้าใจการรับรู้ของคนได้อย่างลึกซึ้ง และแม่นยำขึ้น สามารถนำไปสู่การพัฒนาการออกแบบงานสถาปัตยกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ชี้นำให้คนเราเกิดพฤติกรรม รู้สึกสอดคล้อง และส่งเสริมไปกับกิจกรรม หรือวัตถุประสงค์ของห้องนั้นหรืออาคารนั้น ซึ่งเราเรียกศาสตร์นี้ว่า “Neuro-Architecture” หรือ "สถาปัตยกรรมประสาทวิทยา" แม้ยังเป็นศาสตร์ที่ไม่แพร่หลายนักในปัจจุบัน แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงอาคารผ่านความเข้าใจของประสาทการรับรู้เท่านั้น แต่ยังสร้างทิศทางใหม่สำหรับการออกแบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ยิ่งปัญหาจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน คงจะดีหากเราสร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นหรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้​งั้นเรามารู้จักกับ Neuro-Architecture กัน ว่าส่งผลต่อการทำงานได้อย่างไร?​พื้นที่ทำงานเป็นอีกสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่แทบตลอดวัน หรือบางครั้งมากกว่าที่บ้านเสียด้วยซ้ำ และคงจะดีหากถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนทำงานรู้สึกดี ช่วงที่เร่งงานก็ทำงานได้ดี รวดเร็ว คิดงานออกได้ไว หรือพูดอีกทางคือ “ทำงานมีประสิทธิภาพสูง” ช่วงพักผ่อนสามารถสร้างความผ่อนคลาย และลดความเครียดลงได้แบบไม่ต้องพยายาม​ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิจัย RISC จึงได้ทำงานวิจัยค้นหาคำตอบของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงาน และความผ่อนคลาย โดยทดลองผ่านเครื่องมือ EEG หรือเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography) โดยตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมอง และส่งสัญญาณเป็นรูปแบบคลื่น ร่วมกับการมองภาพห้องจำลองผ่าน Virtual reality (VR) รุ่น HTC Vive Pro ที่สามารถจับการมองและเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อหารูปแบบและค่าอุณหภูมิสีของแสง (Correlated Color Temperature) ที่เหมาะสมของห้องทำงาน​ผลการทดสอบพบว่า ไฟส่องสว่างที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสง 4000K ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะสำหรับห้องทำงาน ผู้ร่วมทดสอบจะรู้สึกคุ้นเคยที่สุด มีความสบายตา มีสมาธิ และมีความพึงพอใจมากที่สุด นอกจากนี้ ห้องที่ใช้แสงระดับนี้ยังมีระดับความเครียดต่ำที่สุด แต่สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องรวดเร็วที่สุด และทำงานได้ดีที่สุด ส่วนไฟที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสงที่ 1700K ที่ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะกับเป็นห้องพักผ่อน คลื่นสมองช่วง High Beta และ Gamma ต่ำที่สุดในช่วงพักผ่อน แม้ห้องนี้จะสามารถทำงานได้ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำงาน จนส่งผลให้เกิด “ความเครียด” สูงที่สุด​นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในปี 2022 โดย ดร. Kropman, D. และทีมนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รวบรวมและสรุป 7 องค์ประกอบการออกแบบสถานที่ทำงาน ซึ่งส่งผลต่อ 10 ตัวชี้วัดด้านสุขภาพจิตของคนทำงาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าการออกแบบสภาพแวดล้อมสามารถยกระดับทั้งประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาวะได้ อย่างเช่น...​▪ การจัดกลุ่มโต๊ะทำงาน 2–5 คน จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน แต่หากจัดที่นั่งให้มีจำนวนคนมากขึ้น เป็น 6–20 คน จะส่งผลลบต่อประสิทธิภาพการทำงาน สมาธิ ระดับความเครียด และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน​▪ พื้นที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว (Vitality Zones) และองค์ประกอบที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เช่น ลูกบอลออกกำลังกายและโต๊ะทำงานแบบปรับนั่งหรือยืนทำงานได้ ช่วยลดความเหนื่อยล้าหมดไฟ (Burnout) ​▪ พื้นที่ทำงานแบบส่วนตัว (Private Office) ส่งผลดีต่อสุขภาวะ คุณภาพการนอนหลับ ประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มสมาธิ และการลดความเครียด เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ทำงานแบบนั่งรวมกันและมองเห็นกันตลอดเวลา (Open Plan Office) ​▪ สีของห้องทำงาน สีขาวและสีน้ำเงิน มีผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงาน อารมณ์ และระดับความเครียด แม้ความชอบสีของแต่ละคนจะต่างกันก็ตาม​▪ พื้นที่ทำงานที่มีต้นไม้ 1–3 ต้น ต่อ 1 คน หรือต่อ 1 โต๊ะทำงาน โดยวางอยู่ในพื้นที่ทำงานโดยตรง จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3–15%, สมาธิ 10–20% และลดความเครียด 4–8%​▪ พื้นที่ทำงานที่มองออกไปด้านนอกได้ จะทำให้คุณภาพการนอน อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้น หากยิ่งวิวด้านนอกน่ารื่นรมย์ เห็นธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดความรู้สึก อ่อนล้า และความเครียดลดลง 4% ​▪ การตั้งอุณหภูมิอากาศพื้นที่ทำงาน 20-24 องศาเซลเซียส (ปรับเพิ่ม–ลดได้ 1–2 องศาเซลเซียส) และความชื้นสัมพัทธ์ที่ 40-55%RH จะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 30% สมาธิดีขึ้น 26% ความเครียดลดลง 22% ความเหนื่อยล้าลดลง 20% และยังช่วยคุณภาพการนอนหลับ อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย​▪ คุณภาพอากาศในพื้นที่ทำงาน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ตามมาตรฐาน ASHRAE ไม่เกิน 1000 ppm หากระดับ CO₂ สูงกว่าค่าที่กำหนดจะส่งผลเสีย หาก 1000–1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 4–12% และหากมากกว่า 1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 14–24% และทุกครั้งที่ CO₂ เพิ่มขึ้น 100 ppm ทำให้สมาธิลดลง ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น 16% ​นี่เป็นเพียงบางส่วนของสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน หากเราเข้าใจและลองนำไปปรับใช้ตาม ได้ผลดีอย่างไร? ส่งผลลัพธ์ดีๆ มาแชร์ให้เราได้ หวังว่าข้อมูลดีๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนมีพื้นที่ทำงานที่สนับสนุนการทำงาน และสุขภาพกายและใจของเรา​เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISC​ อ้างอิงข้อมูลจาก Kropman, D., Appel-Meulenbroek, R., Bergefurt, L., & LeBlanc, P. (2022). The business case for a healthy office: A holistic overview of relations between office workspace design and mental health. Ergonomics, 66(5), 658–675. https://doi.org/10.1080/00140139.2022.2108905

245 viewer

การนำ GIS มาช่วยสนับสนุน Well-Being City

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

หากพูดถึงเทรนด์ที่มาแรงในปีนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “สุขภาพ” ทั้งการมีสุขภาพดีแบบองค์รวม (Holistic Health) ที่ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการดูแลจิตใจ สังคม และสภาพแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน นำไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity)​เราจะเห็นได้จาก ผู้คนเริ่มหันมาปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการและเหมาะสมกับตนเองมากขึ้น รวมถึงการให้ความสนใจในด้านการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพิ่มมากขึ้น​แต่รู้หรือไม่ ว่าเมืองก็มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชนได้เหมือนกัน​เมืองสุขภาวะ หรือ Well-Being City ไม่ได้เป็นแค่เมืองที่ประชากรสามารถเข้าถึงโรงพยาบาล หรือเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างสะดวกและครอบคลุมการดูแลสุขภาพสำหรับทุกคนเท่านั้น แต่เมืองจะต้องประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานและองค์ประกอบสำคัญอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี การใช้ชีวิตภายนอกอาคารที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย โครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งสาธารณะที่ช่วยเชื่อมต่อการเข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม ตลอดจนการมีส่วนร่วมทางสังคม และบริบททางวัฒนธรรมและความเชื่อ ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ และช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี​แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เมืองมีองค์ประกอบที่เหมาะสมต่อการเป็นเมืองสุขภาวะ และสามารถสนับสนุนการมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ​เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-informatics Technology) จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง โดยการนำข้อมูลมารวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จะช่วยให้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สามารถนำไปใช้ประกอบการวางแผน และการตัดสินใจในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ระดับศักยภาพของพื้นที่เมืองในการเป็นเมืองสุขภาวะดีได้โดยอาศัยตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ เช่น ความสามารถในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวในระยะที่เหมาะสม ระดับความเสี่ยงของพื้นที่ต่อการเกิดคลื่นความร้อน (Heat Shock) จากดัชนีความร้อน ค่าคุณภาพอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพ ระดับความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ ระยะการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนที่เหมาะสมเพื่อเชื่อมโยงกับบริการต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาวะ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน รวมถึงความหนาแน่นของประชากรต่อครัวเรือน​ข้อมูลจะถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการให้น้ำหนักความสำคัญของปัจจัย (Weighting) และการจัดลำดับคะแนนความเหมาะสมของแต่ละปัจจัย (Rating) เพื่อคำนวณศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งผลการวิเคราะห์จะช่วยให้สามารถระบุแนวทางการออกแบบพื้นที่ และนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางแผนพัฒนาเมืองสุขภาวะต่อไป​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

172 viewer

ฺBiodiversity Standard การสร้างระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน หลายครั้งมักมองข้าม หรือลดทอนเรื่อง “คุณค่าของธรรมชาติ” โดยไม่ตั้งใจ เพราะต่างมองว่าธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า​การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มักให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ จนลืมคำนึงถึงธรรมชาติที่ต้องสูญเสียไป การออกแบบจึงถูกจำกัดอยู่ในกรอบของข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริง โลกกำลังส่งสัญญาณเตือนเราอย่างชัดเจน ทั้งภาวะโลกร้อน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเราไม่เปลี่ยนวิธีคิด​MQDC เชื่ออย่างลึกซึ้งว่า หากโลกสูญเสียสมดุล เราเองก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้เช่นกัน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงไม่ใช่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัย หรืออาคาร แต่เป็นการ “พัฒนาไปพร้อมกับการฟื้นฟู และสร้างธรรมชาติ” เพราะทั้งป่า แหล่งอาหาร และแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง​จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมอง​เมื่อก้าวเข้าสู่พื้นที่โครงการ มุมมองแรกไม่ใช่ตำแหน่งของอาคาร แต่คือการมองลงไปใน “ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ก่อนเรา” ระบบนิเวศดั้งเดิม ต้นไม้ ดิน แหล่งน้ำ และสัตว์ทุกชนิดที่ใช้พื้นที่เป็นแหล่งอาหาร หรือที่หลบภัย อย่างการสร้างโครงการ The Forestias ทำให้ MQDC และ RISC ได้เรียนรู้กระบวนการสร้างป่า และระบบนิเวศในเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งนำไปสู่การพัฒนารูปแบบการทำงานที่ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงมุ่งลดผลกระทบ แต่กลับ “เพิ่มพื้นที่ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต” ให้มากกว่าเดิม​จากการเรียนรู้นี้ RISC จึงริเริ่ม Biodiversity Standard สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทยขึ้นมา โดยมี 4 ขั้นตอน...​1. การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพก่อนเริ่มโครงการ (Pre-project biodiversity survey)​ผู้เชี่ยวชาญด้านพืช และสัตว์จะลงพื้นที่สำรวจระบบนิเวศอย่างละเอียด ครอบคลุม 3 ฤดูกาล เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงตลอดปี เราจึงรับรู้ได้ถึงความหลากหลายของชนิดพันธุ์ เส้นทางการอพยพ และพลวัตที่ซ่อนอยู่ในระบบนิเวศของพื้นที่นั้นก่อนการพัฒนา​2. การเก็บรักษาต้นไม้และการย้ายสัตว์ (Tree protection and animal relocation)​ก่อนเครื่องจักรจะเข้าสู่พื้นที่พัฒนาโครงการ จะต้องมีการวางแผนย้ายต้นไม้โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปอนุบาล ก่อนจะนำกลับมาปลูกในช่วงก่อสร้างอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็มีการจัดทำแผนย้ายสัตว์อย่างเป็นระบบ ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลาน เต่า และสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งการย้ายสัตว์เหล่านี้ต้องทำอย่างปลอดภัย ป้องกันการบาดเจ็บ หรือสูญเสียโดยไม่ตั้งใจ​3. การออกแบบพื้นที่เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity-friendly design)​ข้อมูลจากการสำรวจจะถูกนำมาทำงานร่วมกับทีมนักออกแบบ Master Plan เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศเดิม และสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เคยหายไป โดยมีการออกแบบโครงสร้างพืช เลือกใช้พันธุ์พืชท้องถิ่น และวางแผนการเพิ่มขึ้นของสิ่งมีชีวิตในโครงการปีต่อปี เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการออกแบบเชิงนิเวศ​4. การติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ (Ongoing biodiversity monitoring)​การสำรวจไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว แต่เกิดในทุกช่วงในการพัฒนาโครงการ ตั้งแต่ก่อนการพัฒนาโครงการ ระหว่างการก่อสร้าง และหลังโครงการเสร็จ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของชนิดพืชพรรณ และสัตว์ต่างๆ ในแต่ละเวลาในการพัฒนาโครงการ ก่อนประเมินว่า พืชและสัตว์ในพื้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ซึ่งข้อมูลนี้จะใช้พัฒนาพื้นที่สีเขียวให้ดีขึ้น และบรรลุเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพตามที่ตั้งไว้​ธรรมชาติ คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนที่ส่งต่อได้​ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า MQDC ไม่ได้สร้างเพียงอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ แต่ยังสร้าง “สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต” ป่าในเมือง และบ้านของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด เพื่อคืนความสมดุลให้พื้นที่อยู่อาศัย​เราเชื่อว่า พื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นจะเป็นเหมือน “สะพานทางธรรมชาติ” ที่ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพให้กับเมือง และในขณะเดียวกันก็สร้างสังคมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรัก และความเคารพต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเติบโตได้ในพื้นที่ที่ธรรมชาติมีสุขภาพดี​เมื่อธรรมชาติรอบตัวแข็งแรง ชุมชนของ MQDC ก็จะมีสุขภาวะที่ดี และความยั่งยืนนี้จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พื้นที่ที่อุดมด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติ จึงไม่ใช่เพียง “โครงการ” แต่เป็น “มรดก” ที่จะเติบโตไปพร้อมกับผู้คน และโลกของเรา​เนื้อหาโดย ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน​

316 viewer

ไขความลับ “MQDC Standard” มาตรฐานการออกแบบเพื่อสุขภาวะที่ดี

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

เกือบสองทศวรรษของการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาวิชาชีพ ทั้งสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และนิเวศวิทยา ทำให้องค์ความรู้ของ RISC มีความหลากหลายมิติ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในการออกแบบ และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง​ไม่เพียงแค่งานวิจัย แต่ RISC มีอีกบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญ คือ เบื้องหลังผู้สร้างมาตรฐานการออกแบบเพื่อสุขภาวะที่ดี Well-Being Standard ให้กับ MQDC​MQDC ไม่ได้สร้างเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่สร้าง “ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับทุกชีวิต” โดยเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลก สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของผู้พัฒนาเมืองและโครงการอสังหาริมทรัพย์​MQDC และ RISC ได้ร่วมกันทำงานเพื่อสร้างมาตรฐานสำหรับการออกแบบและพัฒนาโครงการ และมีการต่อยอดแนวคิด “Sustainnovation” (นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน) เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยภายในโครงการ ผู้คน สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ตลอดจนสังคม และโลกของเรา​โดยมาตรฐานสำหรับ MQDC นี้จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีใน 3 ด้านหลักด้วยกัน​Energy & Ecology: การอนุรักษ์พลังงานและระบบนิเวศเป็นเรื่องที่ MQDC ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่องตามแนวคิด For All Well-Being ที่ต้องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับคน สัตว์ และธรรมชาติ มุ่งเน้นการส่งเสริมระบบนิเวศที่สมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญควบคู่กับการพัฒนามาตรฐาน Biodiversity Standard อีกทั้งยังสร้างความท้าทายให้กับการพัฒนาโครงการจากนโยบายห้ามฆ่าสัตว์ ซึ่งรวมถึงการป้องกันแมลงและสัตว์รบกวน ที่จะไม่ทำร้ายชีวิต และไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม เป็นกลไกสำคัญให้เกิดการทบทวนความสำคัญของระบบนิเวศ และการศึกษาค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับการป้องกันยุง หนู งู และปลวก​นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการออกแบบอาคารตามแนวทาง Sustainable Design และ Well-Being โดยได้รับการรับรองด้วยรางวัลและมาตรฐานต่างๆ จากสถาบันชั้นนำในไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เอื้อต่อการประหยัดพลังงานและน้ำ อีกทั้งเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและลดความร้อนจากระบบปรับอากาศ เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชนและสังคมโดยรอบ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อยกระดับมาตรฐานของโครงการอสังหาริมทรัพย์ มุ่งสู่เป้าหมาย “สร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบในปี 2050 (Nature Positive & Carbon Negative 2050)”​Health and Wellness: กำหนดมาตรฐานการออกแบบเพื่อเสริมสร้างคุณภาพอากาศที่ดี ด้วยการระบายอากาศธรรมชาติควบคู่กับระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ การเลือกวัสดุที่ไม่มีสารพิษและมีปริมาณสารระเหย (VOCs) ต่ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมทั้งการออกแบบคุณภาพแสงสว่างที่เหมาะสมต่อการใช้งาน การลดเสียงรบกวน และลดการเกิดอุบัติเหตุภายในอาคาร ด้วยการยกระดับมาตรฐานการออกแบบอาคารที่มากกว่ากฎหมายกำหนด อย่างเช่น การกำหนดค่ากันลื่นของวัสดุพื้นในทุกพื้นที่ใช้งาน การออกแบบรายละเอียดวัสดุและความสูงของราวกันตกตามระดับความเสี่ยงของการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้​และยังพัฒนาคู่มือการออกแบบและการบริหารจัดการอาคารให้ทันกับสถานการณ์ เช่น COVID-Free Design เพื่อรับมือกับโรคระบาดและชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) รวมถึง Resilience Framework Toolkit เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์การพัฒนาเมืองเพื่อรองรับเหตุการณ์วิกฤติหรือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต​นอกจากนี้ MQDC ยังใส่ใจเรื่องของคุณภาพอากาศโดยรอบโครงการ จึงคิดค้นนวัตกรรมหอฟอกอากาศฟ้าใส ซึ่งเป็นหอฟอกอากาศระดับเมือง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับชุมชน ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั้งภาครัฐและเอกชน และได้รับเกียรติให้ปฏิบัติหน้าที่บรรเทาปัญหาฝุ่นและมลพิษทางอากาศให้กับหลายพื้นที่ของประเทศไทย​Senses & Happiness: พฤติกรรมและจิตวิทยาของผู้อยู่อาศัยก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดย MQDC ได้มีการทำวิจัยเรื่องนี้มาโดยตลอด ภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัยที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Happiness ทั้งเรื่องการออกแบบพื้นที่ใช้สอยรองรับกิจกรรม และตอบโจทย์การใช้งานได้โดยสะดวกสำหรับทุกคน ตลอดจนการออกแบบเพื่อการรับรู้ที่ดี กระตุ้นความรู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข ลดความเครียด ด้วยการเลือกใช้วัสดุ สี และการผสานธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบอย่างกลมกลืน ซึ่งวัดผลได้ด้วยวิทยาศาสตร์และคำตอบจากสัญญาณสมองของมนุษย์โดยตรง​อีกทั้งได้มีการพัฒนาแนวทางการออกแบบที่ตอบโจทย์ความสุขและรูปแบบการอยู่อาศัยยุคใหม่ โดยมีงานวิจัยเป็นพื้นฐาน เช่น การสร้างเมืองในป่าเพื่อการอยู่อาศัยใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน การอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวขยาย (Multigeneration Living Design) และการอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly Design)​การซื้อบ้านหนึ่งหลัง อาจเป็นเงินก้อนสุดท้ายของคนๆ นั้นทั้งชีวิต​MQDC มองไกลไปกว่าแค่การสร้างโครงการให้แล้วเสร็จ แต่ยังให้ความสำคัญกับลูกบ้านของ MQDC ให้ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขแบบไร้กังวล จึงใส่ใจเรื่องคุณภาพวัสดุ การก่อสร้าง และการซ่อมบำรุงแบบมืออาชีพ ผ่านนโยบายการรับประกัน 30 ปี ใน 4 เรื่องหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่หากเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ผู้อยู่อาศัยจะไม่สามารถซ่อมแซมได้ด้วยตัวเอง และกระทบต่อคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก​ซึ่งการรับประกัน 4 เรื่องหลัก ได้แก่​1) ความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร​2) การรั่วซึมของอาคารจากน้ำฝน​3) การใช้งานประตูหน้าต่าง​4) การชำรุดของท่อน้ำและสายไฟ​ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพของโครงการที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดการอยู่อาศัยร่วมกับ MQDC​และด้วยนโยบายการรับประกัน 30 ปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของการออกแบบและก่อสร้างที่ต้องคำนึงถึงการบำรุงรักษาเป็นประเด็นตั้งต้น เพื่อการดูแลและซ่อมแซมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รบกวนการอยู่อาศัย อย่างเช่น​- การออกแบบระบบท่อออกหลัง โดยไม่เจาะทะลุพื้นด้านล่าง เมื่อเกิดปัญหาน้ำรั่วหรือท่อตัน สามารถซ่อมแซมได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้เพื่อนบ้าน ไม่รบกวนห้องชั้นล่าง หรือไม่รบกวนเจ้าของห้องพักอาศัย​- การออกแบบพื้นที่ช่องเปิดเพื่อเข้าซ่อมบำรุงไว้ที่ทางเดินส่วนกลางหรือทางเดินส่วนบริการ สามารถซ่อมบำรุงท่อต่างๆ โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย​- งานระบบท่อน้ำดี น้ำเสีย ไม่ฝังในผนังห้อง ซึ่งสามารถเปิดซ่อมบำรุงได้จากภายนอกห้อง ในกรณีที่ท่อแตก รั่ว ชำรุด รวมถึงสามารถทำการเปลี่ยนท่อได้ด้วย​RISC ยังมีส่วนร่วมประสานระบบ (Integration) กับทางโครงการตั้งแต่เริ่มต้น ที่ควบคู่กับการสร้างมาตรฐาน MQDC Standard เพื่อให้มั่นใจว่า ทุกโครงการมีการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐาน ตลอดจนการเก็บข้อมูล ตรวจวัดผล ในช่วงก่อสร้างและช่วงเปิดใช้อาคาร ก่อนนำมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย เสนอแนวทางแก้ไข และปรับปรุงพัฒนามาตรฐาน อย่างต่อเนื่อง​ แสดงตัวอย่างของกระบวนการ Project Integration เพื่อการพัฒนามาตรฐาน MQDC อย่างต่อเนื่อง​ แน่นอนว่า ไม่เพียงแค่ RISC เท่านั้น ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนามาตรฐาน MQDC ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาโครงการล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนา และต่อยอดสู่นวัตกรรม เพื่อ “ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับทุกชีวิต”​จากจุดเริ่มต้นของความตั้งใจดี MQDC For All Well-Being​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC

224 viewer

ความลับของ The Forestias

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ เบื้องหลังในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ อย่าง The Forestias by MQDC ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังเป็นพื้นที่เรียนรู้อีกด้วย​MQDC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรพย์ที่เน้นการนำความรู้ การวิจัยที่ได้รับการยอมรับมาสนับสนุนในการสร้างจริงเสมือนเป็นพื้นที่ Sand Box ในการเรียนรู้ และยกระดับแนวคิดในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศ The Forestias จึงเป็นหนึ่งในพื้นที่เรียนรู้จริงด้านธรรมชาติ กล้าคิด และนำการเรียนรู้และทฤษฎีที่แตกต่างจากการก่อสร้างทั่วไปมาใช้จริง ด้วยภายใต้แนวคิดการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ความสวยงามทั้งทางสถาปัตยกรรม และป่าในเมืองที่มีความสมบูรณ์ โดยนำการปลูกป่ามิยาวากิ ซึ่งเป็นทฤษฎีการปลูกป่าเลียนแบบระบบนิเวศตามธรรมชาติ มาใช้ในการทำโครงการ และพิสูจน์ถึงความสำเร็จของการเติบโตของป่าในระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาThe Forestias ไม่ได้มีเพียงแค่ป่า แต่คือโครงการที่รวมทุกงานวิจัยที่มีประโยชน์กับทุกสรรพสิ่งไว้ในที่เดียว​Research integration หรือกระบวนการแปลงงานวิจัยสู่การสร้างจริง จึงเป็นหัวใจหลักของโครงการนี้ ตัวอย่างการวิจัยที่สนับสนุนเชิงวิทยาศาสตร์ ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การผลักดันอัจฉริยภาพของต้นไม้ โดย RISC ร่วมศึกษาความเป็นไปได้ของสภาพอากาศ และพืชพันธุ์ต้นไม้ของประเทศไทย ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ต่อยอดจากงานวิจัยของ Plant-e ที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการสังเคราะห์แสงของพืช และพลังงานที่เหลือจากการสังเคราะห์จะผ่านลงดินไปสู่รากที่มีจุลินทรีย์ในการแลกเปลี่ยนประจุ ทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้ชาร์จอุปกรณอิเล็กทรอนิกส์ และให้แสงสว่างได้ ​อีกตัวอย่าง คือ แสงไฟจากธรรมชาติที่หายไป นั่นก็คือ “หิ่งห้อย” ดัชนีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ซึ่ง RISC ได้ร่วมงานวิจัยกับภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลังเชียงใหม่ เพื่ออนุรักษ์หิ่งห้อยให้กลับสู่พื้นที่เมือง โดยงานวิจัยได้สร้างวิธีเลียนแบบธรรมชาติให้สามารถเลี้ยงหิ่งห้อยได้ตั้งแต่ระยะไข่จนถึงตัวเต็มวัย และสร้างแบบจำลองธรรมชาติออกแบบบ้านหิ่งห้อย เลือกพืชที่ลอยน้ำในการหลบภัยในกลางวัน เพิ่มกลุ่มพืชธูปฤาษีในการหลบภัยในเวลากลางคืน และแหล่งอาหารจากความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ และกำหนดคุณภาพน้ำ ดิน ระดับแสงสว่างที่ไม่สร้างผลกระทบต่อหิ่งห้อย เพื่อสามารถปล่อยหิ่งห้อยกลับธรรมชาติในพื้นที่ The Forestias ​The Forestias จึงเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการนำนวัตกรรม และด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาสร้างสรรค์แสงสว่างดวงเล็กที่สวยงามในโครงการที่สร้างการเรียนรู้ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่มาเยือน​นอกจากนี้ ยังมีความรู้ทางงานวิจัยที่ซ่อนไว้ในโครงการ The Forestias อีกมากมาย เช่น การลดความเครียดจากการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เสริมสร้างสุขภาพจาก Active Design พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับคนทุกวัย ความปลอดภัยในการออกแบบและการเลือกวัสดุ การออกแบบไม่ให้เกิดมลภาวะทางแสง การสร้างอากาศที่มีคุณภาพในการอยู่อาศัย การปรับสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัยที่เหมาะสม การออกแบบโครงการเพื่อลดสภาวะเกาะความร้อนของเมือง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการออกแบบ รวมไปถึงการเป็นต้นแบบพื้นที่พัฒนาเรื่อง Circular ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการอยู่อย่างสุขภาวะที่ดีพร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมระดับโลก เพราะ RISC มีความเชื่อในการสร้างคุณค่าที่สามารถเกิดขึ้นจริง และสร้างคุณค่าต่อทุกสรรพสิ่ง​เนื้อหาโดย ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ Senior Vice President ศูนย์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน RISC by MQDC

257 viewer

ส้วม....มีผลต่อสุขภาพของเรา?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หากอุจจาระสามารถบอกถึงสุขภาพของเราได้เช่นไร การมีส้วมที่ดี สะอาด ถูกสุขลักษณะ ก็สามารถบอกถึงสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งานได้ด้วยเช่นกัน​การไม่มีสุขอนามัยที่ดี ขับถ่ายไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด บริโภคน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อาจก่อให้เกิดโรคท้องร่วงได้ จริงอยู่ที่โรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่า โรคท้องร่วงจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) ได้ระบุไว้ว่า ในแต่ละวันจะมีเด็กกว่า 1,000 คนเสียชีวิตจากโรคนี้ และเสียชีวิตมากกว่า 4 แสนคนในแต่ละปี​และเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัย และสุขลักษณะในการใช้ห้องน้ำให้มากขึ้น องค์การส้วมโลก (World Toilet Organization : WTO) จึงกำหนดให้วันที่ 19 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น “วันส้วมโลก (World Toilet Day)” ซึ่งได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์กิจกรรมต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) เป้าหมายที่ 6 ในเรื่องของการสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้ สำหรับทุกคน​ โดยเฉพาะ เป้าหมายย่อย 6.2 เพื่อบรรลุเป้าหมายการให้ทุกคนเข้าถึงการสุขาภิบาล และสุขอนามัยที่พอเพียงและเป็นธรรม รวมทั้งยุติการขับถ่ายในที่โล่ง โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความต้องการของผู้หญิง เด็กหญิง และกลุ่มที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบาง ภายในปี พ.ศ. 2573​จะเห็นได้ว่า การขาดโอกาสในการเข้าถึงส้วมที่มีคุณภาพได้นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ของแต่ละคน แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาวะระดับชาติ ที่ควรให้ความสำคัญต่อการจัดสรรสาธารณูปโภค และสาธารณูปการอย่างเหมาะสม ทั้งการออกแบบ การก่อสร้างอาคาร การดูแลรักษาห้องน้ำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพ และการจัดเตรียมระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลอย่างถูกสุขลักษณะ​กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคู่มือเกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (HAS) เพื่อบรรลุเป้าหมาย 3 ประการ คือ สะอาด เพียงพอ และปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา และยกระดับส้วมสาธารณะไทยให้ได้มาตรฐาน สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย มีรายละเอียดของมาตรฐานเบื้องต้น ดังนี้​ ✅ สะอาด (Health) ​▪ ห้องส้วม ทั้งพื้น ผนัง เพดาน กระจก จะต้องสะอาด ไม่มีคราบสกปรก พื้นห้องส้วมแห้ง ประตู มือจับ กลอนล็อค สะอาด อยู่ในสภาพดี ใช้งานได้​▪ สุขภัณฑ์ ได้แก่ อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ โถปัสสาวะ โถส้วม สายฉีดชำระ ปุ่มกดชักโครก จะต้องสะอาด ไม่มีคราบสกปรก อยู่ในสภาพดี ​▪ มีน้ำใช้สะอาดและเพียงพอ​▪ มีสบู่ล้างมือและกระดาษชำระเพียงพอ ​▪ มีการระบายอากาศดีและไม่มีกลิ่นเหม็น ​▪ ถังขยะรองรับมูลฝอย สะอาด มีฝาปิด อยู่ในสภาพดี ไม่รั่วซึม​▪ ท่อระบายสิ่งปฏิกูลและถังเก็บกักไม่รั่ว แตก หรือชำรุด​▪ จัดให้มีการทำความสะอาด และระบบการควบคุมตรวจตรา เป็นประจำ​▪ มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ​✅ เพียงพอ (Accessibility)​▪ มีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน​▪ รองรับการใช้งานของทุกคน รวมถึง ผู้พิการ ผู้สูงวัย หญิงตั้งครรภ์​▪ ส้วมสาธารณะพร้อมใช้งานตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ​✅ ปลอดภัย (Safety)​▪ ห้องส้วมต้องไม่อยู่ในที่ลับตา ไม่เปลี่ยว​▪ มีการแยกส่วนชาย-หญิง โดยมีป้ายหรือสัญลักษณ์ที่ชัดเจน​▪ มีแสงสว่างเพียงพอ​หากทุกพื้นที่สามารถจัดการ และดูแลบำรุงรักษาให้สภาพแวดล้อมของห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดผ่านเกณฑ์มาตรฐานข้างต้น ก็จะเป็นส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมการเข้าถึงการสุขาภิบาล และสุขอนามัยที่พอเพียงและเป็นธรรมให้กับทุกๆ คนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในหลายภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือในการปรับปรุงห้องน้ำห้องส้วมเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังต้องสร้างการตระหนักรู้เพิ่มขึ้น และปรับปรุงแก้ไขให้ผ่านเกณฑ์ได้มากขึ้น​จากข้อมูลรายงานผลการประเมินส้วม ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย (ข้อมูล ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568) จากการตรวจประเมินห้องน้ำสาธารณะ 7,461 แห่ง พบว่า มีห้องน้ำที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 6,999 แห่ง และยังไม่ผ่านเกณฑ์อีก 462 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 6 ของจำนวนห้องน้ำสาธารณะทั้งหมดที่เข้ารับการประเมิน และประเภทอาคารที่มีจำนวนห้องน้ำไม่ผ่านเณฑ์มากที่สุด ได้แก่ ศาสนสถาน โรงเรียน สถานที่ราชการ และร้านอาหาร ซึ่งควรต้องเข้มงวดและให้ความใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสถานที่รองรับการใช้งานของกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ควรต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ก่อนเกิดปัญหาเชิงสุขภาพอื่นๆ ตามมา​ แผนภูมิแสดงผลการประเมินส้วม ประจำปี พ.ศ. 2568ที่มา: สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข  ไม่เพียงอาคารสาธารณะที่ควรต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเท่านั้น บ้านที่อยู่อาศัยในแต่ละครัวเรือนก็ควรคำนึงความสะอาด และสุขอนามัยเช่นเดียวกัน รวมถึงเรื่องพื้นฐาน อย่างเช่น การล้างมือ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลสถิติจำนวนครัวเรือนที่มีสถานที่เฉพาะสำหรับล้างมือ มีน้ำพร้อมสบู่ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้น และเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และควรจะต้องส่งเสริม และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง​ แผนภูมิแสดงสัดส่วนของประชากรที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการล้างมือด้วยสบู่ และน้ำที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เรื่องส้วมๆ อย่ามองข้าม และละเลย เพราะมีผลโดยตรงต่อสุขภาวะที่ดีของทุกคน โดยเริ่มต้นง่ายๆ เริ่มที่ตัวเรา เริ่มต้นที่บ้านของเรา​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC

435 viewer

รู้หรือไม่ สภาพแวดล้อมก็มีผลต่อโรคเบาหวาน

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) ที่มีจำนวนผู้ป่วยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ​โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic Disease) โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหาร ร่างกายจะย่อยอาหารเป็น “กลูโคส” และส่งเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้น “ฮอร์โมนอินซูลิน” จากตับอ่อนจะทำหน้าที่เสมือนกุญแจ เปิดให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดหรือดื้ออินซูลิน น้ำตาลจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ​หากงดน้ำงดอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมง แล้วยังมีระดับน้ำตาลสูงกว่า 126 mg/dL ถือว่าอยู่ในภาวะเบาหวาน ซึ่งการอยู่ในภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้อวัยวะ เช่น ตา ไต หัวใจ หรือเส้นประสาท เกิดการอักเสบ เสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวายเรื้อรัง หัวใจขาดเลือด หรือแผลหายยากจนต้องตัดอวัยวะได้ ​โดยโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด​✅ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) มักพบในเด็กและวัยรุ่น เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้หรือผลิตได้น้อยมาก ต้องได้รับอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิต​✅ เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) มักพบในผู้ใหญ่ เป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ และสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ​แต่...รู้หรือไม่ มากกว่า 90% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเป็นชนิดที่ 2 และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความตระหนักรู้และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม​แค่การ "ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม" ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้​องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาล สำหรับผู้ใหญ่ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ส่วนเด็กและผู้สูงอายุ ไม่เกิน 4 ช้อนชา/วัน และควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา หรือมากกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า​สำหรับเคล็ดลับสำคัญป้องกันโรคเบาหวานทำได้ง่ายๆ โดย​✅ จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 กำหนดปริมาณอาหารด้วยการแบ่งสัดส่วนของจาน ประกอบด้วย ผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน​✅ อ่านฉลากโภชนาการ ก่อนเลือกซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูง​แล้วรู้หรือไม่ว่า นอกจากพฤติกรรมแล้ว "สภาพแวดล้อม...ก็มีผลกระตุ้นให้เกิดโรค" ได้อีกด้วย​จากงานวิจัยพบว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการกินแล้ว สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบอีกว่า ​▪ “การได้รับแสงในเวลากลางคืน” (Light at Night: LAN) มีผลต่อสมดุลของการทนต่อกลูโคส (Glucose Tolerance) และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โดยแสงสีขาวที่ความสว่างปานกลาง (50-150 lux) ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อกลูโคสมากกว่าแสงสลัว (5 -20 lux) ขณะเดียวกันการได้รับแสงในเวลากลางคืนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากนี้ยังพบว่า ในพื้นที่ที่มีระดับแสงกลางคืนสูง จะมีความชุกของโรคเบาหวานสูงกว่าพื้นที่มืดมากกว่า 28%▪ มลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ควันบุหรี่ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ก็มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคเบาหวาน โดยมลพิษทางอากาศสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers) ที่เกี่ยวข้อง เช่น การอักเสบเพิ่มขึ้น ความผิดปกติของสมดุลกลูโคสในร่างกาย ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความผิดปกติของไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial Alteration) และนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในที่สุด​วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น วันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต​แม้โรคเบาหวานไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้ แต่เป็นโรคที่รู้เท่าทัน และสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเล็กๆ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนของนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาวของคุณและคนที่คุณรัก​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​1. WHO. Diabetes ;https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/diabetes​2. ศูนย์ความเป็นเลิศเบาหวานศิริราช. จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 ; https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/ct_knowledgesdetail.asp?div_id=44&kl_id=34​3. ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล. สุขภาพดี ทำได้ง่ายๆ แค่…ลดหวาน ; https://www.gj.mahidol.ac.th/main/sweet/​4. Opperhuizen AL, Stenvers DJ, Jansen RD, Foppen E, Fliers E, Kalsbeek A. Light at night acutely impairs glucose tolerance in a time-, intensity- and wavelength-dependent manner in rats. Diabetologia. 2017 Jul;60(7):1333-1343. ​5. Zheng, R., Xin, Z., Li, M. et al. Outdoor light at night in relation to glucose homoeostasis and diabetes in Chinese adults: a national and cross-sectional study of 98,658 participants from 162 study sites. Diabetologia 66, 336–345 (2023).​6. Li Y, Xu L, Shan Z, Teng W, Han C. Association between air pollution and type 2 diabetes: an updated review of the literature. Therapeutic Advances in Endocrinology and Metabolism. 2019.

385 viewer

เราทุกคนสร้าง “เมืองใจดี” สำหรับคนพิการกันได้นะ

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ในประเทศไทยมีคนพิการกว่าหลายล้านคน และมีเพียงส่วนน้อยที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย ซึ่งปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ความสามารถของพวกเขา” แต่อยู่ที่ “สิ่งแวดล้อมรอบตัว” ที่ยังไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิต​จากข้อมูลสถานการณ์คนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่า คนพิการในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2,242,693 คน หรือคิดเป็น 3.39% ของประชากรไทย​ประเภทความพิการที่พบมากที่สุด คือ พิการทางการเคลื่อนไหว/ทางร่างกาย 51.98% พิการทางการได้ยิน/สื่อความหมาย 19.28% พิการทางการเห็น 7.65% และพิการทางจิตใจ/พฤติกรรม 7.34% โดยมีคนพิการที่สามารถประกอบอาชีพได้ 24.26% ของคนพิการที่อยู่ในวัยทำงานทั่วประเทศ​โดยความพิการแบ่งได้ 7 ประเภท ได้แก่ ทางการเห็น, ทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย, ทางร่างกาย, ทางจิตใจหรือพฤติกรรม, ทางสติปัญญา, ทางการเรียนรู้ และทางการออทิสติก ซึ่งคนพิการอาจจะมีความพิการได้มากกว่า 1 ประเภท นั่นยิ่งทำให้ใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น​หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราต้องรู้ประเภทของคนพิการ?​นั่นก็เพราะเราจะได้เข้าใจ และหาทางในการออกแบบสถานที่ให้รองรับกับความบกพร่องแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งคงจะดีไม่น้อย หากพื้นที่ต่างๆ ในเมือง อาคาร และทุกพื้นที่ ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง และเพิ่มโอกาสต่างๆ ในชีวิตแล้วเราจะช่วยคนพิการใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้นได้อย่างไร? งั้นเราลองมาดูไอเดียการออกแบบที่รองรับความพิการบางส่วนกัน​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางร่างกาย สามารถออกแบบอุปกรณ์ และพื้นที่ให้เอื้อต่อการสัญจรและชีวิตประจำวัน เช่น การออกแบบพื้นให้ไม่มีระดับ ควรราบเรียบเสมอกัน และหากมีการเปลี่ยนระดับควรมีทางลาด อย่างน้อย 1:12 ระยะเอียงที่รถเข็นได้สบาย ประตูเป็นบานเลื่อน ความกว้างของทางเดินหรือประตู อย่างน้อย 90 ซม.(ไม่มีสิ่งกีดขวาง) จุดหมุนตัว อย่างน้อย 150 ซม. ราวจับพยุงตัว มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. สูงจากพื้น 80-90 ซม. และจับราวได้ตลอดแนว เป็นต้น​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางการเห็น ส่วนใหญ่ใช้ไม้เท้านำทางในการกวาดเพื่อสัมผัส รับรู้สิ่งกีดขวางแทนการมองเห็น ทางเดินจึงมีความกว้าง อย่างน้อย 120 ซม. ป้ายอักษรเบรลล์ ควรอยู่ในระยะความสูง 120-150 ซม.จากระดับพื้น เพื่อเป็นระยะที่เอื้อมสัมผัสได้สะดวก และการสัญจรพื้นผิวต่างสัมผัสเพื่อใช้ในการสัญจร ทั้งชนิดปุ่นนูน ใช้สำหรับการเตือน และชนิดเส้นนูน ใช้สำหรับบอกทิศทาง นอกจากนี้ “เสียง” ก็เป็นอีกสัญญาณสำคัญในการบอกสถานะต่างๆ เช่น เสียงบอกไฟข้ามถนน เสียงลิฟท์บอกชั้น เสียงเตือนต่างๆ เป็นต้น​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ทุกสื่อเราใช้ "สัญญาณภาพแทนเสียง" ใช้การอ่านหรือภาษามือเข้ามาช่วยแทนในทุกการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณาตามทางควรมีตัวหนังสือประกอบการพูดไปด้วย รวมถึงการออกแบบ้ พื้นผิวหรือสัญลักษณ์นำทางด้วยภาพหรือสีช่วยระบุพื้นที่สำคัญ กรณีที่ต้องการเตือนภัย ปกติเราใช้เสียงเตือน เราต้องเพิ่มให้มีระบบสั่น ไฟกระพริบ สัญญาณแสง แทนเสียงเตือนทั้งหมด รวมถึงการดูหนังควรมีคำบรรยายหรือภาษามือเพื่อสื่อสารอีกด้วย​ การออกแบบสำหรับคนพิการออทิสติก คนที่มีปฎิกริยาตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทั้งการสัมผัส แสง เสียง สีเบี่ยงเบนไป จึงต้องออกแบบไม่กระตุ้นระบบประสาทมาก หรือน้อยเกินไป เช่น การติดตั้งหลอดไฟให้มีแสงสว่างแต่ไม่เห็นหลอด และใช้แสงโทนอุ่น เลี่ยงน้ำหอมปรับอากาศ เลือกใช้วัสดุที่มีความนุ่ม เพื่อลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและลดเสียงกระทบ เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีมุมโค้งมน หรือติดตั้งแผ่นกันกระแทกที่ขอบโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์ พื้นผิวสัมผัสเรียบ สะอาดเพื่อลดการกระตุ้น และสร้างพื้นที่สงบอารมณ์เมื่อโดนกระตุ้นมากเกินไปด้วย​ ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันคนพิการแห่งชาติ (National Day of Persons with Disabilities) เป็นวันที่แสดงความสำคัญและให้กำลังใจแก่คนพิการ และส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม ที่คนพิการควรได้รับโอกาสและสิทธิที่เท่าเทียมกับคนทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมา RISC และ MQDC ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้เกิดการตระหนักถึงการออกแบบที่รองรับทุกคน อย่างโครงการของ MQDC เรามีมาตรฐานในการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับทุกคน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ทุกคนมั่นใจในการใช้ชีวิต อีกรูปแบบของการดูแลซึ่งกันและกันในสังคม เพื่อสร้าง “สังคมใจดี” ดูแลทุกคน โดยเฉพาะคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตเองได้ เพิ่มความมั่นใจ รู้สึกดีต่อตัวเอง ทำทุกอย่างได้เหมือนกับทุกคนทั่วไปเช่นกัน​หากสนใจรายละเอียดการออกแบบ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://asa.or.th/wp-content/uploads/2017/07/BAEDRFA.pdf หรือ https://surl.li/igydxe​เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. 2568.​นวลวรรณ ทวยเจริญ. อออกแบบบ้านอย่างไรให้เหมาะกับเด็กออทิสติก. ศูนย์การออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2565.​ข้อแนะนำการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับทุกคน สมาคมสถาปนิกสยาย ในพระบรมราชูปถัมภ์. 2557.​

413 viewer

หมาหอนเพราะเห็นกุ๊กกู๋ หรือสื่อสารอะไร?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อพูดถึงเรื่องชวนหลอน สุนัขหอน...หอนเพราะเห็นผี หรือหอนเพราะ...?​ถ้าเป็นเรื่องผีๆ การหอนของสุนัขอาจจะทำให้ชวนจินตนาการ ชวนขนลุกนึกถึงผี แต่การที่สุนัขหอนตอนกลางคืน อาจเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อม เช่น เสียง กลิ่น หรือเกิดจากอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น ความเหงา วิตกกังวล รวมถึงอาจเกิดจากความรู้สึกหิวกระหาย หรือเจ็บปวด ไม่สบายตัว ได้เช่นกัน​แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันการหอนของสุนัข?​อย่างแรกเราต้องเข้าใจถึง "สาเหตุ" ก่อน จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุด​ "ประตูเข้า-ออก Wicket Door" ถ้าหากสุนัขของเราหอน หรือคอยสะกิดอยู่เรื่อยๆ เพราะต้องการออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกห้อง หรืออยากขับถ่าย เราสามารถจัดเตรียม Wicket Door ที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับให้สุนัขสามารถเข้า-ออกห้อง เข้า-ออกระเบียง หรือที่ขับถ่ายเองได้ โดยไม่ต้องรอเจ้าของเปิดปิดประตูให้​ "ผนังบ้านกันเสียง" ถ้าสุนัขของเราหูดีมาก ได้ยินเสียงแปลกๆ แม้เพียงนิดเดียวก็หอน อย่างเช่น เสียงหอนของเพื่อนๆ สุนัขจากบ้านอื่น เสียงดนตรีของเพื่อนบ้าน เสียงไซเรนยามค่ำคืน หรือเสียงความถี่สูงที่มนุษย์เราอาจจะไม่ได้ยิน ผนังบ้านของเราก็ควรมีความหนาพอประมาณที่จะสามารถป้องกันเสียงได้ หรือติดฉนวนกันเสียงเพิ่มเติม เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ลดการได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์​ หรือหากเราอยู่ในอาคารอยู่อาศัยรวม เช่น คอนโดมิเนียม สุนัขก็อาจจะเห่า หรือหอนจากการได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไปมาจากนอกห้องได้ หากห้องพักของเราไม่ได้ถูกทำมาเพื่อป้องกันเสียงตั้งแต่แรก ซึ่งสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาตั้งแต่ตอนเลือกซื้อคอนโดเลยก็คือ ผนังห้องพักควรมีคุณสมบัติการป้องกันเสียงที่ดี ​ งั้นเรามาลองดูว่าผนังแบบไหนกันเสียงได้เท่าไรบ้าง? ผนังระหว่างห้องพักกับทางเดินส่วนกลาง ควรมีค่า Sound Transmission Class หรือค่า STC 45 เป็นอย่างน้อย (วัสดุผนังที่มีค่าใกล้เคียง STC 45 ตัวอย่างเช่น ผนังคอนกรีตมวลเบา หนา 15 ซม.) และผนังระหว่างห้องพัก ควรมีค่า STC 50 เป็นอย่างน้อย (ตัวอย่างเช่น ผนังคอนกรีตมวลเบา หนา 20 ซม.) แต่หากต้องการความมั่นใจในประสิทธิภาพการป้องกันเสียง แนะนำว่าผนังระหว่างห้องพัก ควรมีค่า STC 55 (ตัวอย่างเช่น ผนังก่อคอนกรีตมวลเบาสองชั้นเว้นช่องว่างอากาศตรงกลาง ความหนารวม 25 ซม.)​ "ประตูห้องกันเสียง" จากเรื่องผนังแล้ว ประตูห้องพักก็ควรมีคุณสมบัติป้องกันเสียงที่ดีเช่นกัน เพราะเสียงอาจลอดผ่านเข้ามาทางประตูได้ ตัวอย่างลักษณะของประตูที่ช่วยป้องกันเสียง ก็คือ เป็นประตูบานทึบตัน หรือประตูที่มีการกรุฉนวนกันเสียงอยู่ภายในบานประตู และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรติดตั้งยางกันเสียงโดยรอบขอบประตูและด้านล่างของประตูด้วย​ "ระบบระบายอากาศลดกลิ่น" กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มาจากภายนอก หรือภายในบ้าน ก็อาจทำให้สุนัขไม่สบายตัวได้ จนเกิดการเห่าหรือหอนขึ้นมา การมีบ้านที่มีหน้าต่างเพียงพอ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยเจือจางกลิ่น และบรรเทาปัญหานี้ลงได้ ยิ่งถ้ามีระบบระบายอากาศและเติมอากาศเพิ่มเติม ก็ยิ่งช่วยให้ปัญหาเรื่องกลิ่นหายไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น​ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขของเราหอนโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นคือ "การดูแล เอาใจใส่" อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สุนัข "รู้สึกอบอุ่น ไม่เหงา" เป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะช่วยลดความวิตกกังวลของสุนัขได้ และควรหมั่นสังเกตพฤติกรรม หากมีอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติ ต้องรีบพาไปพบคุณหมอ เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที รับผิดชอบเรื่องคุณภาพชีวิตของเค้า ดูแลเรื่องอาหารและน้ำไม่ขาดตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ จัดสรรเวลาพาสุนัขไปเดินเล่นในสวน วิ่งออกกำลังกาย ปล่อยพลังงาน ยิ่งมีพื้นที่สีเขียวอยู่ใกล้บ้านก็ยิ่งสะดวกต่อการมีกิจกรรมร่วมกัน​ หากในช่วงเวลากลางวันที่เราอาจจะต้องออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่บ้านหรือห้องพัก ก็ควรจะให้อิสระกับสุนัขได้เดินเล่น ชมวิวทิวทัศน์ และสัมผัสอากาศธรรมชาติได้บ้าง เพื่อผ่อนคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล​ เมื่อเรามีพื้นที่การอยู่ร่วมกันที่มีความสุข ก็จะช่วยส่งเสริมให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพกายที่แข็งแรงไปด้วยกัน ทั้งเราและสัตว์เลี้ยง​ สิ่งลี้ลับอาจจะมีหรือไม่มีจริง เราไม่อาจรู้ได้ แต่หากได้ยินเสียงสุนัขหอนตอนกลางคืน อย่าเพิ่งตื่นกลัว หรือรำคาญ ลองตรวจสอบดูก่อนว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับสุนัขเรา หรือสุนัขของเพื่อนบ้านหรือไม่ เพราะสุนัขคงต้องการจะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างให้เรารับรู้ หรือขอความช่วยเหลือ​ Whizdom The Forestias Petopia คอนโดวิวป่า 30 ไร่ ที่ออกแบบโดยเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง และคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ทั้ง Wicket Door ที่ให้อิสระกับสัตว์เลี้ยง ผนังสองชั้นกันเสียง ประตูกันเสียงพร้อมติดตั้ง Door Seal และ Drop Seal รวมทั้ง ERV และ Fresh Air Fan ที่ช่วยเติมอากาศและแลกเปลี่ยนอากาศให้ภายในห้องมีอากาศที่ดีอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ เพื่อสร้างความสุขร่วมกันทั้งเจ้าของ และสัตว์เลี้ยง​ เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​

765 viewer

จุดเริ่มจาก “การกินเจ” สู่การออกแบบการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

เมื่อพูดถึงเทศกาลถือศีลกินเจ เรามักจะนึกถึงช่วงเวลาของการไม่กินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ต้องการลดการเบียดเบียน หรือเลี่ยงการรบกวนชีวิตสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่จะลงมาดูแลปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถือศีล ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนที่บอกว่า การกินเจ 9 วัน 9 คืน จะเป็นการสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ในอดีตกาล และพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ ​จากความเชื่อกลายเป็นเทรนด์รักสุขภาพ​ปัจจุบัน หลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น “การกินเจ” จึงกลายเป็นช่วงเวลา “เริ่มต้น” ของการ “ละการกินเนื้อสัตว์” เน้นการ “กินผักและผลไม้” โดยเอาเทศกาลเป็นตัวกระตุ้น และมีเพื่อนกินเจในเทศกาลนี้เยอะอีกด้วย​ด้านสุขภาพกาย การกินอาหารที่ปรุงจากพืชผัก ผลไม้ และธัญพืช เป็นการลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มใยอาหาร สร้างความสบายให้แก่ระบบย่อยอาหารลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานที่ราบรื่นของร่างกาย มีงานวิจัยยืนยันว่า การบริโภคพืชกลุ่มถั่วเป็นหลักช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ถึง 21% ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ถึง 11% ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้มากถึง 20.2 ล้านตัน นับเป็นการดูแลทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน​ด้านสุขภาพใจ การกินเจเป็นการกำหนดวินัยให้กับตนเอง และฝึกสติในทุกมื้ออาหาร จิตใจที่สงบจากการเลือกอย่างมีสติ คือหัวใจสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดี หรือ Well-being ซึ่งไม่ได้วัดเพียงจากร่างกายแข็งแรง แต่รวมถึงความสมดุลระหว่างกาย ใจ และสังคมด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกความเมตตา และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคารพ นับว่าเป็นอีกหนึ่งในแก่นแท้ของการสร้างสุขภาวะทั้งกาย และจิตใจอย่างสมบูรณ์​ที่สำคัญ การกินเจยังสะท้อนแนวคิด “การออกแบบพฤติกรรมที่ยั่งยืน” ผู้คนอาจเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติ 9 วันต่อปี ซึ่งหากคำนวณจากการประเมินของสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า หากการเปลี่ยนไปทานอาหารที่มาจากพืช สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อปีของแต่ละบุคคลได้ถึง 5.75 กิโลกรัมคาร์บอร์ต่อวัน การกินเจเป็นระยะเวลา 9 วัน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 50-55 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทียบกับการกินอาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือความตระหนักรู้ และความตั้งใจที่จะเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ในมิติของ Well-Being ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับการออกแบบพฤติกรรมที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานให้เกิดพฤติกรรมที่ดีอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การเลือกอาหารที่สดใหม่และมีประโยชน์ การตระหนักถึงที่มาของวัตถุดิบ หรือการลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและยั่งยืน ​การกินเจจึงไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการออกแบบชีวิตสู่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาวให้มีคุณค่ามากขึ้น ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อเราตระหนักว่า “ทุกการเลือกคือการออกแบบ” เราก็สามารถปรับการกินเจ ไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง​เนื้อหาโดย คุณ วชรกรณ์ มณีโชติ สถาปนิกวิจัย Well-Being Research Integration, RISC ​อ้างอิงข้อมูลโดย​https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2161831323000686 ​https://www.mdpi.com/2071-1050/12/19/8228​https://www.un.org/en/actnow/food​

721 viewer