RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

HUG เจ้า(นาย) 5 นาที ดีต่อใจ

โดย RISC | 5 ชั่วโมงที่แล้ว

“วันนี้เหนื่อยจัง ขอกอดเจ้านายชาร์จพลังหน่อยนะ”​“ทำไมรู้สึกสบายใจ และหัวใจก็เต้นช้าลง”​นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีของร่างกายที่ได้รับการเยียวยา มีความผ่อนคลาย และความเครียดที่ลดลงจากการที่ได้กอดน้องหมา หรือเจ้านายของเราก็เป็นได้​Nancy R. Gee, PhD ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (Human Animal Interaction) มหาวิทยาลัย Virginia Commonwealth เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าการกอด การสัมผัส หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับน้องหมาอย่างสนิทสนมเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 5-20 นาที สามารถเพิ่มพลังให้กันและกันได้ ช่วยให้ระดับคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดลดลง และกระตุ้นระดับออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนแห่งความรักเพิ่มขึ้นได้ ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่รู้สึกดี น้องหมาก็รู้สึกได้เช่นกัน ซึ่งพลังพิเศษนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับเรา และน้องหมาที่เพิ่งพบเจอกันได้อีกด้วย​ด้าน Virginia Satir นักจิตบำบัดชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว แนะนำว่าคนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้งเพื่อการอยู่รอด วันละ 8 ครั้งเพื่อการฟื้นฟูบำรุงรักษา และวันละ 12 ครั้งเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายและจิตใจ​ขณะที่ Marti R. จากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และคณะ ได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการแพ้สุนัข จำนวน 21 คน โดยให้กอดน้องหมาจริงสลับกับกอดตุ๊กตาสิงโต แล้วทำการวัดค่าฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน ฮีโมโกลบินที่ไม่มีออกซิเจน ปริมาณฮีโมโกลบินรวม และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดบริเวณกลีบสมองส่วนหน้าสุด เพื่อประเมินการทำงานของสมอง ซึ่งผลการทดลองพบว่า การกอดหรือการเล่นกับน้องหมาจริงมีประสิทธิภาพดีกว่าการกอดตุ๊กตา ช่วยให้การทำงานของสมองส่วนหน้าที่คอยทำหน้าที่คิด วิเคราะห์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น​นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยอีกมากมายที่สนับสนุนว่า การกอดช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ช่วยให้รู้สึกพึงพอใจ เกิดความปิติยินดี ช่วยกระตุ้นการหลั่งเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) ลดความกังวล ซึมเศร้า มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ และระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้มักจะได้รับการกระตุ้นเมื่อกอดกันอย่างน้อย 20 วินาที ขึ้นไป​อีกทั้งการกอดกันยังช่วยการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ทำให้ออกซิเจนถูกลำเลียงไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา​เพราะการกอด คือยาอายุวัฒนะ ยิ่งอยู่ด้วยกัน ได้กอดทุกวัน อายุยืนขึ้นทุกวัน​วันนี้กลับบ้าน อย่าลืมไปกอด "เจ้านาย" ของเรา แล้วอย่าลืมสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของน้องด้วย เผื่อหากวันไหนน้องไม่สบายตัว ไม่เต็มใจให้กอด จะได้ไม่เป็นการฝืนใจเค้า​ในวัน National Hug Your Hound Day หรือวันกอดสุนัขแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ลองใช้เวลาแค่ 5 นาที เปิดใจและให้โอกาสตัวเองได้รับและส่งพลังดีดีให้กันและกัน​และหากกำลังมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม ในสภาพแวดล้อมที่เป็น Pet-Friendly ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลาง สามารถวิ่งแล่น ออกกำลังกายร่วมกันได้ ที่ Whizdom The Forestias Petopia ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็พิเศษอยู่แล้วในทุกๆ วัน​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​Gee NR, Rodriguez KE, Fine AH, Trammell JP. Dogs Supporting Human Health and Well-Being: A Biopsychosocial Approach. Front Vet Sci. 2021 Mar 30;8:630465. doi: 10.3389/fvets.2021.630465. PMID: 33860004; PMCID: PMC8042315.​Gee NR, Townsend L, Friedmann E, Barker S, Mueller M. A Pilot Randomized Controlled Trial to Examine the Impact of a Therapy Dog Intervention on Depression, Mood, and Anxiety in Hospitalized Older Adults. Healthcare (Basel). 2025 Jul 25;13(15):1819. doi: 10.3390/healthcare13151819. PMID: 40805852; PMCID: PMC12346317.​Grewen K. M., Girdler S. S., Amico J. & Light K. C. Effects of partner support on resting oxytocin, cortisol, norepinephrine, and blood pressure before and after warm partner contact. Psychosom. Med. 67, 531-538 (2005).​Handlin, L. et al. (2011) ‘Short-Term Interaction between Dogs and Their Owners: Effects on Oxytocin, Cortisol, Insulin and Heart RateAn Exploratory Study’, Anthrozoös, 24(3), pp. 301–315. doi: 10.2752/175303711X13045914865385. ​Holt-Lunstad J., Birmingham W. A. & Light K. C. Influence of a “warm touch” support enhancement intervention among married couples on ambulatory blood pressure, oxytocin, alpha amylase, and cortisol. Psychosom. Med. 70, 976-985 (2008).​Light K. C., Grewen K. M. & Amico J. A.More frequent partner hugs and higher oxytocin levels are linked to lower blood pressure and heart rate in premenopausal women. Biol. Psychol. 69, 5-21 (2005).​Marti R, Petignat M, Marcar VL, Hattendorf J, Wolf M, Hund-Georgiadis M, et al. Effects of contact with a dog on prefrontal brain activity: A controlled trial. PLoS ONE 17(10): e0274833 (2022).

29 viewer

พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา

โดย RISC | 1 วันที่แล้ว

รู้หรือไม่ แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 720,000 คน หรือเฉลี่ย 1 คนในทุกๆ 40 วินาที​การฆ่าตัวตายไม่เพียงส่งผลต่อผู้จากไป แต่ยังสร้างบาดแผลทางจิตใจต่อครอบครัว เพื่อน และสังคมอีกด้วย​สำหรับในประเทศไทย ปัญหานี้ก็ยังคงน่ากังวล โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายกว่า 4,500–5,000 คน หรือเฉลี่ยมากกว่า 12 คนต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เราทุกคนต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันการสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น​แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อน แต่เราสามารถเริ่มป้องกันได้จากสิ่งเล็กๆ รอบตัว เช่น​📌 สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อบอุ่น​📌 เปิดใจฟังกันอย่างจริงใจโดยไม่ตัดสิน​📌 สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตได้อย่างสะดวก และไม่ถูกตีตรา​📌 สร้างสังคมที่ทุกคนสามารถพูดถึงความรู้สึกของตัวเองได้อย่างปลอดภัย​สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้คือ “เกราะป้องกันใจ” ที่ช่วยให้ผู้ที่กำลังเปราะบางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป​นอกจากการเพิ่มเกราะป้องกันใจแล้ว สิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ ก็มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพจิต และลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย​พื้นที่สีเขียวไม่เพียงแค่เพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ทั้ง...​📌 ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การดักจับคาร์บอนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ​📌 ด้านสุขภาพกาย เช่น การลดมลพิษทางอากาศและปรับอุณหภูมิในเมือง​📌 ด้านสุขภาพจิต เช่น การลดความเครียดและสร้างความสงบ​โดยงานวิจัยในเวลส์ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลประชากรกว่า 2 ล้านคนตลอด 10 ปีพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพแวดล้อมร่มรื่น หรืออยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำ มีความเสี่ยงต่อความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าน้อยลง​การส่งเสริมให้ประชาชนใช้พื้นที่สีเขียว พร้อมกับการพัฒนาและดูแลให้เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนมักเผชิญความเครียดหรือความกดดันสูง เช่น ชุมชนหนาแน่น พื้นที่ทำงานเสียงดัง หรือชุมชนที่ขาดพื้นที่สันทนาการ จะช่วยให้ทุกคนมีโอกาสได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพจิตอย่างเท่าเทียม​พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติจึงเป็นเหมือน “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทางเดินร่มรื่น หรือพื้นที่สีเขียวในโรงเรียน สถานที่ทำงาน และที่อยู่อาศัยที่กลมกลืนกับธรรมชาติ อย่างเช่น โครงการ The Forestias ที่ออกแบบพื้นที่ป่าเพื่อตอบโจทย์อย่างยั่งยืน เพื่อให้พื้นที่เหล่านี้ช่วยเยียวยาใจ ทำให้เรารู้สึกสงบ ลดความเครียด และเติมพลังใจให้ก้าวต่อ​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Geary, R. S., Thompson, D., Mizen, A., Akbari, A., Garrett, J. K., Rowney, F. M., … Rodgers, S. E. (2023). Ambient greenness, access to local green spaces, and subsequent mental health: A 10-year longitudinal dynamic panel study of 2·3 million adults in Wales. Lancet Planetary Health, 7(10), e809–e818. https://doi.org/10.1016/S2542-5196(23)00212-7​Twohig-Bennett, C., & Jones, A. (2018). The health benefits of the great outdoors: A systematic review and meta-analysis of greenspace exposure and health outcomes. Environmental Research, 166, 628–637. https://doi.org/10.1016/j.envres.2018.06.030​Triguero-Mas, M., Dadvand, P., Cirach, M., Martínez, D., Medina, A., Mompart, A., Basagaña, X., Gražulevičienė, R., & Nieuwenhuijsen, M. J. (2015). Natural outdoor environments and mental and physical health: Relationships and mechanisms. Environment International, 77, 35–41. https://doi.org/10.1016/j.envint.2015.01.012​World Health Organization. (2025). World Suicide Prevention Day 2025. https://www.who.int/campaigns/world-suicide-prevention-day/2025​World Health Organization. Regional Office for Europe. (2023). Assessing the value of urban green and blue spaces for health and well-being. https://iris.who.int/handle/10665/367630​กรมสุขภาพจิต. (n.d.). รายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปีงบประมาณ 2566. https://suicide.dmh.go.th/news/view.asp?id=92​

81 viewer

"Neuroinclusive Design”​ การออกแบบรองรับการรับรู้รอบตัวที่ต่างกัน​

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ได้มีแค่ความต่างเรื่องเพศ สถานะ การศึกษา แต่...รู้หรือไม่ ความแตกต่างนี้ยังมีในรูปแบบอื่นอีก ทั้งการรับรู้ ความรู้สึก และปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลาย​“Neuroinclusive Design” หรือ “การออกแบบเพื่อรองรับความหลากหลายทางระบบประสาท” จึงเป็นแนวคิดที่น่าจับตามองสำหรับการออกแบบอาคารยุคใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบความเงียบหรือเสียงเพลง หรือรู้สึกไม่สบายใจกับแสงที่สว่างเกินไปหรือมืดเกินไป การออกแบบที่ใส่ใจความรู้สึก การรับรู้ และการตอบสนองของสมองที่แตกต่างกันสามารถเปลี่ยน “อาคาร” ให้กลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่แท้จริงได้​จุดมุ่งหมายของ Neuroinclusive Design เพื่อสร้างพื้นที่ที่เข้าใจความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ไวต่อเสียง ผู้สูงวัยที่มีปัญหาด้านความจำ หรือแม้แต่คนทั่วไปที่มีรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน โดยหลักการสำคัญของแนวคิดนี้ คือการออกแบบที่ “ยืดหยุ่น” “ปลอดภัย” และ “ไม่ตัดสินความแตกต่าง” รวมทั้ง “ออกแบบให้เหมาะกับตัวเองได้” ซึ่งแนวคิดนี้มีการนำองค์ประกอบต่างๆ ทั้งความสว่างของแสง สีของแสง สี เฟอนิเจอร์ อุณหภูมิ เสียง ต้นไม้ หิน เส้นโค้ง เส้นตรง ผนัง กระจก และอื่นๆ อีกมากมาย คัดเลือกอย่างเข้าใจต่อการรับรู้ของระบบประสาท และนำมาออกแบบสภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้เกิด Neuroinclusive Design ขึ้นมา​แม้แนวคิดนี้อาจดูใหม่ และเป็นเชิงทฤษฎี แต่จริงๆ แล้วสามารถนำมาปรับใช้ในอาคารทั่วไปได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างเช่น การเลือกใช้โทนสีที่ไม่รบกวนประสาทสัมผัส เช่น สีเอิร์ธโทนหรือพาสเทล ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบ ลดความเครียด หรือการออกแบบให้อาคารมีระบบควบคุมแสงที่ยืดหยุ่น เช่น ไฟห้องที่ปรับระดับส่องสว่างได้ หรือม่านที่สามารถกรองแสงธรรมชาติได้ตามระดับที่ต้องการ​อีกหนึ่งตัวอย่างที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือการสร้าง “มุมเงียบ” ในพื้นที่เล็กๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือ หรืออยู่กับตัวเองโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียง หรือความวุ่นวายรอบตัวภายนอก โดยใช้การใช้วัสดุดูดซับเสียง เพื่อลดเสียงรบกวนในพื้นที่ที่มีการใช้งานหลายอย่างร่วมกับพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับเด็กที่มีสมาธิสั้น หรือผู้ใหญ่ที่ต้องการพักจากโลกภายนอก นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสที่อ่อนโยน เช่น ผ้าฝ้าย ไม้ หรือวัสดุที่ไม่สะท้อนแสง ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบาย และมั่นคงมากขึ้นหากต้องการออกแบบสถานที่ทำงานที่สร้างสภาพแวดล้อมช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น สามารถทำได้หลายแนวทาง เช่น การออกแบบเพดานเตี้ย ร่วมกับการมีแสงไฟที่ส่องสว่างโฟกัสไปที่โต๊ะทำงาน ช่วยให้รู้สึกจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายขึ้น ส่วนการเลือกโทนสีภายในสำนักงานก็มีผลต่อสมองเช่นกัน โดยการเลือกใช้สีโทนอุ่นสามารถช่วยลดความตึงเครียด ในขณะที่สีสดใสก็ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การใช้วัสดุที่มีผิวขรุขระ ไม่เป็นระเบียบ คู่กับผนังที่ใช้ลายเส้นซับซ้อนมาประดับ ก็ส่งเสริมให้เกิดการพูดคุย เพิ่มการสนทนาของเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้นเช่นกันการออกแบบอาคารสำนักงานแบบ Neuroinclusive ไม่ใช่เพียงแนวคิดเพื่อ “ความเข้าใจผู้ใช้งาน” เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเครียด และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจทุกคน เพราะ “พื้นที่ที่ดี” คือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง และทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าพวกเขาจะรับรู้โลกนี้ด้วยวิธีใดก็ตามเนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC

349 viewer

“ฟ้าใส มินิ” กับภารกิจฟอกอากาศใจกลางกรุงเทพมหานคร

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อพูดถึงย่านที่มีความหนาแน่นของการจราจรสูง หนึ่งในนั้นต้องมี “ย่านราชประสงค์” อยู่ด้วย เพราะเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจหลายอย่าง มีการสัญจรของทั้งประชาชน และนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมของมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter: PM) ที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก ​และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีการติดตั้งหอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” ขึ้นมาในย่านนั้น เพื่อศึกษาศักยภาพของระบบฟอกอากาศกลางแจ้งในพื้นที่ใช้งานจริง โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพื้นที่เกษร และย่านราชประสงค์ ในการติดตั้งบริเวณหน้าอาคารเกษร อมรินทร์ และเกษรวิลเลจ​ฟ้าใส มินิ ทำงานผ่านกระบวนการฟอกอากาศด้วยเทคโนโลยี Venturi Scrubber ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) เพื่อดักจับฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบให้ทำงานโดยอัตโนมัติตามค่าฝุ่นที่ตรวจพบในแต่ละช่วงเวลา เป็นการเพิ่มความแม่นยำในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่จริง และใช้ทรัพยากรเพื่อดักจับฝุ่นละอองเท่าที่จำเป็น การประเมินผลการทำงานของระบบฟอกอากาศฟ้าใส มินิ ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงอย่างต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ได้ในระดับที่น่าสนใจ โดยมีประสิทธิภาพการลดค่าฝุ่นเฉลี่ยรายชั่วโมงสูงสุดอยู่ที่ 65% และเฉลี่ยรายวัน (24 ชั่วโมง) สูงสุดอยู่ที่ 36% โดยผลลัพธ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ทิศทางและความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ และระดับความหนาแน่นของการจราจรในพื้นที่ในแต่ละวัน จากการวิเคราะห์ตามช่วงเวลาพบว่า ฟ้าใส มินิ มีประสิทธิภาพสูง สามารถฟอกอากาศได้ดีในช่วงเวลาเย็น (18:00) จนถึงเที่ยงวัน (12:00) ซึ่งเป็นช่วงที่สอดคล้องกับเวลาที่มีการใช้งานพื้นที่ และการจราจรหนาแน่น แต่บางช่วงตอนกลางวันที่มีลมธรรมชาติพัดแรง ก็มีส่วนช่วยลดค่าฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น​ แม้ในช่วงฤดูฝน หรือฤดูที่มีฝุ่นน้อย ฟ้าใส มินิ ยังคงทำงานอัตโนมัติตามสภาวะอากาศจริง โดยเปิดทำงานเฉพาะช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นเกินเกณฑ์กำหนด จึงช่วยให้พื้นที่มีปริมาณฝุ่นต่ำ ช่วยลดการสัมผัสฝุ่นละอองในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีความเข้มข้นสูง (short-term peak exposures)ฟ้าใส มินิ ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ทางวิศวกรรมสำหรับฟอกอากาศ แต่ทำหน้าที่เสมือน "กลไกเฝ้าระวัง" ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทุกคนจากมลพิษที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวัน แม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่อาจรับรู้ถึงภัยที่แฝงอยู่ในอากาศรอบตัว​เนื้อหาโดย ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ TREES-A, Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC

393 viewer

คนหากิน สัตว์ก็หากิน

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

“คนหากิน สัตว์ก็หากิน...เราไม่เบียดเบียนกันและกัน”​ หลายคนคงเคยฟังเพลง “ชีวิตสัมพันธ์" ของวงคาราบาวกันมาบ้าง แต่...เคยสังเกตไหม? ว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมี “ช่วงเวลา” ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป และธรรมชาติก็ได้ออกแบบจังหวะชีวิตไว้อย่างน่าทึ่ง​ถ้าลองสังเกตดีๆ เราจะพบว่า พฤติกรรมเหล่านี้คล้ายๆ กับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เหมือนกัน งั้นวันนี้เรามาสำรวจ “พฤติกรรมการหากิน” ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติกัน​ พฤติกรรมการหากินของสัตว์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลักๆ​Diurnal: กลางวัน คือ เวลาทำงาน คล้ายกับมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะตื่นเช้า ออกหากินเมื่อแสงแดดมาเยือน และพักผ่อนเมื่อค่ำลง มักมีสายตาที่ปรับเข้ากับแสงสว่างได้ดี เช่น ช้าง ลิง หรือแม้แต่นกบางชนิด​Nocturnal: กลางคืน คือ เวลาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้จะนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน และมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศ ทั้งเรื่องการได้ยิน การดมกลิ่น และการมองเห็นในที่มืด เช่น ค้างคาว นกเค้าแมว งู และแมลงกลางคืน​Crepuscular: เช้าตรู่กับพลบค่ำ คือ นาทีทอง สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้มักจะตื่นตัวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อหลีกเลี่ยงแสงจ้า และความมืดสนิท เช่น ยุงบางชนิด กวาง หรือกระต่าย ​Cathemeral: ชีวิตสายยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับเวลา จะหากินเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความปลอดภัย หรือฤดูกาล สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ เช่น หมี เสือ​ เราคงเห็นแล้วว่า “เวลา” ไม่ใช่แค่เข็มนาฬิกาในธรรมชาติ แต่มันคือจังหวะชีวิต และไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ทุกชีวิตล้วนต่างกำลังหาทางอยู่รอด และมีชีวิตในจังหวะเวลาเป็นของตัวเอง​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Vallejo-Vargas, A.F., Sheil, D., Semper-Pascual, A. et al. Consistent diel activity patterns of forest mammals among tropical regions. Nat Commun 13, 7102 (2022).​https://www.nature.com/articles/s41467-022-34825-1?utm_source=chatgpt.com​  

463 viewer

สนามออกกำลังกายผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เล่นสนุก แต่ยังเพิ่มความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเล็กน้อยในแต่ละวันอาจส่งผลต่อร่างกายได้​แท้จริงแล้ว “การออกกำลังกาย” ที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีอิสระในชีวิตประจำวัน​​RISC ขอแบ่งปันงานวิจัย "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" ช่วยลดการหกล้มที่เห็นผลชัดเจนผ่านงานวิจัย และได้นำสนามออกกำลังกายรุ่นที่ผ่านงานวิจัยนั้นมาติดตั้งจริงในโครงการของ The Forestias และ The Aspen Tree ​​สนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยจึงจำเป็นอย่างมากเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งสนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยต้องออกแบบมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (Physical Activity) อย่างรอบด้านทั้ง 4 รูปแบบ...​◾️ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่ให้แรงต้านต่อมัดกล้ามเนื้อโดยอาศัยน้ำหนักตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงล่างและช่วงบน ซึ่งสำคัญต่อการลุก เดิน หรือยืน​◾️ การฝึกการทรงตัวและป้องกันการหกล้ม (Balance Exercises) เป็นการฝึกการทรงตัว ควบคุมร่างกายให้มีความสมดุลทั้งในขณะอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว โดยมีอุปกรณ์ที่ท้าทายการทรงตัว เช่น แผ่นสั่น แท่นก้าว เดินบนพื้นต่างระดับ หรือราวจับเดินทรงตัว ช่วยให้ผู้สูงวัยฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การประสานการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย (Coordination & Function Exercises) เป็นการพัฒนาความสามารถในการประสานงานระหว่างมือ ตา เท้า และส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การหันตัว การลุกยืน ให้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ดี  เป็นจังหวะขั้นตอน และลำดับอย่างสัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การส่งเสริมการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่น (Movement & Flexibility Exercises) เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่อ ช่วยให้ร่างกายมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็งแรง เพื่อส่งเสริมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ให้เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจขึ้นในชีวิตประจำวัน​​Dr. Pazit Levinger ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการออกกำลังกายและการป้องกันการหกล้มในผู้สูงวัย และนักวิจัยอาวุโสที่ National Ageing Research Institute (NARI) ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาและวิจัย Seniors Exercise Park หรือ "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจ ผ่านโครงการ ENJOY Project (Exercise intervention outdoor project in the community)​​ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่า Seniors Exercise Park สามารถ...​◾️ ลดความเสี่ยงในการหกล้ม (จำนวนผู้หกล้มและความถี่การหกล้ม) ของผู้สูงวัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ และติดตามผลรวม 12 เดือน โดยสัดส่วนการหกล้ม (อย่างน้อย 1 ครั้ง) ภายใน 12 เดือน จากเดิม 51.8% เหลือ 31.4% และจำนวนการหกล้มของอาสาสมัครทั้งหมด จากเดิม 42 ครั้ง เหลือเพียง 29 ครั้ง​◾️ เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รวมทั้งการทรงตัวของผู้สูงวัย เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 18 สัปดาห์ พบว่าสามารถเพิ่มความสามารถในการทรงตัว เมื่อยืนด้วยขาข้างเดียว ความแข็งแรงของหัวเข่า ระยะทางเมื่อเดินในเวลา 2 นาที และลุกขึ้นนั่งได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงวัย และมีความปลอดภัยขณะฝึก​◾️ ผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อมใน Residential Care สามารถใช้ได้ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ สามารถเดินได้ระยะทางมากขึ้น และเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยไม่เกิดการหกล้ม นอกจากนี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเพลินเพลิน สนุก และอารมณ์ดีขึ้นตลอดการฝึก ทั้งยังลดภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) ได้เป็นอย่างมากจากผลงานวิจัย เราจะเห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้มีการปรับปรุงสวนสาธารณะ Senior Exercise Park จำนวน 24 แห่ง (ปี 2022) หลายแห่งรัฐ Melbourne และ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ให้กลายเป็นพื้นที่กลางแจ้งที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และยังมีการใช้โปรแกรมการออกกำลังกาย Senior Exercise Park นี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มกิจกรรมทางสังคม ให้ผู้สูงวัยสามารถออกกำลังกายเป็นกลุ่ม เกิดการพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้ช่วยลดความโดดเดี่ยวและอยากออกจากบ้านไปทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง​​เช่นเดียวกับที่ The Forestias by MQDC ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้นำงานวิจัยมาพัฒนา และติดตั้งสนามออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัยไว้ถึง 2 จุด ทั้งบริเวณส่วนกลาง Happy Lawn และในโครงการ The Aspen Tree เพื่อให้ผู้สูงวัยได้ออกกำลังกาย และใช้เวลาทำกิจกรรมทางสังคมมากขึ้นเนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material อ้างอิงข้อมูลจาก​Pazit Levinger and etc, 2020. Guidance about age-friendly outdoor exercise equipment and associated strategies to maximise usability for older people. Health Promot J Austral. 2021;32:475–482.​Pazit Levinger et al. The Effect of the ENJOY Seniors Exercise Park Physical Activity Program on Falls in Older People in the Community: A Prospective Pre-Post Study Design. The journal of nutrition, health & aging, (2022) 26: 217–221 ​Pazit Levinger et al. Outdoor physical activity for older people-the senior exercise park: Current research, challenges and future directions. Health promotion journal of Australia, (2018) 1-7.​Levinger et al. Exercise interveNtion outdoor proJect in the cOmmunitY - results from the ENJOY program for independence in dementia: a feasibility pilot randomised controlled trial. BMC Geriatr. 2023 Jul 12;23(1):426.​

544 viewer

“พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics) เปลี่ยนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่​

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

ขยะพลาสติกยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญ แม้เราจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลพลาสติกทั่วไป แต่ยังมีพลาสติกอีกประเภทหนึ่งที่ซับซ้อนและจัดการได้ยากกว่ามาก​โดยทั่วไป เรามักจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลขวดน้ำดื่ม กล่องอาหาร ภาชนะพลาสติก หรือถุงพลาสติก ซึ่งเป็นพลาสติกประเภท “เทอร์โมพลาสติก” (Thermoplastics) ที่สามารถหลอมละลายและขึ้นรูปใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน แต่วันนี้ เราจะมาพูดถึงพลาสติกอีกชนิดที่กำลังเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ “พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics)​พลาสติกเทอร์โมเซต เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อสารเคมี และเมื่อโดนความร้อนแล้วจะไม่อ่อนตัว ไม่สามารถหลอมและนำไปขึ้นรูปใหม่ได้ แต่จะแข็งตัวและไหม้ไปเลย จึงเหมาะกับการใช้งานในสภาพที่หนักหน่วง อย่างเช่น ยางรถยนต์ โฟมพอลิยูรีเทนที่ใช้ทำโซฟา เบาะรถยนต์ พื้นรองเท้า กาว สารเคลือบจากอีพอกซีเรซิน หรือจานชามเมลามีน อย่างไรก็ตาม จากความแข็งแรงทนทานนี้ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตรีไซเคิลได้ยาก ส่งผลให้ขยะพลาสติกเทอร์โมเซตจำนวนมากต้องถูกกำจัดด้วยการฝังกลบหรือเผาทำลาย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​แล้วเราจะจัดการกับพลาสติกเทอร์โมเซตได้อย่างไร?​“Vitrimerization” คือ กระบวนการที่ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตให้กลายเป็นพลาสติกที่มีโครงสร้างไดนามิก สามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้ ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Transesterification" เมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ทำให้พลาสติกที่ผ่านกระบวนการ Vitrimerization มีคุณสมบัติที่ผสานระหว่างเทอร์โมพลาสติก และพลาสติกเทอร์โมเซต หรือก็คือ สามารถหลอม และขึ้นรูปใหม่ได้ แต่ยังคงโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาวะการใช้งานต่างๆ ทั้งความร้อน แสงแดด และสารเคมี อีกทั้งยังมีคุณบัติในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-Healing) เนื่องจากพันธะสามารถแตกตัว และเชื่อมโยงใหม่เมื่อได้รับความร้อนในสภาวะที่เหมาะสม ทำให้สามารถขึ้นรูปใหม่ เปลี่ยนรูปร่าง หรือซ่อมแซมตัวเองได้หลายครั้ง (3-5 ครั้ง) โดยไม่สูญเสียสมบัติเชิงกล กระบวนการนี้จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้​ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การจัดการพื้นรองเท้ากีฬา รองเท้าวิ่ง ซึ่งทำมาจากโฟมเอทิลีนไวนิลอะซีเตท (EVA) ที่ถูกเชื่อมขวางโมเลกุล (Crosslink) ทำให้โฟมมีความยืดหยุ่นสูง รับแรงกระแทกได้ดี ทนทาน และไม่ยุบตัว จากงานวิจัยพบว่า EVA Thermoset สามารถเปลี่ยนเป็น EVA Vitrimer ได้ โดยการนำเศษ EVA มาบดย่อยให้มีขนาดเล็กในระดับไมครอน (< 200 µm) ผสมร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น ซิงค์อะซีเตท (Zn acetate) และวัสดุที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) เช่น โพลีไวนิลแอลกอฮอล์ (PVOH) เมื่อนำของผสมดังกล่าวอัดขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงจะเกิดปฏิกิริยา Transesterification ทำให้พันธะเชื่อมขวางบางส่วนเปลี่ยนเป็นพันธะแบบไดนามิก เมื่อทำการอัดขึ้นรูปใหม่อีกครั้งพบว่า สามารถขึ้นรูปได้โดยไม่ต้องเติมสารเคมีเพิ่ม และยังคงสมบัติเดิม ไม่เสื่อมสภาพเหมือนกับการรีไซเคิลเชิงกล จะเห็นได้ว่าพันธะไดนามิกที่เกิดขึ้นสามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกเทอร์โมเซตที่รีไซเคิลได้ยาก ให้กลับมารีไซเคิลได้ ทั้งยังเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ และมูลค่าสูง​อย่างไรก็ตาม กระบวนการ Vitrimerization ยังมีข้อจำกัดในการบดย่อยขยะพลาสติกเทอร์โมเซตให้มีขนาดเล็กระดับไมครอน โดยเฉพาะวัสดุกลุ่มยางที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง ซึ่งการบดย่อยที่อุณหภูมิห้องทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องทำให้ยางอยู่ในสถานะคล้ายแก้วที่มีความแข็ง และเปราะ เพื่อให้ง่ายต่อการบดย่อย กระบวนการนี้จะต้องใช้ความเย็นสูงเพื่อบดย่อยที่อุณหภูมิติดลบ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อไปจะเปิดโอกาสให้สามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้ในอนาคต เช่น การรีไซเคิลแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กังหันลม ชิ้นส่วนยานยนต์ ยานอวกาศ ฉนวนในแผงโซล่าเซลล์ นับเป็นการช่วยลดปริมาณขยะอุตสาหกรรม และขยะพิษ และช่วยให้การจัดการซากผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปอย่างยั่งยืนมากขึ้น​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Amin Jamei Oskouei et, al. 2024. Vitrimerization of crosslinked poly(ethylene-vinyl acetate): the effect of catalysts. RSC Appl. Polym., 2024, 2, 905. ​Alireza Bandegi et, al. 2023. Vitrimerization of crosslinked elastomers: a mechanochemical approach for recycling thermoset polymers. Mater. Adv., 2023, 4, 2648–2658.​

537 viewer

หน้าฝนแล้ว พร้อมรับมือแล้วรึยัง?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

ตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายจังหวะก็มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง​ แล้วมีใครสงสัยไหม? ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนได้โดยใช้หลักเกณฑ์อะไร​ กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่​ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และฝนตกต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามัน เข้ามาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก​ โดยปริมาณฝนจะมีปริมาณมากหรือน้อย น้ำจะท่วมหรือฝนทิ้งช่วงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า แต่ในช่วงนี้โลกกำลังอยู่ในสภาวะเป็นกลางจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมในบ้านเราในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และฝนมีแนวโน้มการกระจายตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจะยังคงอยู่กับเราไปจนถึงเดือนตุลาคม โดยในเดือนสิงหาคม และกันยายนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น ​ สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปจนหมดฤดูฝนของเรา คือการเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ลืมพกร่มทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน สวมใส่รองเท้าที่กันลื่น หลีกเลี่ยงสภานที่แออัดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคที่มากับฤดูฝนได้ง่าย และอย่างลืมตรวจเช็คยานพาหนะให้สมบูรณ์ พร้อมต่อการขับขี่ในฤดูฝนอย่างปลอดภัย แล้วเราจะแข็งแรง และปลอดภัยจนหมดฤดูฝนไปด้วยกัน​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

574 viewer

ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

RISC ร่วมแสดงผลงานนิทรรศการโครงการ “ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ” Interlacing Intertwining Coalescing through Contemporary Art for Biodiversity  ในงานอีสานโชว์พ(ร)าว เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 (ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025)​ โดยนิทรรศการนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ถักทอจากเส้นใย Upcycled จากขยะพลาสติกมาสรรค์สร้างเป็นผืนภาพด้วยการถักทอ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ แนวคิดการออกแบบผลงานศิลปะถักทอในรูปแบบพรมนี้จึงผสมผสานภาพสัตว์สงวนที่สามารถพบได้ในแต่ละภูมิภาคเข้ากับลายผ้าพื้นเมืองประจำภาคนั้นๆ ในประเทศไทย เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์​ ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025​28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร TCDC ขอนแก่น ชั้น 2​ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.isancreativefestival.com/isancf2025​Line: @isancf​Facebook: isancreativefestival​Instagram: @isancreativefestival

640 viewer

รู้หรือไม่? ​เปลือกทุเรียนทำวัสดุก่อสร้างและพลาสติกได้​

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ทุเรียน 1 กิโลกรัม จะประกอบไปด้วยเปลือกถึง 0.585 กิโลกรัม​เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี ผลไม้ที่หลายคนต่างเฝ้ารอคงหนีไม่พ้น “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ ซึ่งทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย โดยข้อมูลจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 164,787 ล้านบาท และมีการบริโภคภายในประเทศเฉลี่ย 400,000 ตัน/ปี ด้วยความนิยมในการบริโภคทุเรียน แต่กลับส่งผลให้เกิดปัญหาขยะจากเปลือกทุเรียน ทำให้มีขยะเปลือกทุเรียนเกิดขึ้นประมาณ 240,200 ตัน/ปี หากจัดการกับขยะเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​โดยทั่วไป การกำจัดเปลือกทุเรียนมักจะใช้ฝังกลบและการเผา ซึ่งทั้งสองวิธีต่างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝังกลบมีการปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายของเปลือกทุเรียน ในขณะที่การเผาก็ปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และคุณภาพอากาศ ดังนั้นการนำเปลือกทุเรียนมาใช้ประโยชน์ต่อจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ​จากการศึกษาวิจัยพบว่า เปลือกทุเรียนสามารถนำไปหมักด้วยยีสต์ เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ โดยเปลือกทุเรียนหมักที่ได้จะมีปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง เนื้อสัมผัสไม่เละ และไม่มีสารอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการหมัก ทำให้สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการเจริญเติบโตของสัตว์​เปลือกทุเรียน ยังพัฒนาให้เป็นฉนวนกันความร้อนจากเส้นใยได้อีกด้วย โดยการสกัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินออกจากเส้นใยเปลือกทุเรียน จากนั้นนำไปผสมกับกาว เช่น น้ำยางธรรมชาติ และขึ้นรูปเป็นแผ่น ฉนวนที่ได้จะมีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนต่ำ สามารถใช้เป็นวัสดุกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดในด้านการดูดซึมน้ำสูง และลามไฟได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียน เพื่อใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเส้นใยทุเรียนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับสารละลายแอมโมเนียหรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ได้ดี และทำให้โฟมมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น​เปลือกทุเรียน สามารถนำมาแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ที่มีชื่อว่า คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (CMC) เนื่องจากเปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักถึง 54% สูงกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เช่น ชานอ้อย ฟางข้าว กาบมะพร้าว ซึ่งมีเซลลูโลส 41%, 38% และ 36% ตามลำดับ การสกัดเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนเพื่อนำไปผลิต CMC จึงมีความเป็นไปได้​กระบวนการผลิต CMC จากเส้นใยทุเรียนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ...​- การเตรียมเซลลูโลสจากเส้นใยเปลือกทุเรียน โดยขั้นตอนนี้จะเป็นกำจัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินด้วยสารละลายด่างเข้มข้น เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และการฟอกขาวเพื่อกำจัดสี ​- การทำอัลคาไลเซชัน (Alkalization) โดยการแช่เซลลูโลสในสารละลายด่างเข้มข้นร่วมกับตัวทำละลายอินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น NaOH/isopropyl alcohol เพื่อให้สารละลายด่างซึมเข้าเส้นใย​- การทำปฏิกิริยาอีเทอริฟิเคชัน (Etherification) โดยการเติมกรดโมโนคลอโรอะซีติก (MCA) เพื่อเข้าทำปฏิกิริยากับเซลลูโลส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Na-CMC) และเกลือแกง (NaCl) เป็นผลพลอยได้​โดย CMC ที่ได้จากเส้นใยเปลือกทุเรียนมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ CMC ทางการค้า สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 ชั่วโมง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะกับการนำไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นสารเคลือบผิวผลไม้ เพื่อชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ​การเปลี่ยนเปลือกทุเรียนให้เป็นวัสดุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งจากเกษตรกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง โดยเฉพาะการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต CMC ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืด (Thickener) และสารช่วยรักษาความคงตัว (Stabilizer) ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอางค์ และการเกษตร ฟิล์มชีวภาพและบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ นอกจากช่วยลดการพึ่งพาวัสดุที่ผลิตจากปิโตรเลียม ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรม ยังตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในปัจจุบันอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. สถิติผลผลิตทุเรียน : https://regional.moc.go.th/th/file/get/file/202407013a6133c1bd218dfc40828623c88c6fea161400.pdf​ซารีนา สือแม. 2564. การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ​ปานใจ สื่อประเสริฐสิทธิ์ และคณะ. 2563. ความเป็นไปได้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกทุเรียน. Vol 39. No 6, November-December 2020.​กชกร จิตรีธาตุ. 2566. การพัฒนาและตรวจสอบโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียนสำหรับประยุกต์ใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​Ruengdechawiwat, S., Sanawong , P., & Boonmee, S. . (2024). Application of carboxymethyl cellulose from durian rind for maintaining the quality of mango fruits (MANGIFERA INDICA LINN.) CV. NAMDOKMAI SRI TONG. Life Sciences and Environment Journal, 25(1), 166–176.​

1138 viewer