RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

“ฟ้าใส มินิ” กับภารกิจฟอกอากาศใจกลางกรุงเทพมหานคร

โดย RISC | 2 วันที่แล้ว

เมื่อพูดถึงย่านที่มีความหนาแน่นของการจราจรสูง หนึ่งในนั้นต้องมี “ย่านราชประสงค์” อยู่ด้วย เพราะเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจหลายอย่าง มีการสัญจรของทั้งประชาชน และนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมของมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter: PM) ที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก ​และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีการติดตั้งหอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” ขึ้นมาในย่านนั้น เพื่อศึกษาศักยภาพของระบบฟอกอากาศกลางแจ้งในพื้นที่ใช้งานจริง โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพื้นที่เกษร และย่านราชประสงค์ ในการติดตั้งบริเวณหน้าอาคารเกษร อมรินทร์ และเกษรวิลเลจ​ฟ้าใส มินิ ทำงานผ่านกระบวนการฟอกอากาศด้วยเทคโนโลยี Venturi Scrubber ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) เพื่อดักจับฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบให้ทำงานโดยอัตโนมัติตามค่าฝุ่นที่ตรวจพบในแต่ละช่วงเวลา เป็นการเพิ่มความแม่นยำในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่จริง และใช้ทรัพยากรเพื่อดักจับฝุ่นละอองเท่าที่จำเป็น การประเมินผลการทำงานของระบบฟอกอากาศฟ้าใส มินิ ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงอย่างต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ได้ในระดับที่น่าสนใจ โดยมีประสิทธิภาพการลดค่าฝุ่นเฉลี่ยรายชั่วโมงสูงสุดอยู่ที่ 65% และเฉลี่ยรายวัน (24 ชั่วโมง) สูงสุดอยู่ที่ 36% โดยผลลัพธ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ทิศทางและความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ และระดับความหนาแน่นของการจราจรในพื้นที่ในแต่ละวัน จากการวิเคราะห์ตามช่วงเวลาพบว่า ฟ้าใส มินิ มีประสิทธิภาพสูง สามารถฟอกอากาศได้ดีในช่วงเวลาเย็น (18:00) จนถึงเที่ยงวัน (12:00) ซึ่งเป็นช่วงที่สอดคล้องกับเวลาที่มีการใช้งานพื้นที่ และการจราจรหนาแน่น แต่บางช่วงตอนกลางวันที่มีลมธรรมชาติพัดแรง ก็มีส่วนช่วยลดค่าฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น​ แม้ในช่วงฤดูฝน หรือฤดูที่มีฝุ่นน้อย ฟ้าใส มินิ ยังคงทำงานอัตโนมัติตามสภาวะอากาศจริง โดยเปิดทำงานเฉพาะช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นเกินเกณฑ์กำหนด จึงช่วยให้พื้นที่มีปริมาณฝุ่นต่ำ ช่วยลดการสัมผัสฝุ่นละอองในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีความเข้มข้นสูง (short-term peak exposures)ฟ้าใส มินิ ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ทางวิศวกรรมสำหรับฟอกอากาศ แต่ทำหน้าที่เสมือน "กลไกเฝ้าระวัง" ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทุกคนจากมลพิษที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวัน แม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่อาจรับรู้ถึงภัยที่แฝงอยู่ในอากาศรอบตัว​เนื้อหาโดย ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ TREES-A, Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC

121 viewer

คนหากิน สัตว์ก็หากิน

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

“คนหากิน สัตว์ก็หากิน...เราไม่เบียดเบียนกันและกัน”​ หลายคนคงเคยฟังเพลง “ชีวิตสัมพันธ์" ของวงคาราบาวกันมาบ้าง แต่...เคยสังเกตไหม? ว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมี “ช่วงเวลา” ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป และธรรมชาติก็ได้ออกแบบจังหวะชีวิตไว้อย่างน่าทึ่ง​ถ้าลองสังเกตดีๆ เราจะพบว่า พฤติกรรมเหล่านี้คล้ายๆ กับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เหมือนกัน งั้นวันนี้เรามาสำรวจ “พฤติกรรมการหากิน” ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติกัน​ พฤติกรรมการหากินของสัตว์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลักๆ​Diurnal: กลางวัน คือ เวลาทำงาน คล้ายกับมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะตื่นเช้า ออกหากินเมื่อแสงแดดมาเยือน และพักผ่อนเมื่อค่ำลง มักมีสายตาที่ปรับเข้ากับแสงสว่างได้ดี เช่น ช้าง ลิง หรือแม้แต่นกบางชนิด​Nocturnal: กลางคืน คือ เวลาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้จะนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน และมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศ ทั้งเรื่องการได้ยิน การดมกลิ่น และการมองเห็นในที่มืด เช่น ค้างคาว นกเค้าแมว งู และแมลงกลางคืน​Crepuscular: เช้าตรู่กับพลบค่ำ คือ นาทีทอง สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้มักจะตื่นตัวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อหลีกเลี่ยงแสงจ้า และความมืดสนิท เช่น ยุงบางชนิด กวาง หรือกระต่าย ​Cathemeral: ชีวิตสายยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับเวลา จะหากินเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความปลอดภัย หรือฤดูกาล สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ เช่น หมี เสือ​ เราคงเห็นแล้วว่า “เวลา” ไม่ใช่แค่เข็มนาฬิกาในธรรมชาติ แต่มันคือจังหวะชีวิต และไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ทุกชีวิตล้วนต่างกำลังหาทางอยู่รอด และมีชีวิตในจังหวะเวลาเป็นของตัวเอง​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Vallejo-Vargas, A.F., Sheil, D., Semper-Pascual, A. et al. Consistent diel activity patterns of forest mammals among tropical regions. Nat Commun 13, 7102 (2022).​https://www.nature.com/articles/s41467-022-34825-1?utm_source=chatgpt.com​  

278 viewer

สนามออกกำลังกายผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เล่นสนุก แต่ยังเพิ่มความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเล็กน้อยในแต่ละวันอาจส่งผลต่อร่างกายได้​แท้จริงแล้ว “การออกกำลังกาย” ที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีอิสระในชีวิตประจำวัน​​RISC ขอแบ่งปันงานวิจัย "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" ช่วยลดการหกล้มที่เห็นผลชัดเจนผ่านงานวิจัย และได้นำสนามออกกำลังกายรุ่นที่ผ่านงานวิจัยนั้นมาติดตั้งจริงในโครงการของ The Forestias และ The Aspen Tree ​​สนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยจึงจำเป็นอย่างมากเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งสนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยต้องออกแบบมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (Physical Activity) อย่างรอบด้านทั้ง 4 รูปแบบ...​◾️ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่ให้แรงต้านต่อมัดกล้ามเนื้อโดยอาศัยน้ำหนักตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงล่างและช่วงบน ซึ่งสำคัญต่อการลุก เดิน หรือยืน​◾️ การฝึกการทรงตัวและป้องกันการหกล้ม (Balance Exercises) เป็นการฝึกการทรงตัว ควบคุมร่างกายให้มีความสมดุลทั้งในขณะอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว โดยมีอุปกรณ์ที่ท้าทายการทรงตัว เช่น แผ่นสั่น แท่นก้าว เดินบนพื้นต่างระดับ หรือราวจับเดินทรงตัว ช่วยให้ผู้สูงวัยฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การประสานการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย (Coordination & Function Exercises) เป็นการพัฒนาความสามารถในการประสานงานระหว่างมือ ตา เท้า และส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การหันตัว การลุกยืน ให้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ดี  เป็นจังหวะขั้นตอน และลำดับอย่างสัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การส่งเสริมการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่น (Movement & Flexibility Exercises) เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่อ ช่วยให้ร่างกายมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็งแรง เพื่อส่งเสริมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ให้เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจขึ้นในชีวิตประจำวัน​​Dr. Pazit Levinger ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการออกกำลังกายและการป้องกันการหกล้มในผู้สูงวัย และนักวิจัยอาวุโสที่ National Ageing Research Institute (NARI) ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาและวิจัย Seniors Exercise Park หรือ "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจ ผ่านโครงการ ENJOY Project (Exercise intervention outdoor project in the community)​​ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่า Seniors Exercise Park สามารถ...​◾️ ลดความเสี่ยงในการหกล้ม (จำนวนผู้หกล้มและความถี่การหกล้ม) ของผู้สูงวัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ และติดตามผลรวม 12 เดือน โดยสัดส่วนการหกล้ม (อย่างน้อย 1 ครั้ง) ภายใน 12 เดือน จากเดิม 51.8% เหลือ 31.4% และจำนวนการหกล้มของอาสาสมัครทั้งหมด จากเดิม 42 ครั้ง เหลือเพียง 29 ครั้ง​◾️ เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รวมทั้งการทรงตัวของผู้สูงวัย เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 18 สัปดาห์ พบว่าสามารถเพิ่มความสามารถในการทรงตัว เมื่อยืนด้วยขาข้างเดียว ความแข็งแรงของหัวเข่า ระยะทางเมื่อเดินในเวลา 2 นาที และลุกขึ้นนั่งได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงวัย และมีความปลอดภัยขณะฝึก​◾️ ผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อมใน Residential Care สามารถใช้ได้ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ สามารถเดินได้ระยะทางมากขึ้น และเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยไม่เกิดการหกล้ม นอกจากนี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเพลินเพลิน สนุก และอารมณ์ดีขึ้นตลอดการฝึก ทั้งยังลดภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) ได้เป็นอย่างมากจากผลงานวิจัย เราจะเห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้มีการปรับปรุงสวนสาธารณะ Senior Exercise Park จำนวน 24 แห่ง (ปี 2022) หลายแห่งรัฐ Melbourne และ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ให้กลายเป็นพื้นที่กลางแจ้งที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และยังมีการใช้โปรแกรมการออกกำลังกาย Senior Exercise Park นี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มกิจกรรมทางสังคม ให้ผู้สูงวัยสามารถออกกำลังกายเป็นกลุ่ม เกิดการพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้ช่วยลดความโดดเดี่ยวและอยากออกจากบ้านไปทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง​​เช่นเดียวกับที่ The Forestias by MQDC ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้นำงานวิจัยมาพัฒนา และติดตั้งสนามออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัยไว้ถึง 2 จุด ทั้งบริเวณส่วนกลาง Happy Lawn และในโครงการ The Aspen Tree เพื่อให้ผู้สูงวัยได้ออกกำลังกาย และใช้เวลาทำกิจกรรมทางสังคมมากขึ้นเนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material อ้างอิงข้อมูลจาก​Pazit Levinger and etc, 2020. Guidance about age-friendly outdoor exercise equipment and associated strategies to maximise usability for older people. Health Promot J Austral. 2021;32:475–482.​Pazit Levinger et al. The Effect of the ENJOY Seniors Exercise Park Physical Activity Program on Falls in Older People in the Community: A Prospective Pre-Post Study Design. The journal of nutrition, health & aging, (2022) 26: 217–221 ​Pazit Levinger et al. Outdoor physical activity for older people-the senior exercise park: Current research, challenges and future directions. Health promotion journal of Australia, (2018) 1-7.​Levinger et al. Exercise interveNtion outdoor proJect in the cOmmunitY - results from the ENJOY program for independence in dementia: a feasibility pilot randomised controlled trial. BMC Geriatr. 2023 Jul 12;23(1):426.​

429 viewer

“พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics) เปลี่ยนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่​

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

ขยะพลาสติกยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญ แม้เราจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลพลาสติกทั่วไป แต่ยังมีพลาสติกอีกประเภทหนึ่งที่ซับซ้อนและจัดการได้ยากกว่ามาก​โดยทั่วไป เรามักจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลขวดน้ำดื่ม กล่องอาหาร ภาชนะพลาสติก หรือถุงพลาสติก ซึ่งเป็นพลาสติกประเภท “เทอร์โมพลาสติก” (Thermoplastics) ที่สามารถหลอมละลายและขึ้นรูปใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน แต่วันนี้ เราจะมาพูดถึงพลาสติกอีกชนิดที่กำลังเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ “พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics)​พลาสติกเทอร์โมเซต เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อสารเคมี และเมื่อโดนความร้อนแล้วจะไม่อ่อนตัว ไม่สามารถหลอมและนำไปขึ้นรูปใหม่ได้ แต่จะแข็งตัวและไหม้ไปเลย จึงเหมาะกับการใช้งานในสภาพที่หนักหน่วง อย่างเช่น ยางรถยนต์ โฟมพอลิยูรีเทนที่ใช้ทำโซฟา เบาะรถยนต์ พื้นรองเท้า กาว สารเคลือบจากอีพอกซีเรซิน หรือจานชามเมลามีน อย่างไรก็ตาม จากความแข็งแรงทนทานนี้ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตรีไซเคิลได้ยาก ส่งผลให้ขยะพลาสติกเทอร์โมเซตจำนวนมากต้องถูกกำจัดด้วยการฝังกลบหรือเผาทำลาย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​แล้วเราจะจัดการกับพลาสติกเทอร์โมเซตได้อย่างไร?​“Vitrimerization” คือ กระบวนการที่ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตให้กลายเป็นพลาสติกที่มีโครงสร้างไดนามิก สามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้ ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Transesterification" เมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ทำให้พลาสติกที่ผ่านกระบวนการ Vitrimerization มีคุณสมบัติที่ผสานระหว่างเทอร์โมพลาสติก และพลาสติกเทอร์โมเซต หรือก็คือ สามารถหลอม และขึ้นรูปใหม่ได้ แต่ยังคงโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาวะการใช้งานต่างๆ ทั้งความร้อน แสงแดด และสารเคมี อีกทั้งยังมีคุณบัติในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-Healing) เนื่องจากพันธะสามารถแตกตัว และเชื่อมโยงใหม่เมื่อได้รับความร้อนในสภาวะที่เหมาะสม ทำให้สามารถขึ้นรูปใหม่ เปลี่ยนรูปร่าง หรือซ่อมแซมตัวเองได้หลายครั้ง (3-5 ครั้ง) โดยไม่สูญเสียสมบัติเชิงกล กระบวนการนี้จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้​ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การจัดการพื้นรองเท้ากีฬา รองเท้าวิ่ง ซึ่งทำมาจากโฟมเอทิลีนไวนิลอะซีเตท (EVA) ที่ถูกเชื่อมขวางโมเลกุล (Crosslink) ทำให้โฟมมีความยืดหยุ่นสูง รับแรงกระแทกได้ดี ทนทาน และไม่ยุบตัว จากงานวิจัยพบว่า EVA Thermoset สามารถเปลี่ยนเป็น EVA Vitrimer ได้ โดยการนำเศษ EVA มาบดย่อยให้มีขนาดเล็กในระดับไมครอน (< 200 µm) ผสมร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น ซิงค์อะซีเตท (Zn acetate) และวัสดุที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) เช่น โพลีไวนิลแอลกอฮอล์ (PVOH) เมื่อนำของผสมดังกล่าวอัดขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงจะเกิดปฏิกิริยา Transesterification ทำให้พันธะเชื่อมขวางบางส่วนเปลี่ยนเป็นพันธะแบบไดนามิก เมื่อทำการอัดขึ้นรูปใหม่อีกครั้งพบว่า สามารถขึ้นรูปได้โดยไม่ต้องเติมสารเคมีเพิ่ม และยังคงสมบัติเดิม ไม่เสื่อมสภาพเหมือนกับการรีไซเคิลเชิงกล จะเห็นได้ว่าพันธะไดนามิกที่เกิดขึ้นสามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกเทอร์โมเซตที่รีไซเคิลได้ยาก ให้กลับมารีไซเคิลได้ ทั้งยังเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ และมูลค่าสูง​อย่างไรก็ตาม กระบวนการ Vitrimerization ยังมีข้อจำกัดในการบดย่อยขยะพลาสติกเทอร์โมเซตให้มีขนาดเล็กระดับไมครอน โดยเฉพาะวัสดุกลุ่มยางที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง ซึ่งการบดย่อยที่อุณหภูมิห้องทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องทำให้ยางอยู่ในสถานะคล้ายแก้วที่มีความแข็ง และเปราะ เพื่อให้ง่ายต่อการบดย่อย กระบวนการนี้จะต้องใช้ความเย็นสูงเพื่อบดย่อยที่อุณหภูมิติดลบ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อไปจะเปิดโอกาสให้สามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้ในอนาคต เช่น การรีไซเคิลแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กังหันลม ชิ้นส่วนยานยนต์ ยานอวกาศ ฉนวนในแผงโซล่าเซลล์ นับเป็นการช่วยลดปริมาณขยะอุตสาหกรรม และขยะพิษ และช่วยให้การจัดการซากผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปอย่างยั่งยืนมากขึ้น​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Amin Jamei Oskouei et, al. 2024. Vitrimerization of crosslinked poly(ethylene-vinyl acetate): the effect of catalysts. RSC Appl. Polym., 2024, 2, 905. ​Alireza Bandegi et, al. 2023. Vitrimerization of crosslinked elastomers: a mechanochemical approach for recycling thermoset polymers. Mater. Adv., 2023, 4, 2648–2658.​

424 viewer

หน้าฝนแล้ว พร้อมรับมือแล้วรึยัง?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

ตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายจังหวะก็มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง​ แล้วมีใครสงสัยไหม? ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนได้โดยใช้หลักเกณฑ์อะไร​ กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่​ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และฝนตกต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามัน เข้ามาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก​ โดยปริมาณฝนจะมีปริมาณมากหรือน้อย น้ำจะท่วมหรือฝนทิ้งช่วงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า แต่ในช่วงนี้โลกกำลังอยู่ในสภาวะเป็นกลางจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมในบ้านเราในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และฝนมีแนวโน้มการกระจายตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจะยังคงอยู่กับเราไปจนถึงเดือนตุลาคม โดยในเดือนสิงหาคม และกันยายนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น ​ สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปจนหมดฤดูฝนของเรา คือการเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ลืมพกร่มทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน สวมใส่รองเท้าที่กันลื่น หลีกเลี่ยงสภานที่แออัดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคที่มากับฤดูฝนได้ง่าย และอย่างลืมตรวจเช็คยานพาหนะให้สมบูรณ์ พร้อมต่อการขับขี่ในฤดูฝนอย่างปลอดภัย แล้วเราจะแข็งแรง และปลอดภัยจนหมดฤดูฝนไปด้วยกัน​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

452 viewer

ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

RISC ร่วมแสดงผลงานนิทรรศการโครงการ “ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ” Interlacing Intertwining Coalescing through Contemporary Art for Biodiversity  ในงานอีสานโชว์พ(ร)าว เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 (ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025)​ โดยนิทรรศการนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ถักทอจากเส้นใย Upcycled จากขยะพลาสติกมาสรรค์สร้างเป็นผืนภาพด้วยการถักทอ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ แนวคิดการออกแบบผลงานศิลปะถักทอในรูปแบบพรมนี้จึงผสมผสานภาพสัตว์สงวนที่สามารถพบได้ในแต่ละภูมิภาคเข้ากับลายผ้าพื้นเมืองประจำภาคนั้นๆ ในประเทศไทย เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์​ ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025​28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร TCDC ขอนแก่น ชั้น 2​ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.isancreativefestival.com/isancf2025​Line: @isancf​Facebook: isancreativefestival​Instagram: @isancreativefestival

545 viewer

รู้หรือไม่? ​เปลือกทุเรียนทำวัสดุก่อสร้างและพลาสติกได้​

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ทุเรียน 1 กิโลกรัม จะประกอบไปด้วยเปลือกถึง 0.585 กิโลกรัม​เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี ผลไม้ที่หลายคนต่างเฝ้ารอคงหนีไม่พ้น “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ ซึ่งทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย โดยข้อมูลจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 164,787 ล้านบาท และมีการบริโภคภายในประเทศเฉลี่ย 400,000 ตัน/ปี ด้วยความนิยมในการบริโภคทุเรียน แต่กลับส่งผลให้เกิดปัญหาขยะจากเปลือกทุเรียน ทำให้มีขยะเปลือกทุเรียนเกิดขึ้นประมาณ 240,200 ตัน/ปี หากจัดการกับขยะเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​โดยทั่วไป การกำจัดเปลือกทุเรียนมักจะใช้ฝังกลบและการเผา ซึ่งทั้งสองวิธีต่างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝังกลบมีการปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายของเปลือกทุเรียน ในขณะที่การเผาก็ปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และคุณภาพอากาศ ดังนั้นการนำเปลือกทุเรียนมาใช้ประโยชน์ต่อจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ​จากการศึกษาวิจัยพบว่า เปลือกทุเรียนสามารถนำไปหมักด้วยยีสต์ เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ โดยเปลือกทุเรียนหมักที่ได้จะมีปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง เนื้อสัมผัสไม่เละ และไม่มีสารอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการหมัก ทำให้สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการเจริญเติบโตของสัตว์​เปลือกทุเรียน ยังพัฒนาให้เป็นฉนวนกันความร้อนจากเส้นใยได้อีกด้วย โดยการสกัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินออกจากเส้นใยเปลือกทุเรียน จากนั้นนำไปผสมกับกาว เช่น น้ำยางธรรมชาติ และขึ้นรูปเป็นแผ่น ฉนวนที่ได้จะมีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนต่ำ สามารถใช้เป็นวัสดุกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดในด้านการดูดซึมน้ำสูง และลามไฟได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียน เพื่อใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเส้นใยทุเรียนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับสารละลายแอมโมเนียหรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ได้ดี และทำให้โฟมมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น​เปลือกทุเรียน สามารถนำมาแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ที่มีชื่อว่า คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (CMC) เนื่องจากเปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักถึง 54% สูงกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เช่น ชานอ้อย ฟางข้าว กาบมะพร้าว ซึ่งมีเซลลูโลส 41%, 38% และ 36% ตามลำดับ การสกัดเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนเพื่อนำไปผลิต CMC จึงมีความเป็นไปได้​กระบวนการผลิต CMC จากเส้นใยทุเรียนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ...​- การเตรียมเซลลูโลสจากเส้นใยเปลือกทุเรียน โดยขั้นตอนนี้จะเป็นกำจัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินด้วยสารละลายด่างเข้มข้น เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และการฟอกขาวเพื่อกำจัดสี ​- การทำอัลคาไลเซชัน (Alkalization) โดยการแช่เซลลูโลสในสารละลายด่างเข้มข้นร่วมกับตัวทำละลายอินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น NaOH/isopropyl alcohol เพื่อให้สารละลายด่างซึมเข้าเส้นใย​- การทำปฏิกิริยาอีเทอริฟิเคชัน (Etherification) โดยการเติมกรดโมโนคลอโรอะซีติก (MCA) เพื่อเข้าทำปฏิกิริยากับเซลลูโลส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Na-CMC) และเกลือแกง (NaCl) เป็นผลพลอยได้​โดย CMC ที่ได้จากเส้นใยเปลือกทุเรียนมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ CMC ทางการค้า สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 ชั่วโมง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะกับการนำไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นสารเคลือบผิวผลไม้ เพื่อชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ​การเปลี่ยนเปลือกทุเรียนให้เป็นวัสดุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งจากเกษตรกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง โดยเฉพาะการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต CMC ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืด (Thickener) และสารช่วยรักษาความคงตัว (Stabilizer) ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอางค์ และการเกษตร ฟิล์มชีวภาพและบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ นอกจากช่วยลดการพึ่งพาวัสดุที่ผลิตจากปิโตรเลียม ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรม ยังตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในปัจจุบันอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. สถิติผลผลิตทุเรียน : https://regional.moc.go.th/th/file/get/file/202407013a6133c1bd218dfc40828623c88c6fea161400.pdf​ซารีนา สือแม. 2564. การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ​ปานใจ สื่อประเสริฐสิทธิ์ และคณะ. 2563. ความเป็นไปได้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกทุเรียน. Vol 39. No 6, November-December 2020.​กชกร จิตรีธาตุ. 2566. การพัฒนาและตรวจสอบโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียนสำหรับประยุกต์ใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​Ruengdechawiwat, S., Sanawong , P., & Boonmee, S. . (2024). Application of carboxymethyl cellulose from durian rind for maintaining the quality of mango fruits (MANGIFERA INDICA LINN.) CV. NAMDOKMAI SRI TONG. Life Sciences and Environment Journal, 25(1), 166–176.​

823 viewer

บ้านแบบไหน...ที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

หน้าฝนแบบนี้ “บ้าน” ควรเป็นที่พักใจ ไม่ใช่แหล่งสะสมภูมิแพ้​ปัจจุบันเราใช้เวลากว่า 90% ของชีวิตอยู่ในอาคาร โดยเฉพาะในบ้านพักอาศัย ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจ แต่...บางครั้ง "บ้าน" กลับกลายเป็นแหล่งสะสมของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา และสารระเหย VOC โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง อากาศปิด และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค​“โรคภูมิแพ้” กลายเป็นโรคประจำบ้านของคนไทยไปแล้ว โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งคนกลุ่มนี้มักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากกว่ากลุ่มวัยทำงาน ซึ่งความน่ากังวลก็คือ หลายครั้งเราไม่รู้ว่าอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจาก “บ้านของเราเอง”​อาการภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย และผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงกว่า 60%RH ติดต่อกันหลายวัน สามารถเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว​แล้วอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ภายในบ้าน​​จากการศึกษาพบว่า​▪️ ไรฝุ่น (Dust mites): มากกว่า 80% ของบ้านในเขตเมืองมีไรฝุ่นในระดับสูงกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะบนที่นอน พรม และโซฟา​▪️ เชื้อรา (Mold): เชื้อราในบ้านมักเกิดจากความชื้นสะสม เช่น ใต้อ่างล้างมือ ห้องน้ำ หรือผนังที่รั่วซึม พบว่า เชื้อราในบ้านเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของการเกิดโรคหืด และภูมิแพ้ในเด็กอย่างมีนัยสำคัญ​▪️ ขนสัตว์และโปรตีนจากสัตว์เลี้ยง (Pet Dander): สารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงไม่ได้มาจากขนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโปรตีนในน้ำลาย สะเก็ดผิวหนัง หรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง และเกาะติดตามเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้า กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้แม้จะไม่ได้ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นบนเตียงหรือโซฟา​▪️ มลพิษในอาคาร (Indoor Air Pollution): อากาศภายในบ้านสามารถมีมลพิษสูงกว่าภายนอก 2–5 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปิดทึบ และไม่มีการระบายอากาศที่ดี​▪️ สารระเหยอินทรีย์ (VOCs) จากวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์: วัสดุก่อสร้างบางชนิด สีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด หรือพรม อาจปล่อยสารระเหยอินทรีย์ (Volatile Organic Compounds - VOCs) เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ออกมาในอากาศ สารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การระบายอากาศที่ไม่ดีในช่วงหน้าฝนอาจทำให้สารเหล่านี้สะสมในบ้านมากขึ้น​เมื่อเราทราบถึงปัจจัยที่ทำให้เป็นภูมิแพ้ ก็ถึงเวลาที่เราจะลดปัจจัยเหล่านี้กัน ด้วยการ...​▪️ การจัดการไรฝุ่น: ไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในบ้าน โดยเฉพาะบนเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์บุผ้า การจัดการไรฝุ่นอย่างถูกวิธีจะช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้อย่างมาก​        ▪️ การทำความสะอาดเครื่องนอน ควรซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิอย่างน้อย 50-60 องศาเซลเซียส เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อฆ่าไรฝุ่นและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกไป การใช้ผ้าคลุมที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น ซึ่งทอด้วยเส้นใยที่แน่นหนาจนไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่านทะลุได้ ก็เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น​        ▪️ การดูดฝุ่น ควรดูดฝุ่นที่นอน หมอน พรม และโซฟาผ้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แนะนำให้เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA filter) ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กอย่างมูลไรฝุ่นได้ดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป รวมทั้งการใช้เครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีระบบสั่นสะเทือนและแสง UV เพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น​▪️ การเพิ่มระบบระบายอากาศเพื่อลดความอับชื้นในบ้าน: อากาศในบ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนมักจะหมุนเวียนช้า การปิดหน้าต่างเพื่อกันฝน กลายเป็นกับดักให้มลพิษในอากาศภายในสะสม เช่น สารระเหย VOC จากสีทาภายในและเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ และเชื้อรา ดังนั้นการออกแบบบ้านที่มีอัตราการหมุนเวียนอากาศ ร่วมกับการใช้แผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) ช่วยลดความเข้มข้นของมลพิษที่สะสมภายในบ้านได้ และลดอาการภูมิแพ้ในผู้อยู่อาศัย โดย...​        ▪️ เพิ่มการระบายอากาศแบบธรรมชาติ (Passive Ventilation) ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้าต่างให้ลมผ่านได้ เช่น Cross-Ventilation หรือการเปิดหน้าต่างระบายอากาศในบ้าน เมื่ออากาศภายนอกอาคารมีคุณภาพอากาศดี โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว​        ▪️ ติดตั้งระบบเครื่องกล โดยเฉพาะพื้นที่ใช้งานหลักอย่างห้องนอน หรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบเครื่องกลเพื่อช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศ เช่น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ, การติดตั้งระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh Air), ระบบ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation เป็นต้น รวมทั้งใช้เครื่องกรองอากาศที่มีไส้กรอง HEPA และ Activated Carbon Filter และควรหมั่นทำความสะอาดระบบระบายอากาศ และระบบเครื่องกลที่ติดตั้ง เช่น ล้างแอร์เป็นประจำ ทุก 6 เดือน รวมทั้งทำความสะอาด เปลี่ยนไส้กรองระบบ ERV และเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น​        ▪️ ติดตั้งเซนเซอร์ หรือใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ใช้งานประจำ เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ, ความชื้น CO2, PM2.5, VOC เป็นต้น​▪️ ควบคุมความชื้นในบ้าน: ช่วงฝนตกทำให้ระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อรา และไรฝุ่นเติบโต และหากความชื้นสูงกว่า 60% ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่นมากขึ้น ซึ่งการควบคุมความชื้นนั้นทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อลดความชื้น โดยออกแบบช่องระบายอากาศในห้องอับ เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ควรมีพัดลมระบายอากาศ หรือช่องลมถ่ายเทอากาศ และเลือกวัสดุที่ไม่อุ้มน้ำ และไม่สะสมความชื้น ​        ▪️ การปรับพฤติกรรมในบ้าน ด้วยการตรวจสอบเชื้อราใต้อ่างล้างหน้า ผนังห้องน้ำ ใต้พื้น และควรเปิดพัดลมช่วยไล่ความชื้นหลังล้างห้องน้ำ ส่วนการปรับแอร์ให้ใช้โหมดควบคุมความชื้น (Dry Mode) ในบางช่วงเวลาที่มีความชื้นสูง​        ▪️ การใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ให้เลือกขนาดตามพื้นที่ เช่น 20–50 ลิตร/วัน สำหรับห้องขนาด 20–40 ตร.ม. และตั้งค่าความชื้นที่ 45–55%​▪️ การออกแบบและเลือกวัสดุที่ไม่ก่อภูมิแพ้: วัสดุตกแต่งภายในที่มีพื้นผิวอุ้มน้ำ อมฝุ่น มักเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น สปอร์เชื้อรา รวมทั้งสารระเหยจากวัสดุก่อสร้าง สี เฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ และเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้ได้ ซึ่งสามารถทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อทำความสะอาดง่าย ด้วยการออกแบบให้ไม่มีมุมอับที่ทำความสะอาดยาก ใช้พื้นผิวเรียบ ไม่สะสมฝุ่น และหลีกเลี่ยงการใช้พรมหนาแน่นในห้องนอน รวมทั้งเลือกผ้าม่านที่ซักได้ง่าย หรือใช้บานมู่ลี่แทน​        ▪️ ใช้วัสดุที่มีฉลากรับรอง โดยเลือกใช้วัสดุอาคารที่ได้รับฉลากเขียวจากไทย, GreenGuard, FloorScore รวมทั้งเลือกวัสดุที่ไม่ปล่อยสารระเหยต่างๆ วัสดุ Low-VOC หรือเลือกไม้ E1, E0​        ▪️ หลีกเลี่ยงใช้วัสดุที่ดูแลยาก ควรเลือกวัสดุ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย หลีกเลี่ยงการใช้พรม หรือผ้าม่านหนา แล้วหันมาใช้มู่ลี่ หรือม่านม้วนแทน ส่วนวัสดุปูพื้นควรเลือกแบบไม่อมฝุ่น รวมทั้งการใช้ดีไซน์แบบ Minimal เพื่อลดซอกหลืบเก็บฝุ่น​ในยุคที่ภูมิแพ้กลายเป็นโรคเรื้อรังของคนเมือง บ้านที่ดีต้องไม่ใช่แค่สวย หรือประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถดูแลสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้จริง หากเราสามารถออกแบบบ้านที่ระบายอากาศได้ดี ควบคุมความชื้น และเลือกวัสดุที่ปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภูมิแพ้ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัวได้อีกด้วย​ติดตามข้อมูลสุขภาวะอาคารเพิ่มเติมได้ที่ https://risc.in.th/knowledge​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​World Health Organization. (2010). WHO guidelines for indoor air quality: selected pollutants. WHO Regional Office for Europe.​Environmental Protection Agency (EPA). (2021). Indoor Air Quality. Retrieved from https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq​Mendell, M. J., Mirer, A. G., Cheung, K., Tong, M., & Douwes, J. (2011). Respiratory and allergic health effects of dampness, mold, and dampness-related agents: a review of the epidemiologic evidence. Environmental Health Perspectives, 119(6), 748–756. https://doi.org/10.1289/ehp.1002410​Salthammer, T., Mentese, S., & Marutzky, R. (2010). Formaldehyde in the indoor environment. Chemical Reviews, 110(4), 2536–2572.​Johns Hopkins Medicine. (2020). Allergies and Asthma. Retrieved from https://www.hopkinsmedicine.org​กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. (2564). รายงานสถานการณ์ฝุ่นและไรฝุ่นในประเทศไทย. กระทรวงสาธารณสุข.​Harvard T.H. Chan School of Public Health, Healthy Buildings: https://www.hsph.harvard.edu/healthybuildings/​WHO Guidelines for Indoor Air Quality: Dampness and Mould: https://www.euro.who.int/__data/assets/pdf_file/0017/433074/WHO-EHC-313-eng.pdf​CDC Healthy Homes Manual: https://www.cdc.gov/nceh/publications/books/housing/housing.htm​Jaakkola, J. J., et al. (2013). "Interior surface materials and asthma in school children: a case–control study." Indoor Air 23(3): 179-185.​WELL v2 Materials Concept: https://v2.wellcertified.com/en/materials​LEED v4 Low-Emitting Materials Credit: https://www.usgbc.org/node/2613953​UL GreenGuard Gold Product Guide: https://spot.ul.com​

471 viewer

คอร์ส WELL in Action: Future-Proof Your Building for Health and Resilience​

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

WELL in Action: Future-Proof Your Building for Health and Resilience ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/rtqthuuiRUHqAbKq8ราคาคอร์สละ 12,900 บาท เพียง 50 ที่เท่านั้น!!ชำระเงินได้ที่ บริษัท วี บีฟอร์ มี คอร์ปอเรชั่น จำกัดธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 133-5-47655-0Date: 27–29 August 2025GOODVIEW Theater, 3rd Floor, DTGO CampUs (DTGO CampUs Map: https://maps.app.goo.gl/eiPVnWUDVNhJcuSN9)   WELL in Action (Day 1): Morning Session - GOODVIEW Theater (8:30-9.00) ลงทะเบียน(9.00-9.30) บทนำสู่มาตรฐาน WELLอธิบายภาพรวมของ WELL Building Standard ครอบคลุมที่มา วัตถุประสงค์ โครงสร้างของมาตรฐาน และแนวคิดหลักด้านสุขภาวะในอาคาร(9.30-10.30) แนวคิด Resilience ในบริบทของ WELL + future prove buildingนำเสนอแนวทางการใช้มาตรฐาน WELL เป็นเครื่องมือสนับสนุนการออกแบบอาคารให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ (เบรก 15 นาที) (10.45-11.45) การเรียนรู้ผ่านเหตุการณ์สถานการณ์จริง แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและน้ำท่วม ระบุข้อกำหนดภายใน WELL ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมและการป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติ(11:45-12:00) Q&A 15 นาที (12:00-13:00 รับประทานอาหารเที่ยง บริเวณ WILLOW Atrium) Afternoon Session - GOODVIEW Theater (13.15-14.30) แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางอากาศอธิบายข้อกำหนดของ WELL ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศภายในอาคาร และลดผลกระทบจากมลพิษ (เบรก 15 นาที) (14.45-15.45) แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางน้ำและภาวะขาดแคลนน้ำนำเสนอเกณฑ์การจัดการน้ำที่ปลอดภัย และระบบสำรองน้ำในภาวะวิกฤต(15.45-16.45) แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับการรับมือคลื่นความร้อน (heat wave)ชี้ให้เห็นข้อกำหนดของ WELL ที่ช่วยสร้างความสบาย (thermal comfort) ในสภาวะอุณหภูมิสูง(16:45-17:00) Q&A 15 นาที WELL in Action (Day 2): Morning Session - GOODVIEW Theater (8:30-9.00) ลงทะเบียน(9:00-11:45) การส่งเสริมสุขภาวะจิตในช่วงวิกฤตผ่านมาตรฐาน WELLนำเสนอข้อกำหนดที่สนับสนุนการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจของผู้ใช้อาคาร (เบรก 15 นาที) (11:00-11:45) แนวคิด Neuroinclusive Designนำเสนอแนวคิด การออกแบบเพื่อรองรับความหลากหลายทางระบบประสาท เพื่อสร้างพื้นที่ที่รองรับความต้องการที่แตกต่างในมนุษย์แต่ละคน อย่างเหมาะสม(11:45-12:00) Q&A 15 นาที (12:00-13:00 รับประทานอาหารเที่ยง บริเวณ WILLOW Atrium) Afternoon Session - GOODVIEW Theater (13:15-14:30) แนวทางการจัดการสารเคมีและวัสดุอันตรายภายใต้มาตรฐาน WELLอธิบายข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุและการจัดการความเสี่ยงจากสารเคมีในอาคารอย่างปลอดภัย (เบรก 15 นาที) (14.45-16.45) แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL Health-Safety Rating ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเสี่ยงการแพร่ระบาดภายในอาคาร(16:45-17:00) Q&A 15 นาที WELL in Action (Day 3): Morning Session – WILLOW Atrium (8:30-9:00) ลงทะเบียน(9:00-10:00) DTGO CampUs Presentation (เบรก 15 นาที) (10:15-11:45) ศึกษาดูงานโครงการ DTGO CampUsเยี่ยมชมอาคารสำนักงานที่นำมาตรฐาน WELL V2 ไปใช้จริง พร้อมรับฟังแนวคิดและกระบวนการออกแบบจากทีมผู้ออกแบบ(11:45-12:00) Q&A 15 นาที (12:00-13:00 รับประทานอาหารเที่ยง บริเวณ WILLOW Atrium) Afternoon Session – The Forestias และ The Aspen Tree (13:00-13:15) เดินทางไป The Forestias ด้วยรถกอล์ฟ(13:15-14:00) A10-การแนะนำ WELL Community Standard อธิบายแนวคิดของ WELL Community Standard การพัฒนาแนวคิดระดับชุมชน ที่พัฒนาจริงในโครงการ The Forestias เป็นแห่งแรกของประเทศไทย (เบรก 15 นาที) (14:30-17:30) ศึกษาดูงานโครงการ The Forestias และ The Aspen Treeเยี่ยมชมโครงการที่ประยุกต์ใช้แนวทาง WELL Community และแนวคิด Aging in Place พร้อมรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทำงานกับโครงการจริง(17:30-18:00) สรุปและปิดหลักสูตร WELL in Actionติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่RISC mail: risc_admin@dtgo.com, RISC Line ID: risc_center, RISC direct call: 063-902-9346

1274 viewer

ทำไมปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีก่อน?

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

สงสัยมั้ย ว่าทำไมปีนี้เหมือนจะร้อน แต่ก็ไม่ร้อนเมื่อเทียบกับปีก่อน แล้วอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาตั้งแต่ปลายเมษา มันเกิดอะไรขึ้น?​เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วร้อนมาก และร้อนกว่าปีนี้ เพราะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวโลกสูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม (ปี 1850 - 1900) ถึง 1.55 องศาเซลเซียส (± 0.13 องศาเซลเซียส) อ้างอิงจากรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติศาสตร์นั้นมีสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง ทั้งจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศสูงสุดในรอบ 8 แสนปี และจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง​โดยปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนั้น เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2023 และสูงสุดในช่วงต้นปี 2024 ส่งผลให้น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น อุณหภูมิโลกจึงสูงทุบสถิติ รวมไปถึงประเทศไทย เพราะในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 28.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ทุบสถิติในรอบ 74 ปี นับตั้งแต่ปี 1951 - 2024​แต่ในช่วงมิถุนายน ปี 2024 ปรากฏการณ์เอลนีโญเริ่มอ่อนกำลังลง และสิ้นสุดในช่วงปลายปี ก่อนที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเริ่มในช่วงมกราคมปีนี้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เคยสูงกว่าค่าเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย และทำให้อุณหภูมิโลกลดลงในช่วงต้นปีด้วยเช่นกัน แต่...ปรากฏการณ์ลานีญาในปีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ และสิ้นสุดลงในช่วงมีนาคมที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงสั้นๆ และทำให้ฤดูร้อนปีนี้ของเราไม่ร้อนจัด​จริงอยู่ที่ปี 2025 อุณหภูมิโลกจะลดลงจากปี 2024 แต่อย่านิ่งนอนใจ เพราะความร้อนที่ถูกสะสมในมหาสมุทรจากปี 2024 ก็ยังคงอยู่ และส่งผลให้ "อุณหภูมิโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว" การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรีบช่วยกันและดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/climate/summaryyearly​https://www.tmd.go.th/climate/El-Nino-La-Nina?show=25​https://www.cpc.ncep.noaa.gov/products/analysis_monitoring/enso_advisory/ensodisc.shtml?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/media/news/january-2025-sees-record-global-temperatures-despite-la-nina?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/news/media-centre/wmo-report-documents-spiralling-weather-and-climate-impacts?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExSTl4Vm85Zldwa0NZR1pnVgEeRsIDw0bfpWMgDWSE4OtG631k4VifzWwXia-mk80oEYs4t2Z6HGYAEHXXKyU_aem_6j0-pm_0CQ7VfuQ2MPMdvA#:~:text=The%20clear%20signs%20of%20human,social%20upheavals%20from%20extreme%20weather.&text=WMO's%20State%20of%20the%20Global,doubled%20since%20satellite%20measurements%20began​

663 viewer