RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

หน้าฝนแล้ว พร้อมรับมือแล้วรึยัง?

โดย RISC | 4 วันที่แล้ว

ตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายจังหวะก็มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง​ แล้วมีใครสงสัยไหม? ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนได้โดยใช้หลักเกณฑ์อะไร​ กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่​ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และฝนตกต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามัน เข้ามาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก​ โดยปริมาณฝนจะมีปริมาณมากหรือน้อย น้ำจะท่วมหรือฝนทิ้งช่วงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า แต่ในช่วงนี้โลกกำลังอยู่ในสภาวะเป็นกลางจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมในบ้านเราในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และฝนมีแนวโน้มการกระจายตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจะยังคงอยู่กับเราไปจนถึงเดือนตุลาคม โดยในเดือนสิงหาคม และกันยายนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น ​ สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปจนหมดฤดูฝนของเรา คือการเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ลืมพกร่มทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน สวมใส่รองเท้าที่กันลื่น หลีกเลี่ยงสภานที่แออัดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคที่มากับฤดูฝนได้ง่าย และอย่างลืมตรวจเช็คยานพาหนะให้สมบูรณ์ พร้อมต่อการขับขี่ในฤดูฝนอย่างปลอดภัย แล้วเราจะแข็งแรง และปลอดภัยจนหมดฤดูฝนไปด้วยกัน​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

81 viewer

ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

RISC ร่วมแสดงผลงานนิทรรศการโครงการ “ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ” Interlacing Intertwining Coalescing through Contemporary Art for Biodiversity  ในงานอีสานโชว์พ(ร)าว เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 (ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025)​ โดยนิทรรศการนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ถักทอจากเส้นใย Upcycled จากขยะพลาสติกมาสรรค์สร้างเป็นผืนภาพด้วยการถักทอ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ แนวคิดการออกแบบผลงานศิลปะถักทอในรูปแบบพรมนี้จึงผสมผสานภาพสัตว์สงวนที่สามารถพบได้ในแต่ละภูมิภาคเข้ากับลายผ้าพื้นเมืองประจำภาคนั้นๆ ในประเทศไทย เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์​ ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025​28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร TCDC ขอนแก่น ชั้น 2​ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.isancreativefestival.com/isancf2025​Line: @isancf​Facebook: isancreativefestival​Instagram: @isancreativefestival

173 viewer

รู้หรือไม่? ​เปลือกทุเรียนทำวัสดุก่อสร้างและพลาสติกได้​

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ ทุเรียน 1 กิโลกรัม จะประกอบไปด้วยเปลือกถึง 0.585 กิโลกรัม​เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี ผลไม้ที่หลายคนต่างเฝ้ารอคงหนีไม่พ้น “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ ซึ่งทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย โดยข้อมูลจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 164,787 ล้านบาท และมีการบริโภคภายในประเทศเฉลี่ย 400,000 ตัน/ปี ด้วยความนิยมในการบริโภคทุเรียน แต่กลับส่งผลให้เกิดปัญหาขยะจากเปลือกทุเรียน ทำให้มีขยะเปลือกทุเรียนเกิดขึ้นประมาณ 240,200 ตัน/ปี หากจัดการกับขยะเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​โดยทั่วไป การกำจัดเปลือกทุเรียนมักจะใช้ฝังกลบและการเผา ซึ่งทั้งสองวิธีต่างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝังกลบมีการปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายของเปลือกทุเรียน ในขณะที่การเผาก็ปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และคุณภาพอากาศ ดังนั้นการนำเปลือกทุเรียนมาใช้ประโยชน์ต่อจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ​จากการศึกษาวิจัยพบว่า เปลือกทุเรียนสามารถนำไปหมักด้วยยีสต์ เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ โดยเปลือกทุเรียนหมักที่ได้จะมีปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง เนื้อสัมผัสไม่เละ และไม่มีสารอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการหมัก ทำให้สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการเจริญเติบโตของสัตว์​เปลือกทุเรียน ยังพัฒนาให้เป็นฉนวนกันความร้อนจากเส้นใยได้อีกด้วย โดยการสกัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินออกจากเส้นใยเปลือกทุเรียน จากนั้นนำไปผสมกับกาว เช่น น้ำยางธรรมชาติ และขึ้นรูปเป็นแผ่น ฉนวนที่ได้จะมีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนต่ำ สามารถใช้เป็นวัสดุกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดในด้านการดูดซึมน้ำสูง และลามไฟได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียน เพื่อใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเส้นใยทุเรียนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับสารละลายแอมโมเนียหรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ได้ดี และทำให้โฟมมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น​เปลือกทุเรียน สามารถนำมาแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ที่มีชื่อว่า คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (CMC) เนื่องจากเปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักถึง 54% สูงกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เช่น ชานอ้อย ฟางข้าว กาบมะพร้าว ซึ่งมีเซลลูโลส 41%, 38% และ 36% ตามลำดับ การสกัดเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนเพื่อนำไปผลิต CMC จึงมีความเป็นไปได้​กระบวนการผลิต CMC จากเส้นใยทุเรียนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ...​- การเตรียมเซลลูโลสจากเส้นใยเปลือกทุเรียน โดยขั้นตอนนี้จะเป็นกำจัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินด้วยสารละลายด่างเข้มข้น เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และการฟอกขาวเพื่อกำจัดสี ​- การทำอัลคาไลเซชัน (Alkalization) โดยการแช่เซลลูโลสในสารละลายด่างเข้มข้นร่วมกับตัวทำละลายอินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น NaOH/isopropyl alcohol เพื่อให้สารละลายด่างซึมเข้าเส้นใย​- การทำปฏิกิริยาอีเทอริฟิเคชัน (Etherification) โดยการเติมกรดโมโนคลอโรอะซีติก (MCA) เพื่อเข้าทำปฏิกิริยากับเซลลูโลส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Na-CMC) และเกลือแกง (NaCl) เป็นผลพลอยได้​โดย CMC ที่ได้จากเส้นใยเปลือกทุเรียนมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ CMC ทางการค้า สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 ชั่วโมง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะกับการนำไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นสารเคลือบผิวผลไม้ เพื่อชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ​การเปลี่ยนเปลือกทุเรียนให้เป็นวัสดุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งจากเกษตรกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง โดยเฉพาะการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต CMC ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืด (Thickener) และสารช่วยรักษาความคงตัว (Stabilizer) ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอางค์ และการเกษตร ฟิล์มชีวภาพและบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ นอกจากช่วยลดการพึ่งพาวัสดุที่ผลิตจากปิโตรเลียม ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรม ยังตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในปัจจุบันอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. สถิติผลผลิตทุเรียน : https://regional.moc.go.th/th/file/get/file/202407013a6133c1bd218dfc40828623c88c6fea161400.pdf​ซารีนา สือแม. 2564. การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ​ปานใจ สื่อประเสริฐสิทธิ์ และคณะ. 2563. ความเป็นไปได้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกทุเรียน. Vol 39. No 6, November-December 2020.​กชกร จิตรีธาตุ. 2566. การพัฒนาและตรวจสอบโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียนสำหรับประยุกต์ใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​Ruengdechawiwat, S., Sanawong , P., & Boonmee, S. . (2024). Application of carboxymethyl cellulose from durian rind for maintaining the quality of mango fruits (MANGIFERA INDICA LINN.) CV. NAMDOKMAI SRI TONG. Life Sciences and Environment Journal, 25(1), 166–176.​

126 viewer

บ้านแบบไหน...ที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้?

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

หน้าฝนแบบนี้ “บ้าน” ควรเป็นที่พักใจ ไม่ใช่แหล่งสะสมภูมิแพ้​ปัจจุบันเราใช้เวลากว่า 90% ของชีวิตอยู่ในอาคาร โดยเฉพาะในบ้านพักอาศัย ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจ แต่...บางครั้ง "บ้าน" กลับกลายเป็นแหล่งสะสมของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา และสารระเหย VOC โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง อากาศปิด และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค​“โรคภูมิแพ้” กลายเป็นโรคประจำบ้านของคนไทยไปแล้ว โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งคนกลุ่มนี้มักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากกว่ากลุ่มวัยทำงาน ซึ่งความน่ากังวลก็คือ หลายครั้งเราไม่รู้ว่าอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจาก “บ้านของเราเอง”​อาการภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย และผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงกว่า 60%RH ติดต่อกันหลายวัน สามารถเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว​แล้วอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ภายในบ้าน​​จากการศึกษาพบว่า​▪️ ไรฝุ่น (Dust mites): มากกว่า 80% ของบ้านในเขตเมืองมีไรฝุ่นในระดับสูงกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะบนที่นอน พรม และโซฟา​▪️ เชื้อรา (Mold): เชื้อราในบ้านมักเกิดจากความชื้นสะสม เช่น ใต้อ่างล้างมือ ห้องน้ำ หรือผนังที่รั่วซึม พบว่า เชื้อราในบ้านเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของการเกิดโรคหืด และภูมิแพ้ในเด็กอย่างมีนัยสำคัญ​▪️ ขนสัตว์และโปรตีนจากสัตว์เลี้ยง (Pet Dander): สารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงไม่ได้มาจากขนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโปรตีนในน้ำลาย สะเก็ดผิวหนัง หรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง และเกาะติดตามเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้า กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้แม้จะไม่ได้ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นบนเตียงหรือโซฟา​▪️ มลพิษในอาคาร (Indoor Air Pollution): อากาศภายในบ้านสามารถมีมลพิษสูงกว่าภายนอก 2–5 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปิดทึบ และไม่มีการระบายอากาศที่ดี​▪️ สารระเหยอินทรีย์ (VOCs) จากวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์: วัสดุก่อสร้างบางชนิด สีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด หรือพรม อาจปล่อยสารระเหยอินทรีย์ (Volatile Organic Compounds - VOCs) เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ออกมาในอากาศ สารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การระบายอากาศที่ไม่ดีในช่วงหน้าฝนอาจทำให้สารเหล่านี้สะสมในบ้านมากขึ้น​เมื่อเราทราบถึงปัจจัยที่ทำให้เป็นภูมิแพ้ ก็ถึงเวลาที่เราจะลดปัจจัยเหล่านี้กัน ด้วยการ...​▪️ การจัดการไรฝุ่น: ไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในบ้าน โดยเฉพาะบนเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์บุผ้า การจัดการไรฝุ่นอย่างถูกวิธีจะช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้อย่างมาก​        ▪️ การทำความสะอาดเครื่องนอน ควรซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิอย่างน้อย 50-60 องศาเซลเซียส เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อฆ่าไรฝุ่นและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกไป การใช้ผ้าคลุมที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น ซึ่งทอด้วยเส้นใยที่แน่นหนาจนไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่านทะลุได้ ก็เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น​        ▪️ การดูดฝุ่น ควรดูดฝุ่นที่นอน หมอน พรม และโซฟาผ้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แนะนำให้เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA filter) ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กอย่างมูลไรฝุ่นได้ดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป รวมทั้งการใช้เครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีระบบสั่นสะเทือนและแสง UV เพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น​▪️ การเพิ่มระบบระบายอากาศเพื่อลดความอับชื้นในบ้าน: อากาศในบ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนมักจะหมุนเวียนช้า การปิดหน้าต่างเพื่อกันฝน กลายเป็นกับดักให้มลพิษในอากาศภายในสะสม เช่น สารระเหย VOC จากสีทาภายในและเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ และเชื้อรา ดังนั้นการออกแบบบ้านที่มีอัตราการหมุนเวียนอากาศ ร่วมกับการใช้แผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) ช่วยลดความเข้มข้นของมลพิษที่สะสมภายในบ้านได้ และลดอาการภูมิแพ้ในผู้อยู่อาศัย โดย...​        ▪️ เพิ่มการระบายอากาศแบบธรรมชาติ (Passive Ventilation) ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้าต่างให้ลมผ่านได้ เช่น Cross-Ventilation หรือการเปิดหน้าต่างระบายอากาศในบ้าน เมื่ออากาศภายนอกอาคารมีคุณภาพอากาศดี โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว​        ▪️ ติดตั้งระบบเครื่องกล โดยเฉพาะพื้นที่ใช้งานหลักอย่างห้องนอน หรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบเครื่องกลเพื่อช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศ เช่น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ, การติดตั้งระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh Air), ระบบ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation เป็นต้น รวมทั้งใช้เครื่องกรองอากาศที่มีไส้กรอง HEPA และ Activated Carbon Filter และควรหมั่นทำความสะอาดระบบระบายอากาศ และระบบเครื่องกลที่ติดตั้ง เช่น ล้างแอร์เป็นประจำ ทุก 6 เดือน รวมทั้งทำความสะอาด เปลี่ยนไส้กรองระบบ ERV และเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น​        ▪️ ติดตั้งเซนเซอร์ หรือใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ใช้งานประจำ เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ, ความชื้น CO2, PM2.5, VOC เป็นต้น​▪️ ควบคุมความชื้นในบ้าน: ช่วงฝนตกทำให้ระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อรา และไรฝุ่นเติบโต และหากความชื้นสูงกว่า 60% ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่นมากขึ้น ซึ่งการควบคุมความชื้นนั้นทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อลดความชื้น โดยออกแบบช่องระบายอากาศในห้องอับ เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ควรมีพัดลมระบายอากาศ หรือช่องลมถ่ายเทอากาศ และเลือกวัสดุที่ไม่อุ้มน้ำ และไม่สะสมความชื้น ​        ▪️ การปรับพฤติกรรมในบ้าน ด้วยการตรวจสอบเชื้อราใต้อ่างล้างหน้า ผนังห้องน้ำ ใต้พื้น และควรเปิดพัดลมช่วยไล่ความชื้นหลังล้างห้องน้ำ ส่วนการปรับแอร์ให้ใช้โหมดควบคุมความชื้น (Dry Mode) ในบางช่วงเวลาที่มีความชื้นสูง​        ▪️ การใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ให้เลือกขนาดตามพื้นที่ เช่น 20–50 ลิตร/วัน สำหรับห้องขนาด 20–40 ตร.ม. และตั้งค่าความชื้นที่ 45–55%​▪️ การออกแบบและเลือกวัสดุที่ไม่ก่อภูมิแพ้: วัสดุตกแต่งภายในที่มีพื้นผิวอุ้มน้ำ อมฝุ่น มักเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น สปอร์เชื้อรา รวมทั้งสารระเหยจากวัสดุก่อสร้าง สี เฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ และเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้ได้ ซึ่งสามารถทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อทำความสะอาดง่าย ด้วยการออกแบบให้ไม่มีมุมอับที่ทำความสะอาดยาก ใช้พื้นผิวเรียบ ไม่สะสมฝุ่น และหลีกเลี่ยงการใช้พรมหนาแน่นในห้องนอน รวมทั้งเลือกผ้าม่านที่ซักได้ง่าย หรือใช้บานมู่ลี่แทน​        ▪️ ใช้วัสดุที่มีฉลากรับรอง โดยเลือกใช้วัสดุอาคารที่ได้รับฉลากเขียวจากไทย, GreenGuard, FloorScore รวมทั้งเลือกวัสดุที่ไม่ปล่อยสารระเหยต่างๆ วัสดุ Low-VOC หรือเลือกไม้ E1, E0​        ▪️ หลีกเลี่ยงใช้วัสดุที่ดูแลยาก ควรเลือกวัสดุ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย หลีกเลี่ยงการใช้พรม หรือผ้าม่านหนา แล้วหันมาใช้มู่ลี่ หรือม่านม้วนแทน ส่วนวัสดุปูพื้นควรเลือกแบบไม่อมฝุ่น รวมทั้งการใช้ดีไซน์แบบ Minimal เพื่อลดซอกหลืบเก็บฝุ่น​ในยุคที่ภูมิแพ้กลายเป็นโรคเรื้อรังของคนเมือง บ้านที่ดีต้องไม่ใช่แค่สวย หรือประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถดูแลสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้จริง หากเราสามารถออกแบบบ้านที่ระบายอากาศได้ดี ควบคุมความชื้น และเลือกวัสดุที่ปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภูมิแพ้ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัวได้อีกด้วย​ติดตามข้อมูลสุขภาวะอาคารเพิ่มเติมได้ที่ https://risc.in.th/knowledge​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​World Health Organization. (2010). WHO guidelines for indoor air quality: selected pollutants. WHO Regional Office for Europe.​Environmental Protection Agency (EPA). (2021). Indoor Air Quality. Retrieved from https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq​Mendell, M. J., Mirer, A. G., Cheung, K., Tong, M., & Douwes, J. (2011). Respiratory and allergic health effects of dampness, mold, and dampness-related agents: a review of the epidemiologic evidence. Environmental Health Perspectives, 119(6), 748–756. https://doi.org/10.1289/ehp.1002410​Salthammer, T., Mentese, S., & Marutzky, R. (2010). Formaldehyde in the indoor environment. Chemical Reviews, 110(4), 2536–2572.​Johns Hopkins Medicine. (2020). Allergies and Asthma. Retrieved from https://www.hopkinsmedicine.org​กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. (2564). รายงานสถานการณ์ฝุ่นและไรฝุ่นในประเทศไทย. กระทรวงสาธารณสุข.​Harvard T.H. Chan School of Public Health, Healthy Buildings: https://www.hsph.harvard.edu/healthybuildings/​WHO Guidelines for Indoor Air Quality: Dampness and Mould: https://www.euro.who.int/__data/assets/pdf_file/0017/433074/WHO-EHC-313-eng.pdf​CDC Healthy Homes Manual: https://www.cdc.gov/nceh/publications/books/housing/housing.htm​Jaakkola, J. J., et al. (2013). "Interior surface materials and asthma in school children: a case–control study." Indoor Air 23(3): 179-185.​WELL v2 Materials Concept: https://v2.wellcertified.com/en/materials​LEED v4 Low-Emitting Materials Credit: https://www.usgbc.org/node/2613953​UL GreenGuard Gold Product Guide: https://spot.ul.com​

182 viewer

คอร์ส WELL in Action: Future-Proof Your Building for Health and Resilience​

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

WELL in Action: ​Future-Proof Your Building for Health and Resilience​ Date: 27–29 August 2025​At DTGO CampUs​ราคาคอร์สละ 12,900 บาท ​รับเพียง 50 ที่เท่านั้น!!​​ชำระเงินได้ที่ บริษัท วี บีฟอร์ มี คอร์ปอเรชั่น จำกัด​​ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 133-5-47655-0 ​​​ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่RISC mail: risc_admin@dtgo.com, ​RISC Line ID: risc_center, ​RISC direct call: 063-902-9346​-------------------------------------------------------- วันที่ 1:​Morning Session​ - บทนำสู่มาตรฐาน WELL​: อธิบายภาพรวมของ WELL Building Standard ครอบคลุมที่มา วัตถุประสงค์ โครงสร้างของมาตรฐาน และแนวคิดหลักด้านสุขภาวะในอาคาร​- แนวคิด Resilience ในบริบทของ WELL​: นำเสนอแนวทางการใช้มาตรฐาน WELL เป็นเครื่องมือสนับสนุนการออกแบบอาคารให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ​- การเรียนรู้ผ่านเหตุการณ์สถานการณ์จริง แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและน้ำท่วม ระบุข้อกำหนดภายใน WELL ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมและการป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติ​ Afternoon Session​ - แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางอากาศ​: อธิบายข้อกำหนดของ WELL ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศภายในอาคาร และลดผลกระทบจากมลพิษ​- แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางน้ำและภาวะขาดแคลนน้ำ​: นำเสนอเกณฑ์การจัดการน้ำที่ปลอดภัย และระบบสำรองน้ำในภาวะวิกฤต​- แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับการรับมือคลื่นความร้อน (Heat Wave)​: ชี้ให้เห็นข้อกำหนดของ WELL ที่ช่วยสร้างความสบาย (Thermal Comfort) ในสภาวะอุณหภูมิสูง​ วันที่ 2: ​Morning Session​ - แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL Health-Safety Rating ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเสี่ยงการแพร่ระบาดภายในอาคาร​- การส่งเสริมสุขภาวะจิตในช่วงวิกฤตผ่านมาตรฐาน WELL​: นำเสนอข้อกำหนดที่สนับสนุนการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจของผู้ใช้อาคาร​- แนวทางการจัดการสารเคมีและวัสดุอันตรายภายใต้มาตรฐาน WELL​: อธิบายข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุและการจัดการความเสี่ยงจากสารเคมีในอาคารอย่างปลอดภัย​ Afternoon Session​ - Workshop การประยุกต์ใช้ WELL สู่บริบทจริง ผู้เรียนร่วมฝึกวางแนวทางการนำมาตรฐาน WELL ไปปรับใช้กับสถานการณ์เฉพาะผ่านการวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ​- ศึกษาดูงานโครงการ DTGO CampUs​: เยี่ยมชมอาคารสำนักงานที่นำมาตรฐาน WELL V2 ไปใช้จริง พร้อมรับฟังแนวคิดและกระบวนการออกแบบจากทีมผู้ออกแบบ​ วันที่ 3: ​Morning Session​ - การแนะนำ WELL Community Standard และ Health-Safety Rating​- อธิบายแนวคิดของ WELL ในระดับชุมชนและระบบจัดอันดับด้านความปลอดภัยภายในอาคาร พร้อมเปรียบเทียบกับ WELL V2 เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน​ Afternoon Session​ - ศึกษาดูงานโครงการ The Forestias และ The Aspen Tree​- เยี่ยมชมโครงการที่ประยุกต์ใช้แนวทาง WELL Community และแนวคิด Aging in Place พร้อมรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทำงานกับโครงการจริง​  

354 viewer

ทำไมปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีก่อน?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

สงสัยมั้ย ว่าทำไมปีนี้เหมือนจะร้อน แต่ก็ไม่ร้อนเมื่อเทียบกับปีก่อน แล้วอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาตั้งแต่ปลายเมษา มันเกิดอะไรขึ้น?​เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วร้อนมาก และร้อนกว่าปีนี้ เพราะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวโลกสูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม (ปี 1850 - 1900) ถึง 1.55 องศาเซลเซียส (± 0.13 องศาเซลเซียส) อ้างอิงจากรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติศาสตร์นั้นมีสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง ทั้งจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศสูงสุดในรอบ 8 แสนปี และจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง​โดยปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนั้น เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2023 และสูงสุดในช่วงต้นปี 2024 ส่งผลให้น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น อุณหภูมิโลกจึงสูงทุบสถิติ รวมไปถึงประเทศไทย เพราะในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 28.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ทุบสถิติในรอบ 74 ปี นับตั้งแต่ปี 1951 - 2024​แต่ในช่วงมิถุนายน ปี 2024 ปรากฏการณ์เอลนีโญเริ่มอ่อนกำลังลง และสิ้นสุดในช่วงปลายปี ก่อนที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเริ่มในช่วงมกราคมปีนี้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เคยสูงกว่าค่าเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย และทำให้อุณหภูมิโลกลดลงในช่วงต้นปีด้วยเช่นกัน แต่...ปรากฏการณ์ลานีญาในปีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ และสิ้นสุดลงในช่วงมีนาคมที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงสั้นๆ และทำให้ฤดูร้อนปีนี้ของเราไม่ร้อนจัด​จริงอยู่ที่ปี 2025 อุณหภูมิโลกจะลดลงจากปี 2024 แต่อย่านิ่งนอนใจ เพราะความร้อนที่ถูกสะสมในมหาสมุทรจากปี 2024 ก็ยังคงอยู่ และส่งผลให้ "อุณหภูมิโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว" การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรีบช่วยกันและดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/climate/summaryyearly​https://www.tmd.go.th/climate/El-Nino-La-Nina?show=25​https://www.cpc.ncep.noaa.gov/products/analysis_monitoring/enso_advisory/ensodisc.shtml?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/media/news/january-2025-sees-record-global-temperatures-despite-la-nina?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/news/media-centre/wmo-report-documents-spiralling-weather-and-climate-impacts?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExSTl4Vm85Zldwa0NZR1pnVgEeRsIDw0bfpWMgDWSE4OtG631k4VifzWwXia-mk80oEYs4t2Z6HGYAEHXXKyU_aem_6j0-pm_0CQ7VfuQ2MPMdvA#:~:text=The%20clear%20signs%20of%20human,social%20upheavals%20from%20extreme%20weather.&text=WMO's%20State%20of%20the%20Global,doubled%20since%20satellite%20measurements%20began​

284 viewer

เมื่อเข้าฤดูฝน​ พฤติกรรมสัตว์เปลี่ยนไป....อย่างไรบ้าง?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

On rainy days we often look for shelter—and many animals also seek refuge under leaves or bushes. But for some creatures it’s the time to get active.Rain doesn’t only help plants grow lush and green. Both small and large animals can also benefit. Moisture-loving creatures like frogs, toads, earthworms, snails, and some insects become more active. They move about and forage as the ground becomes damp. The moisture in the soil makes it easier for them to move and reduces the risk of losing water through their skin. Predators like small snakes also take advantage of this moment to hunt. The rainy season marks the beginning of the breeding season for many species, especially amphibians and insects. The humidity and temporary water sources provide ideal conditions for laying eggs and nurturing young.If you who want to create a nature-friendly garden, a small water feature can attract a variety of animals. Plant a diverse mix of vegetation, including low shrubs, fruit trees, and flowering plants, to create habitats and shelters for wildlife. Using organic fertilizers also helps preserve soil-dwelling creatures and supports long-term biodiversity in your garden.To keep unwanted animals away, regular garden maintenance is key. Trim overgrown bushes and grass. Routinely check and clear potential hiding spots like wood piles, stones, or old pots. This helps reduce the chance of dangerous animals taking up residence.Rain not only changes the atmosphere around us—it also reveals the quiet rhythm of life in nature. So next time it rains, take a moment to look around. You might discover something you've never seen before, just waiting for you to notice. Story by Kotchakorn Rattanama, Biodiversity Researcher, RISC

320 viewer

สีสันของดอกไม้​ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าที่เราคิด

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

“ดอกไม้” ในสายตาของใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ในธรรมชาติ พอบานแล้วก็ร่วงหล่น แต่จริงๆ แล้ว ดอกไม้กลับส่งผลต่อมนุษย์มากกว่านั้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของ “จิตใจ”​ สีสันของดอกไม้ไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามน่าดึงดูดใจต่อมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้อีกด้วย นั่นก็เพราะ สีแต่ละสีสามารถกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของเราได้ โดยผ่านกลไกการรับรู้ของสมองและระบบประสาท​ จากงานวิจัยด้านจิตวิทยาสี (Color Psychology) ชี้ให้เห็นว่า สีส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ของเราอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากกลไกการประมวลผลของสมองที่ตอบสนองต่อสีโดยอัตโนมัติ จากงานวิจัยพบว่า "สีโทนร้อน" อย่างสีแดง สีส้ม และสีเหลือง มักกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้น ความสดใส และพลัง สีเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดึงดูดสายตา และกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความหลงใหล ความมั่นใจ และความสุข นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม "ดอกกุหลาบสีแดง" จึงถูกใช้เป็น "สัญลักษณ์ของความรัก" มาอย่างยาวนาน​ ในทางตรงกันข้าม "สีโทนเย็น" อย่างสีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง รวมถึงสีขาว มักเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเยียวยา สีเหล่านี้จึงมักถูกนำมาใช้ในสภาพแวดล้อมที่ต้องการลดความตึงเครียด หรือส่งเสริมความรู้สึกปลอดภัย และเป็นมิตรนั่นเอง​ การออกแบบพื้นที่สีเขียวอย่างใส่ใจ โดยการเลือกใช้พรรณไม้ และดอกไม้หลากสีสัน สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญใน "การฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจและร่างกาย" ผ่านการออกแบบสวนภายในบ้าน สนามเด็กเล่น หรือพื้นที่สาธารณะ การออกแบบบรรยากาศด้วยสีของดอกไม้ สามารถกระตุ้นพฤติกรรมเชิงบวก สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ และเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันได้ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของสถานที่ และส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสังคมเมืองในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และแรงกดดัน การมีพื้นที่ธรรมชาติเล็กๆ ที่ประกอบด้วยพืชพรรณหลากสี จึงช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของผู้คนที่ได้ผ่านไปผ่านมาในวันนั้นให้ดีขึ้นได้​ เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​ อ้างอิงข้อมูลจาก​Li, H., Zhang, X., Zhao, M., & Guo, S. (2023). Psychological and physiological responses to flower colors: Evidence from human experiments. Urban Forestry & Urban Greening, 80, 127871.​

265 viewer

Waste to "VALUE" เปลี่ยนขยะให้มีค่า

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

ข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมในปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีปริมาณกากของเสียอุตสาหกรรมสูงถึง 19.8 ล้านตัน โดยเป็นของเสียที่ไม่อันตราย 18.7 ล้านตัน และเป็นของเสียอันตราย 1.1 ล้านตัน​ซึ่งของเสียอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตน้ำตาลทราย (38.8%) พลังงานไฟฟ้าจากความร้อน (14.3%) อาหารและเครื่องดื่มจากผักผลไม้ (11.9%) เหล็ก (6.4%) เอทานอล (5.7%) และอื่นๆ อย่างเช่น กระดาษ ชิ้นส่วนยานยนต์ สารเคมี พลาสติก และสิ่งทอ​จากข้อมูลข้างต้นพบว่า กระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม มักมีของเสียเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการผลิตจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี หากปริมาณของเสียเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เช่น การปนเปื้อนของสารเคมีอันตราย ไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำและดิน รวมถึงการแพร่กระจายของเชื้อโรค​การจัดการของเสียอุตสาหกรรมเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องใช้เแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาช่วย โดยการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะ และยังเพิ่มมูลค่าให้กับขยะเหล่านี้อย่างยั่งยืน​โดยต้องเริ่มจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด และลดการเกิดของเสียระหว่างกระบวนการผลิต นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงการจัดการผลิตภัณฑ์หลังหมดอายุการใช้งาน เช่น การใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ สามารถรีไซเคิลได้ หรือสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ในอนาคต ในขณะเดียวกันผลพลอยได้ (By-Products) ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตไม่ควรมองเป็นขยะที่ต้องกำจัด แต่ควรมองเป็นทรัพยากรที่มีค่า ซึ่งเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าจากของเสีย เช่น การใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าอย่างสูงสุด​ตัวอย่างเช่น การผลิตกระเบื้องพรม (Carpet Tiles) จากเส้นใย Nylon ของบริษัท Tarkett ​แผ่นพรมของ Tarkett ถูกออกแบบตั้งแต่แรกให้สามารถแยกชั้นขนพรมออกจากชั้นรองหลังได้ พอเมื่อหมดอายุการใช้งาน ชั้นขนพรม ซึ่งเป็นเส้นใย Nylon จะถูกนำไปรีไซเคิลเชิงเคมีร่วมกับเศษเส้นใยจากการผลิตพรม และขยะจาก Nylon อื่นๆ เช่น ตาข่าย แหอวน เสื้อผ้า และชิ้นส่วนพลาสติก เพื่อนำมาผลิตเป็นเส้นใย Nylon สำหรับการผลิตพรมใหม่ ชั้นรองหลัง ที่ถูกแยกออกมาจะถูกบดย่อย และหลอมขึ้นรูปเป็นแผ่นใหม่ จะนำไปใช้เป็นชั้นรองหลังสำหรับการผลิตพรมใหม่อีกครั้ง การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุในลักษณะนี้ จะช่วยลดปริมาณขยะ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะได้อีกด้วย การเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่เพียงแค่ช่วยลดปริมาณขยะ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับขยะ โดยเน้นการออกแบบที่คำนึงถึงการรีไซเคิล และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะ แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนอีกด้วย ​หากองค์กร หรืออุตสาหกรรมของท่านต้องการเปลี่ยนขยะของเสีย (Waste) จากโรงงานให้กลับมามีมูลค่า (Value) สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน สามารถติดต่อ RISC Line ID: risc_center. 063-902-9346 หรือ risc_admin@dtgo.com​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​สำนักงานสถิติแห่งชาติ. สถิติสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย พ.ศ. 2567 : https://www.nso.go.th/public/e-book/Indicators-Environment/Environment-Indicators-2567/​กรมโรงงานอุตสาหกรรม. สรุปข้อมูลกากของเสียอุตสาหกรรม 2566 : https://api.diw.go.th/public/tableauPublic.jsp?name=A4&ms=1744165687192​Tarkett. Climate and Circular Economy​

375 viewer

การประเมินพื้นที่ด้วย GIS ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รายงานขององค์การสหประชาชาติ พบว่าปัจจุบันประชากรมากกว่า 58% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง และคาดว่าในปี 2050 จะมีประชากรเพิ่มมากขึ้นเป็น 68% จากรายงานจะเห็นว่า “การขยายตัวของความเป็นเมือง” กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง​ "การขยายตัวของความเป็นเมือง" เป็นปรากฏการณ์ที่เมือง หรือนครขนาดใหญ่ขยายตัวออกไป ทั้งในเชิงสถิติของจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น และขอบเขตพื้นที่แผ่ขยายออกไป​ หากมองในมุมของการเติบโตของเมือง หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่...จริงๆ แล้วมีอะไรมากกว่านั้น​ จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อกระบวนการ "การกลายเป็นเมือง" (Urbanization) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากขาดการวางผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อาศัยในเมืองก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงในการดำเนินชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาวะดี (Well-Being) ในมิติต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ ด้านสภาพแวดล้อม และด้านสังคม​ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-informatics technology) จึงถูกนำมาใช้ เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การนำข้อมูลมารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ จะช่วยในการประเมินพื้นที่ ประกอบการวางแผน และการตัดสินใจในระดับเมือง ส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี (Well-Being) อย่างเช่น...​ ด้านสุขภาพ: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ และการกระจายเชิงพื้นที่ของการบริการตอบสนองความต้องการของประชากรที่ครอบคลุม ด้านสภาพแวดล้อม: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเข้าถึงพื้นที่สีเขียว เช่น ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยภายในเมืองรู้สึกผ่อนคลาย สนับสนุนให้ออกกำลังกาย ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ หรือการประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความมั่นคงทางการเงิน รวมไปถึงการประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการตรวจสอบมลภาวะทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ​ ด้านสังคม: ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอาชญากรรม เช่น การช่วยวางแผน ลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินให้คนในเมือง​ นอกจากนี้ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ยังเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ที่สามารถนำมาใช้ประเมินแนวโน้มการขยายตัวของเมืองได้ ช่วยในการวางผังเมืองและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เมืองเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาวะให้กับคนทุกกลุ่ม​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​ อ้างอิงข้อมูลจาก​ https://ourworldindata.org/grapher/share-of-population-urban?time=latest#sources-and-processing​https://unhabitat.org/programme/sustainable-development-goals-cities​https://population.un.org/wup/assets/WUP2018-Report.pdf​https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/regional-articles/reg-article-2023-10-09.html​https://www.okmd.or.th/okmd-opportunity/urbanization/256/​https://www.sdgmove.com/2021/01/25/sdg-updates-good-health-and-well-being/​https://www.sdgmove.com/2023/02/23/disparities-in-thailand-healthcare-services/​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=5935&lang=TH ​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=7964&lang=TH​https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=2450&lang=TH

377 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา