RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

ส้วม....มีผลต่อสุขภาพของเรา?

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

หากอุจจาระสามารถบอกถึงสุขภาพของเราได้เช่นไร การมีส้วมที่ดี สะอาด ถูกสุขลักษณะ ก็สามารถบอกถึงสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งานได้ด้วยเช่นกัน​การไม่มีสุขอนามัยที่ดี ขับถ่ายไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด บริโภคน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อาจก่อให้เกิดโรคท้องร่วงได้ จริงอยู่ที่โรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่า โรคท้องร่วงจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) ได้ระบุไว้ว่า ในแต่ละวันจะมีเด็กกว่า 1,000 คนเสียชีวิตจากโรคนี้ และเสียชีวิตมากกว่า 4 แสนคนในแต่ละปี​และเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัย และสุขลักษณะในการใช้ห้องน้ำให้มากขึ้น องค์การส้วมโลก (World Toilet Organization : WTO) จึงกำหนดให้วันที่ 19 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น “วันส้วมโลก (World Toilet Day)” ซึ่งได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์กิจกรรมต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) เป้าหมายที่ 6 ในเรื่องของการสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้ สำหรับทุกคน​ โดยเฉพาะ เป้าหมายย่อย 6.2 เพื่อบรรลุเป้าหมายการให้ทุกคนเข้าถึงการสุขาภิบาล และสุขอนามัยที่พอเพียงและเป็นธรรม รวมทั้งยุติการขับถ่ายในที่โล่ง โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความต้องการของผู้หญิง เด็กหญิง และกลุ่มที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบาง ภายในปี พ.ศ. 2573​จะเห็นได้ว่า การขาดโอกาสในการเข้าถึงส้วมที่มีคุณภาพได้นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ของแต่ละคน แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาวะระดับชาติ ที่ควรให้ความสำคัญต่อการจัดสรรสาธารณูปโภค และสาธารณูปการอย่างเหมาะสม ทั้งการออกแบบ การก่อสร้างอาคาร การดูแลรักษาห้องน้ำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพ และการจัดเตรียมระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลอย่างถูกสุขลักษณะ​กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคู่มือเกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (HAS) เพื่อบรรลุเป้าหมาย 3 ประการ คือ สะอาด เพียงพอ และปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา และยกระดับส้วมสาธารณะไทยให้ได้มาตรฐาน สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย มีรายละเอียดของมาตรฐานเบื้องต้น ดังนี้​ ✅ สะอาด (Health) ​▪ ห้องส้วม ทั้งพื้น ผนัง เพดาน กระจก จะต้องสะอาด ไม่มีคราบสกปรก พื้นห้องส้วมแห้ง ประตู มือจับ กลอนล็อค สะอาด อยู่ในสภาพดี ใช้งานได้​▪ สุขภัณฑ์ ได้แก่ อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ โถปัสสาวะ โถส้วม สายฉีดชำระ ปุ่มกดชักโครก จะต้องสะอาด ไม่มีคราบสกปรก อยู่ในสภาพดี ​▪ มีน้ำใช้สะอาดและเพียงพอ​▪ มีสบู่ล้างมือและกระดาษชำระเพียงพอ ​▪ มีการระบายอากาศดีและไม่มีกลิ่นเหม็น ​▪ ถังขยะรองรับมูลฝอย สะอาด มีฝาปิด อยู่ในสภาพดี ไม่รั่วซึม​▪ ท่อระบายสิ่งปฏิกูลและถังเก็บกักไม่รั่ว แตก หรือชำรุด​▪ จัดให้มีการทำความสะอาด และระบบการควบคุมตรวจตรา เป็นประจำ​▪ มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ​✅ เพียงพอ (Accessibility)​▪ มีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน​▪ รองรับการใช้งานของทุกคน รวมถึง ผู้พิการ ผู้สูงวัย หญิงตั้งครรภ์​▪ ส้วมสาธารณะพร้อมใช้งานตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ​✅ ปลอดภัย (Safety)​▪ ห้องส้วมต้องไม่อยู่ในที่ลับตา ไม่เปลี่ยว​▪ มีการแยกส่วนชาย-หญิง โดยมีป้ายหรือสัญลักษณ์ที่ชัดเจน​▪ มีแสงสว่างเพียงพอ​หากทุกพื้นที่สามารถจัดการ และดูแลบำรุงรักษาให้สภาพแวดล้อมของห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดผ่านเกณฑ์มาตรฐานข้างต้น ก็จะเป็นส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมการเข้าถึงการสุขาภิบาล และสุขอนามัยที่พอเพียงและเป็นธรรมให้กับทุกๆ คนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในหลายภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือในการปรับปรุงห้องน้ำห้องส้วมเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังต้องสร้างการตระหนักรู้เพิ่มขึ้น และปรับปรุงแก้ไขให้ผ่านเกณฑ์ได้มากขึ้น​จากข้อมูลรายงานผลการประเมินส้วม ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย (ข้อมูล ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568) จากการตรวจประเมินห้องน้ำสาธารณะ 7,461 แห่ง พบว่า มีห้องน้ำที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจำนวน 6,999 แห่ง และยังไม่ผ่านเกณฑ์อีก 462 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 6 ของจำนวนห้องน้ำสาธารณะทั้งหมดที่เข้ารับการประเมิน และประเภทอาคารที่มีจำนวนห้องน้ำไม่ผ่านเณฑ์มากที่สุด ได้แก่ ศาสนสถาน โรงเรียน สถานที่ราชการ และร้านอาหาร ซึ่งควรต้องเข้มงวดและให้ความใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสถานที่รองรับการใช้งานของกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ควรต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ก่อนเกิดปัญหาเชิงสุขภาพอื่นๆ ตามมา​ แผนภูมิแสดงผลการประเมินส้วม ประจำปี พ.ศ. 2568ที่มา: สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข  ไม่เพียงอาคารสาธารณะที่ควรต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเท่านั้น บ้านที่อยู่อาศัยในแต่ละครัวเรือนก็ควรคำนึงความสะอาด และสุขอนามัยเช่นเดียวกัน รวมถึงเรื่องพื้นฐาน อย่างเช่น การล้างมือ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลสถิติจำนวนครัวเรือนที่มีสถานที่เฉพาะสำหรับล้างมือ มีน้ำพร้อมสบู่ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้น และเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และควรจะต้องส่งเสริม และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง​ แผนภูมิแสดงสัดส่วนของประชากรที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการล้างมือด้วยสบู่ และน้ำที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เรื่องส้วมๆ อย่ามองข้าม และละเลย เพราะมีผลโดยตรงต่อสุขภาวะที่ดีของทุกคน โดยเริ่มต้นง่ายๆ เริ่มที่ตัวเรา เริ่มต้นที่บ้านของเรา​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC

238 viewer

รู้หรือไม่ สภาพแวดล้อมก็มีผลต่อโรคเบาหวาน

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) ที่มีจำนวนผู้ป่วยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ​โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic Disease) โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหาร ร่างกายจะย่อยอาหารเป็น “กลูโคส” และส่งเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้น “ฮอร์โมนอินซูลิน” จากตับอ่อนจะทำหน้าที่เสมือนกุญแจ เปิดให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดหรือดื้ออินซูลิน น้ำตาลจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ​หากงดน้ำงดอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมง แล้วยังมีระดับน้ำตาลสูงกว่า 126 mg/dL ถือว่าอยู่ในภาวะเบาหวาน ซึ่งการอยู่ในภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้อวัยวะ เช่น ตา ไต หัวใจ หรือเส้นประสาท เกิดการอักเสบ เสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวายเรื้อรัง หัวใจขาดเลือด หรือแผลหายยากจนต้องตัดอวัยวะได้ ​โดยโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด​✅ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) มักพบในเด็กและวัยรุ่น เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้หรือผลิตได้น้อยมาก ต้องได้รับอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิต​✅ เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) มักพบในผู้ใหญ่ เป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ และสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ​แต่...รู้หรือไม่ มากกว่า 90% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเป็นชนิดที่ 2 และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความตระหนักรู้และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม​แค่การ "ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม" ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้​องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาล สำหรับผู้ใหญ่ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ส่วนเด็กและผู้สูงอายุ ไม่เกิน 4 ช้อนชา/วัน และควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา หรือมากกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า​สำหรับเคล็ดลับสำคัญป้องกันโรคเบาหวานทำได้ง่ายๆ โดย​✅ จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 กำหนดปริมาณอาหารด้วยการแบ่งสัดส่วนของจาน ประกอบด้วย ผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน​✅ อ่านฉลากโภชนาการ ก่อนเลือกซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูง​แล้วรู้หรือไม่ว่า นอกจากพฤติกรรมแล้ว "สภาพแวดล้อม...ก็มีผลกระตุ้นให้เกิดโรค" ได้อีกด้วย​จากงานวิจัยพบว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการกินแล้ว สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบอีกว่า ​▪ “การได้รับแสงในเวลากลางคืน” (Light at Night: LAN) มีผลต่อสมดุลของการทนต่อกลูโคส (Glucose Tolerance) และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โดยแสงสีขาวที่ความสว่างปานกลาง (50-150 lux) ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อกลูโคสมากกว่าแสงสลัว (5 -20 lux) ขณะเดียวกันการได้รับแสงในเวลากลางคืนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากนี้ยังพบว่า ในพื้นที่ที่มีระดับแสงกลางคืนสูง จะมีความชุกของโรคเบาหวานสูงกว่าพื้นที่มืดมากกว่า 28%▪ มลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ควันบุหรี่ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ก็มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคเบาหวาน โดยมลพิษทางอากาศสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers) ที่เกี่ยวข้อง เช่น การอักเสบเพิ่มขึ้น ความผิดปกติของสมดุลกลูโคสในร่างกาย ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความผิดปกติของไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial Alteration) และนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในที่สุด​วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น วันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต​แม้โรคเบาหวานไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้ แต่เป็นโรคที่รู้เท่าทัน และสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเล็กๆ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนของนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาวของคุณและคนที่คุณรัก​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​1. WHO. Diabetes ;https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/diabetes​2. ศูนย์ความเป็นเลิศเบาหวานศิริราช. จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 ; https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/ct_knowledgesdetail.asp?div_id=44&kl_id=34​3. ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล. สุขภาพดี ทำได้ง่ายๆ แค่…ลดหวาน ; https://www.gj.mahidol.ac.th/main/sweet/​4. Opperhuizen AL, Stenvers DJ, Jansen RD, Foppen E, Fliers E, Kalsbeek A. Light at night acutely impairs glucose tolerance in a time-, intensity- and wavelength-dependent manner in rats. Diabetologia. 2017 Jul;60(7):1333-1343. ​5. Zheng, R., Xin, Z., Li, M. et al. Outdoor light at night in relation to glucose homoeostasis and diabetes in Chinese adults: a national and cross-sectional study of 98,658 participants from 162 study sites. Diabetologia 66, 336–345 (2023).​6. Li Y, Xu L, Shan Z, Teng W, Han C. Association between air pollution and type 2 diabetes: an updated review of the literature. Therapeutic Advances in Endocrinology and Metabolism. 2019.

239 viewer

เราทุกคนสร้าง “เมืองใจดี” สำหรับคนพิการกันได้นะ

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ ในประเทศไทยมีคนพิการกว่าหลายล้านคน และมีเพียงส่วนน้อยที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย ซึ่งปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ความสามารถของพวกเขา” แต่อยู่ที่ “สิ่งแวดล้อมรอบตัว” ที่ยังไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิต​จากข้อมูลสถานการณ์คนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่า คนพิการในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2,242,693 คน หรือคิดเป็น 3.39% ของประชากรไทย​ประเภทความพิการที่พบมากที่สุด คือ พิการทางการเคลื่อนไหว/ทางร่างกาย 51.98% พิการทางการได้ยิน/สื่อความหมาย 19.28% พิการทางการเห็น 7.65% และพิการทางจิตใจ/พฤติกรรม 7.34% โดยมีคนพิการที่สามารถประกอบอาชีพได้ 24.26% ของคนพิการที่อยู่ในวัยทำงานทั่วประเทศ​โดยความพิการแบ่งได้ 7 ประเภท ได้แก่ ทางการเห็น, ทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย, ทางร่างกาย, ทางจิตใจหรือพฤติกรรม, ทางสติปัญญา, ทางการเรียนรู้ และทางการออทิสติก ซึ่งคนพิการอาจจะมีความพิการได้มากกว่า 1 ประเภท นั่นยิ่งทำให้ใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น​หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราต้องรู้ประเภทของคนพิการ?​นั่นก็เพราะเราจะได้เข้าใจ และหาทางในการออกแบบสถานที่ให้รองรับกับความบกพร่องแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งคงจะดีไม่น้อย หากพื้นที่ต่างๆ ในเมือง อาคาร และทุกพื้นที่ ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง และเพิ่มโอกาสต่างๆ ในชีวิตแล้วเราจะช่วยคนพิการใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้นได้อย่างไร? งั้นเราลองมาดูไอเดียการออกแบบที่รองรับความพิการบางส่วนกัน​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางร่างกาย สามารถออกแบบอุปกรณ์ และพื้นที่ให้เอื้อต่อการสัญจรและชีวิตประจำวัน เช่น การออกแบบพื้นให้ไม่มีระดับ ควรราบเรียบเสมอกัน และหากมีการเปลี่ยนระดับควรมีทางลาด อย่างน้อย 1:12 ระยะเอียงที่รถเข็นได้สบาย ประตูเป็นบานเลื่อน ความกว้างของทางเดินหรือประตู อย่างน้อย 90 ซม.(ไม่มีสิ่งกีดขวาง) จุดหมุนตัว อย่างน้อย 150 ซม. ราวจับพยุงตัว มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. สูงจากพื้น 80-90 ซม. และจับราวได้ตลอดแนว เป็นต้น​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางการเห็น ส่วนใหญ่ใช้ไม้เท้านำทางในการกวาดเพื่อสัมผัส รับรู้สิ่งกีดขวางแทนการมองเห็น ทางเดินจึงมีความกว้าง อย่างน้อย 120 ซม. ป้ายอักษรเบรลล์ ควรอยู่ในระยะความสูง 120-150 ซม.จากระดับพื้น เพื่อเป็นระยะที่เอื้อมสัมผัสได้สะดวก และการสัญจรพื้นผิวต่างสัมผัสเพื่อใช้ในการสัญจร ทั้งชนิดปุ่นนูน ใช้สำหรับการเตือน และชนิดเส้นนูน ใช้สำหรับบอกทิศทาง นอกจากนี้ “เสียง” ก็เป็นอีกสัญญาณสำคัญในการบอกสถานะต่างๆ เช่น เสียงบอกไฟข้ามถนน เสียงลิฟท์บอกชั้น เสียงเตือนต่างๆ เป็นต้น​ การออกแบบสำหรับคนพิการทางการได้ยิน ทุกสื่อเราใช้ "สัญญาณภาพแทนเสียง" ใช้การอ่านหรือภาษามือเข้ามาช่วยแทนในทุกการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณาตามทางควรมีตัวหนังสือประกอบการพูดไปด้วย รวมถึงการออกแบบ้ พื้นผิวหรือสัญลักษณ์นำทางด้วยภาพหรือสีช่วยระบุพื้นที่สำคัญ กรณีที่ต้องการเตือนภัย ปกติเราใช้เสียงเตือน เราต้องเพิ่มให้มีระบบสั่น ไฟกระพริบ สัญญาณแสง แทนเสียงเตือนทั้งหมด รวมถึงการดูหนังควรมีคำบรรยายหรือภาษามือเพื่อสื่อสารอีกด้วย​ การออกแบบสำหรับคนพิการออทิสติก คนที่มีปฎิกริยาตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทั้งการสัมผัส แสง เสียง สีเบี่ยงเบนไป จึงต้องออกแบบไม่กระตุ้นระบบประสาทมาก หรือน้อยเกินไป เช่น การติดตั้งหลอดไฟให้มีแสงสว่างแต่ไม่เห็นหลอด และใช้แสงโทนอุ่น เลี่ยงน้ำหอมปรับอากาศ เลือกใช้วัสดุที่มีความนุ่ม เพื่อลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและลดเสียงกระทบ เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีมุมโค้งมน หรือติดตั้งแผ่นกันกระแทกที่ขอบโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์ พื้นผิวสัมผัสเรียบ สะอาดเพื่อลดการกระตุ้น และสร้างพื้นที่สงบอารมณ์เมื่อโดนกระตุ้นมากเกินไปด้วย​ ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันคนพิการแห่งชาติ (National Day of Persons with Disabilities) เป็นวันที่แสดงความสำคัญและให้กำลังใจแก่คนพิการ และส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม ที่คนพิการควรได้รับโอกาสและสิทธิที่เท่าเทียมกับคนทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมา RISC และ MQDC ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้เกิดการตระหนักถึงการออกแบบที่รองรับทุกคน อย่างโครงการของ MQDC เรามีมาตรฐานในการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับทุกคน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ทุกคนมั่นใจในการใช้ชีวิต อีกรูปแบบของการดูแลซึ่งกันและกันในสังคม เพื่อสร้าง “สังคมใจดี” ดูแลทุกคน โดยเฉพาะคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตเองได้ เพิ่มความมั่นใจ รู้สึกดีต่อตัวเอง ทำทุกอย่างได้เหมือนกับทุกคนทั่วไปเช่นกัน​หากสนใจรายละเอียดการออกแบบ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://asa.or.th/wp-content/uploads/2017/07/BAEDRFA.pdf หรือ https://surl.li/igydxe​เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. 2568.​นวลวรรณ ทวยเจริญ. อออกแบบบ้านอย่างไรให้เหมาะกับเด็กออทิสติก. ศูนย์การออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2565.​ข้อแนะนำการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับทุกคน สมาคมสถาปนิกสยาย ในพระบรมราชูปถัมภ์. 2557.​

271 viewer

หมาหอนเพราะเห็นกุ๊กกู๋ หรือสื่อสารอะไร?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อพูดถึงเรื่องชวนหลอน สุนัขหอน...หอนเพราะเห็นผี หรือหอนเพราะ...?​ถ้าเป็นเรื่องผีๆ การหอนของสุนัขอาจจะทำให้ชวนจินตนาการ ชวนขนลุกนึกถึงผี แต่การที่สุนัขหอนตอนกลางคืน อาจเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อม เช่น เสียง กลิ่น หรือเกิดจากอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น ความเหงา วิตกกังวล รวมถึงอาจเกิดจากความรู้สึกหิวกระหาย หรือเจ็บปวด ไม่สบายตัว ได้เช่นกัน​แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันการหอนของสุนัข?​อย่างแรกเราต้องเข้าใจถึง "สาเหตุ" ก่อน จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุด​ "ประตูเข้า-ออก Wicket Door" ถ้าหากสุนัขของเราหอน หรือคอยสะกิดอยู่เรื่อยๆ เพราะต้องการออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกห้อง หรืออยากขับถ่าย เราสามารถจัดเตรียม Wicket Door ที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับให้สุนัขสามารถเข้า-ออกห้อง เข้า-ออกระเบียง หรือที่ขับถ่ายเองได้ โดยไม่ต้องรอเจ้าของเปิดปิดประตูให้​ "ผนังบ้านกันเสียง" ถ้าสุนัขของเราหูดีมาก ได้ยินเสียงแปลกๆ แม้เพียงนิดเดียวก็หอน อย่างเช่น เสียงหอนของเพื่อนๆ สุนัขจากบ้านอื่น เสียงดนตรีของเพื่อนบ้าน เสียงไซเรนยามค่ำคืน หรือเสียงความถี่สูงที่มนุษย์เราอาจจะไม่ได้ยิน ผนังบ้านของเราก็ควรมีความหนาพอประมาณที่จะสามารถป้องกันเสียงได้ หรือติดฉนวนกันเสียงเพิ่มเติม เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ลดการได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์​ หรือหากเราอยู่ในอาคารอยู่อาศัยรวม เช่น คอนโดมิเนียม สุนัขก็อาจจะเห่า หรือหอนจากการได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไปมาจากนอกห้องได้ หากห้องพักของเราไม่ได้ถูกทำมาเพื่อป้องกันเสียงตั้งแต่แรก ซึ่งสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาตั้งแต่ตอนเลือกซื้อคอนโดเลยก็คือ ผนังห้องพักควรมีคุณสมบัติการป้องกันเสียงที่ดี ​ งั้นเรามาลองดูว่าผนังแบบไหนกันเสียงได้เท่าไรบ้าง? ผนังระหว่างห้องพักกับทางเดินส่วนกลาง ควรมีค่า Sound Transmission Class หรือค่า STC 45 เป็นอย่างน้อย (วัสดุผนังที่มีค่าใกล้เคียง STC 45 ตัวอย่างเช่น ผนังคอนกรีตมวลเบา หนา 15 ซม.) และผนังระหว่างห้องพัก ควรมีค่า STC 50 เป็นอย่างน้อย (ตัวอย่างเช่น ผนังคอนกรีตมวลเบา หนา 20 ซม.) แต่หากต้องการความมั่นใจในประสิทธิภาพการป้องกันเสียง แนะนำว่าผนังระหว่างห้องพัก ควรมีค่า STC 55 (ตัวอย่างเช่น ผนังก่อคอนกรีตมวลเบาสองชั้นเว้นช่องว่างอากาศตรงกลาง ความหนารวม 25 ซม.)​ "ประตูห้องกันเสียง" จากเรื่องผนังแล้ว ประตูห้องพักก็ควรมีคุณสมบัติป้องกันเสียงที่ดีเช่นกัน เพราะเสียงอาจลอดผ่านเข้ามาทางประตูได้ ตัวอย่างลักษณะของประตูที่ช่วยป้องกันเสียง ก็คือ เป็นประตูบานทึบตัน หรือประตูที่มีการกรุฉนวนกันเสียงอยู่ภายในบานประตู และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรติดตั้งยางกันเสียงโดยรอบขอบประตูและด้านล่างของประตูด้วย​ "ระบบระบายอากาศลดกลิ่น" กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มาจากภายนอก หรือภายในบ้าน ก็อาจทำให้สุนัขไม่สบายตัวได้ จนเกิดการเห่าหรือหอนขึ้นมา การมีบ้านที่มีหน้าต่างเพียงพอ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยเจือจางกลิ่น และบรรเทาปัญหานี้ลงได้ ยิ่งถ้ามีระบบระบายอากาศและเติมอากาศเพิ่มเติม ก็ยิ่งช่วยให้ปัญหาเรื่องกลิ่นหายไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น​ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขของเราหอนโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นคือ "การดูแล เอาใจใส่" อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สุนัข "รู้สึกอบอุ่น ไม่เหงา" เป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะช่วยลดความวิตกกังวลของสุนัขได้ และควรหมั่นสังเกตพฤติกรรม หากมีอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติ ต้องรีบพาไปพบคุณหมอ เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงที รับผิดชอบเรื่องคุณภาพชีวิตของเค้า ดูแลเรื่องอาหารและน้ำไม่ขาดตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ จัดสรรเวลาพาสุนัขไปเดินเล่นในสวน วิ่งออกกำลังกาย ปล่อยพลังงาน ยิ่งมีพื้นที่สีเขียวอยู่ใกล้บ้านก็ยิ่งสะดวกต่อการมีกิจกรรมร่วมกัน​ หากในช่วงเวลากลางวันที่เราอาจจะต้องออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่บ้านหรือห้องพัก ก็ควรจะให้อิสระกับสุนัขได้เดินเล่น ชมวิวทิวทัศน์ และสัมผัสอากาศธรรมชาติได้บ้าง เพื่อผ่อนคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล​ เมื่อเรามีพื้นที่การอยู่ร่วมกันที่มีความสุข ก็จะช่วยส่งเสริมให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพกายที่แข็งแรงไปด้วยกัน ทั้งเราและสัตว์เลี้ยง​ สิ่งลี้ลับอาจจะมีหรือไม่มีจริง เราไม่อาจรู้ได้ แต่หากได้ยินเสียงสุนัขหอนตอนกลางคืน อย่าเพิ่งตื่นกลัว หรือรำคาญ ลองตรวจสอบดูก่อนว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับสุนัขเรา หรือสุนัขของเพื่อนบ้านหรือไม่ เพราะสุนัขคงต้องการจะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างให้เรารับรู้ หรือขอความช่วยเหลือ​ Whizdom The Forestias Petopia คอนโดวิวป่า 30 ไร่ ที่ออกแบบโดยเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง และคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ทั้ง Wicket Door ที่ให้อิสระกับสัตว์เลี้ยง ผนังสองชั้นกันเสียง ประตูกันเสียงพร้อมติดตั้ง Door Seal และ Drop Seal รวมทั้ง ERV และ Fresh Air Fan ที่ช่วยเติมอากาศและแลกเปลี่ยนอากาศให้ภายในห้องมีอากาศที่ดีอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ เพื่อสร้างความสุขร่วมกันทั้งเจ้าของ และสัตว์เลี้ยง​ เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​

607 viewer

จุดเริ่มจาก “การกินเจ” สู่การออกแบบการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อพูดถึงเทศกาลถือศีลกินเจ เรามักจะนึกถึงช่วงเวลาของการไม่กินเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ต้องการลดการเบียดเบียน หรือเลี่ยงการรบกวนชีวิตสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่จะลงมาดูแลปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถือศีล ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนที่บอกว่า การกินเจ 9 วัน 9 คืน จะเป็นการสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ในอดีตกาล และพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ ​จากความเชื่อกลายเป็นเทรนด์รักสุขภาพ​ปัจจุบัน หลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น “การกินเจ” จึงกลายเป็นช่วงเวลา “เริ่มต้น” ของการ “ละการกินเนื้อสัตว์” เน้นการ “กินผักและผลไม้” โดยเอาเทศกาลเป็นตัวกระตุ้น และมีเพื่อนกินเจในเทศกาลนี้เยอะอีกด้วย​ด้านสุขภาพกาย การกินอาหารที่ปรุงจากพืชผัก ผลไม้ และธัญพืช เป็นการลดไขมันอิ่มตัวและเพิ่มใยอาหาร สร้างความสบายให้แก่ระบบย่อยอาหารลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานที่ราบรื่นของร่างกาย มีงานวิจัยยืนยันว่า การบริโภคพืชกลุ่มถั่วเป็นหลักช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ถึง 21% ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ถึง 11% ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้มากถึง 20.2 ล้านตัน นับเป็นการดูแลทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน​ด้านสุขภาพใจ การกินเจเป็นการกำหนดวินัยให้กับตนเอง และฝึกสติในทุกมื้ออาหาร จิตใจที่สงบจากการเลือกอย่างมีสติ คือหัวใจสำคัญของความเป็นอยู่ที่ดี หรือ Well-being ซึ่งไม่ได้วัดเพียงจากร่างกายแข็งแรง แต่รวมถึงความสมดุลระหว่างกาย ใจ และสังคมด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกความเมตตา และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคารพ นับว่าเป็นอีกหนึ่งในแก่นแท้ของการสร้างสุขภาวะทั้งกาย และจิตใจอย่างสมบูรณ์​ที่สำคัญ การกินเจยังสะท้อนแนวคิด “การออกแบบพฤติกรรมที่ยั่งยืน” ผู้คนอาจเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติ 9 วันต่อปี ซึ่งหากคำนวณจากการประเมินของสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า หากการเปลี่ยนไปทานอาหารที่มาจากพืช สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อปีของแต่ละบุคคลได้ถึง 5.75 กิโลกรัมคาร์บอร์ต่อวัน การกินเจเป็นระยะเวลา 9 วัน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 50-55 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทียบกับการกินอาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือความตระหนักรู้ และความตั้งใจที่จะเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ในมิติของ Well-Being ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับการออกแบบพฤติกรรมที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานให้เกิดพฤติกรรมที่ดีอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การเลือกอาหารที่สดใหม่และมีประโยชน์ การตระหนักถึงที่มาของวัตถุดิบ หรือการลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและยั่งยืน ​การกินเจจึงไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการออกแบบชีวิตสู่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาวให้มีคุณค่ามากขึ้น ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อเราตระหนักว่า “ทุกการเลือกคือการออกแบบ” เราก็สามารถปรับการกินเจ ไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง​เนื้อหาโดย คุณ วชรกรณ์ มณีโชติ สถาปนิกวิจัย Well-Being Research Integration, RISC ​อ้างอิงข้อมูลโดย​https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2161831323000686 ​https://www.mdpi.com/2071-1050/12/19/8228​https://www.un.org/en/actnow/food​

593 viewer

ครอบครัวอบอุ่น จุดเริ่มต้นของสุขภาพใจที่ยั่งยืน

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เคยสังเกตมั้ย? ว่าทำไมช่วงปีนี้มีคนรอบตัวเราบ่นเรื่องนอนไม่หลับบ่อยขึ้น หรือมีความเครียด และเป็นซึมเศร้ามากขึ้น​ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO พบว่า ประชากรทั่วโลกกว่า 970 ล้านคน หรือ 1 ใน 8 มีปัญหาด้านสุขภาพจิต และยังพบอีกว่า วัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ซึ่งนับเป็นประชากร 1 ใน 6 คนของประชากรโลก มี 1 ใน 7 คนของวัยรุ่น (14.3%) ประสบปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ตัว และยังไม่ได้รับการรักษา​สำหรับสถานการณ์สุขภาพจิตของไทย จากข้อมูลของ Mental Health Check-in ของกรมสุขภาพจิต พบว่าคนไทยทุกช่วงอายุ ในช่วงปี 2563-2567 มีความเครียดสูง 8.04% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 9.47% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5.39% และเมื่อเทียบกับวัยรุ่นไทย อายุต่ำกว่า 20 ปี พบว่า มีความเครียดสูง 24.83%  มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 29.51% และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงถึง 20.35% นับว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่าช่วงวัยอื่นมากถึง 3-4 เท่า ​แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้สถานการณ์สุขภาพจิตดีขึ้น? และควรเริ่มต้นจากจุดไหนดี?​ขอแชร์งานวิจัย 2 งานที่พูดถึงความสำคัญของครอบครัวที่มีผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง งานวิจัยแรก ทีมนักวิจัยจากประเทศจีน Bian, Y., Jin, K. และ & Zhang, Y. ทำการศึกษาวัดความผูกพันในครอบครัวกับภาวะซึมเศร้า จากผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 90,023 คน จากหลายประเทศ พบว่ายิ่งครอบครัวมีความผูกพัน ช่วยเหลือกันและกันมาก (Cohesion) ยิ่งลดแนวโน้มภาวะซึมเศร้าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ​อีกงานวิจัยจากประเทศจีน An, J., Zhu, X., Shi และ Z. et al. ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงบวกกับครอบครัว พบว่าไม่ใช่แค่มีครอบครัว แต่การรับรู้ได้ว่าครอบครัวให้การสนับสนุนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ คนในครอบครัวที่สามารถปรึกษาปัญหาได้ สามารถพูดคุยกันได้ จะส่งผลโดยตรงต่อสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้น (Emotional Well-being) นำไปสู่การเข้าสังคมที่ดีขึ้น (Social Well-being) และยังส่งผลต่อสุขภาพทางกายดีขึ้นอีกด้วย (Psychological Well-being)​นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกหลายแหล่ง ที่ยืนยันไปในทางเดียวกันว่า “ครอบครัว” เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็ง และความแข็งแรงทางใจที่ส่งเสริม “สุขภาพจิต” ของวัยรุ่นและทุกคนในครอบครัวให้ดีขึ้นได้​“สุขภาพใจที่ดีเริ่มต้นที่บ้าน” อย่างที่โครงการ Mulberry Grove The Forestias ได้ออกแบบพื้นที่ของครอบครัว และสร้างพื้นที่การเชื่อมต่อ มองเห็นกันได้จากพื้นที่ต่างๆ ของตัวบ้าน ทั้งจากชั้นเดียวกันและชั้นบน ให้สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสมองเห็นสมาชิกในครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น พบปะเจอกันได้บ่อยขึ้น ได้ใช้เวลาร่วมกัน ประกอบกับการสร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม น่านั่ง น่าคุย หรือน่าทำกิจกรรมของครอบครัวด้วยกัน การได้เจอกันและใช้เวลาร่วมกันที่มากขึ้นนี่เอง คือ ปัจจัยหลักของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรู้สึกเชิงบวก ส่งเสริมความแข็งแรงทางจิตใจ และอารมณ์​เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Hfocus. (2024, มีนาคม). ชื่อบทความ. Hfocus. สืบค้นเมื่อ 3 เดือนตุลาคม จาก https://www.hfocus.org/content/2024/03/30088​Hfocus. (2025, กรกฎาคม). ชื่อบทความ. Hfocus. สืบค้นเมื่อ 3 เดือนตุลาคม จาก https://www.hfocus.org/content/2025/07/34568​An, J., Zhu, X., Shi, Z., & An, J. (2024). A serial mediating effect of perceived family support on psychological well-being. [BMC Public Health], [2024], DOI: https://doi.org/10.1186/s12889-024-18476-z​Bian, Y., Jin, K., & Zhang, Y. (2024). The association between family cohesion and depression: A systematic review and meta-analysis. [PubMed, National Library of Medicine], [2024], DOI: 10.1016/j.jad.2024.03.138​

705 viewer

เคล็ดลับการดูแลสมอง สู่ชีวิตยืนยาวและมีความสุข

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่? การดูแลสมองอย่างเหมาะสมในวัยสูงอายุ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม แต่ยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีความสุข และพึ่งพาตนเองได้นานขึ้น​ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 13 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าภายใน 30 ปีข้างหน้า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเกิน 20 ล้านคน ซึ่งความท้าทายที่มาพร้อมกับสังคมสูงวัย คือการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ “สมอง” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของคุณภาพชีวิต​ทำไมสุขภาพสมองถึงสำคัญในวัยสูงอายุ?​สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนและเปราะบาง ทำหน้าที่ควบคุมการคิด การตัดสินใจ ความจำ และการดำเนินกิจวัตรประจำวัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์สมอง และการทำงานที่เชื่อมโยงกันจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ส่งผลให้ความจำไม่ดีเหมือนเดิม คิดได้ช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม อย่างเช่น อัลไซเมอร์​อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในวัยสูงอายุ สมองก็ยังคงปรับตัวและยืดหยุ่นได้ หากได้รับการดูแล และกระตุ้นอย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อม อีกทั้งยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณภาพ​เคล็ดลับการดูแลสมองผู้สูงวัยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำอย่างสม่ำเสมอและครบทุกด้าน ก็ช่วยให้สมองแข็งแรงได้ ไม่ว่าจะเป็น...​1. ออกกำลังกายเป็นประจำ: กิจกรรมง่ายๆ อย่างการเดินช้าๆ โยคะ ไทเก็ก หรือว่ายน้ำ ทำวันละอย่างน้อย 30 นาที ก็จะช่วยให้เลือด และออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง และกระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อความจำและอารมณ์​2. กินอาหารที่ดีต่อสมอง: เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3 แอนติออกซิแดนท์ และวิตามิน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช และผลไม้หลากสี เพื่อช่วยลดการอักเสบ และชะลอความเสื่อมของสมอง​3. พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับวันละ 7–8 ชั่วโมง จะช่วยให้สมองได้พัก และจัดเก็บความทรงจำ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อม​4. ฝึกใช้สมองอยู่เสมอ: การอ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือฝึกภาษาใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง และสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทใหม่ๆ​5. สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม: การพูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือเข้าร่วมกิจกรรมสังคม ช่วยลดความเหงา ความเครียด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ​6. ตรวจเช็กสมองอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจคัดกรองสมอง หรือทำแบบประเมินสุขภาพสมอง ช่วยให้ทราบความเสี่ยงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้สามารถวางแผนดูแล และฟื้นฟูสมองได้อย่างเหมาะสม​ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุสากล” (International Day of Older Persons) เพื่อให้สังคมทั่วโลกได้ตระหนักถึงคุณค่า และศักยภาพของผู้สูงวัย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น​เช่นเดียวกับ The Aspen Tree The Forestias คือหนึ่งในตัวอย่างของการดูแลผู้สูงวัยแบบองค์รวม เน้นทั้งสุขภาพกาย ใจ และสมอง โดยได้ร่วมมือกับ Baycrest ประเทศแคนาดา ศูนย์วิจัยและการดูแลผู้สูงวัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก พัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และโปรแกรมด้านสุขภาพสมอง และการดูแลผู้สูงวัย เพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย​• Health & Brain Center: มีเครื่องมือประเมินสมองและโปรแกรมบริหารสมอง เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ​• กิจกรรมและสภาพแวดล้อมเพื่อผู้สูงวัย: ออกแบบเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว การเรียนรู้ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม​• การดูแลแบบองค์รวม: ช่วยให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพกายแข็งแรง จิตใจสดใส และสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ​โดยความร่วมมือนี้เชื่อมโยงมาตรฐานระดับสากลเข้ากับการดูแลเชิงปฏิบัติจริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยไทย ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณค่าอย่างยั่งยืน​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.baycrest.org/Baycrest-Pages/News-Media/News/Baycrest-Global-Solutions/A-place-to-age-successfully​https://mqdc.com/aspentree​

766 viewer

เรบีส์ (โรคพิษสุนัขบ้า) รักอย่างถูกวิธี ชีวีจะปลอดภัย

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

คนรักสัตว์โปรดฟังทางนี้!!​สัตว์ทุกตัวมีความน่ารักในตัวเอง ไม่ว่าจะสัตว์ที่มีเจ้าของ หรือสัตว์จรที่พบตามท้องถนน จนบางคนอดใจไม่ไหว อยากเข้าไปสัมผัส อยากให้อาหาร อยากเข้าไปเล่นด้วย แต่...หากชะล่าใจ ก็อาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน​เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังคำโบราณว่าไว้ อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน​จากข้อมูลสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าปีนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 7 คน ซึ่งเสียชีวิตทั้ง 7 คน โดยที่รายล่าสุดเสียชีวิต เพราะไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังถูกสุนัขจรจัดกัด​สัตว์เลี้ยงนอกจากจะให้ความสุขกับเราแล้ว ในอีกแง่มุมนึง เรายังมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับโรคภัยไข้เจ็บจากสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย หากเราประมาท ไม่รักษาความสะอาด หรือขาดความรับผิดชอบโดยไม่ดูแลจัดการสวัสดิภาพสัตว์อย่างถูกต้อง นั่นก็เพราะโรคจากสัตว์สามารถถ่ายทอดสู่คนได้​โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ก็คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ และสามารถติดต่อกันได้ระหว่างคนและสัตว์ ซึ่งการติดต่ออาจติดต่อจากสัตว์มายังคน หรือจากคนไปยังสัตว์ก็ได้​1. ไวรัส ตัวอย่างเช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หวัดนก​2. แบคทีเรีย ตัวอย่างเช่น โรคฉี่หนู โรคบาดทะยัก โรคไข้กระต่าย​3. เชื้อรา ตัวอย่างเช่น โรคเชื้อราจากผิวหนังแมว โรคเชื้อรามูลนก​4. ปรสิต ตัวอย่างเช่น โรคพยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม โรคไข้ขี้แมว​ซึ่งโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เป็นอีกโรคที่เรารู้จักกันดี สามารถติดต่อผ่านทางน้ำลาย จากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด หรือข่วน ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและสมอง หากไม่ได้ทำความสะอาด และรับวัคซีนหลังสัมผัส อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จึงเป็นเรื่องที่ต้องตระหนัก และต้องรู้จักป้องกันตนเอง​จากข่าวประกาศพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า พบสัตว์ป่วยติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ประชาชนจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์จรจัดในรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดพบเชื้อ หากถูกสุนัขหรือแมวกัด ข่วน หรือสัมผัสสัตว์ต้องสงสัย ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด และรีบพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์พบสัตว์ป่วยติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จะต้องมีการกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราว โดยทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ ควบคุมบริเวณ แยกออกจากสัตว์อื่น ทำความสะอาด และทำลายเชื้อโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558​ไม่เพียงแค่สุนัขเท่านั้น หากเราถูกแมว ม้า ลิง วัว ควาย หนู กระรอก กระแต กัดหรือข่วน ควรรีบทำความสะอาด และพบแพทย์เพื่อประเมินหากต้องฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะสัตว์เหล่านี้มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน​ถึงแม้โรคพิษสุนัขบ้าจะมีวัคซีนป้องกัน แต่จากข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า (Thai Rabies Net) แสดงให้เห็นว่า โรคพิษสุนัขบ้ายังคงพบได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย​ 10 อันดับพื้นที่เกิดโรคพิษสุนัขบ้าสูงสุด 30 วันย้อนหลัง (ตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2568 - 10 กันยายน 2568)​ อีกทั้ง ฐานข้อมูลเพื่อการขึ้นทะเบียนสุนัขและแมวของศูนย์บัญชาการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากการสำรวจโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2562 รอบที่ 1 แสดงให้เห็นจำนวนสุนัขที่ไม่มีเจ้าของมีอยู่ราวๆ 109,123 ตัว คิดเป็นร้อยละ 5.0 ของสุนัขทั้งหมด 2,173,999 ตัว และจำนวนแมวที่ไม่มีเจ้าของอยู่ที่ 55,021 ตัว คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของแมวทั้งหมด 854,256 ตัว แสดงให้เห็นว่า ยังมีสัตว์จรอีกมากที่ขาดการดูแล และเสี่ยงต่อการติดเชื้อกลายเป็นพาหะของโรคติดต่ออีกมาก แต่หากมีมาตรการควบคุมและป้องกันที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคน คาดว่าจะสามารถแก้ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างแน่นอน​ ฐานข้อมูลสรุปจำนวนสุนัขและแมวที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ​ สิ่งที่คนรักสัตวต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตนเอง ต้องไม่เข้าใกล้สัตว์จรที่มีท่าทางหวาดระแวง หวาดกลัว ดุร้าย หรือป่วย และแสดงความรักความเอ็นดูสัตว์เลี้ยงด้วยความไม่ประมาท​ส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ควรเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยงของตน เพื่อป้องกันการพลาดพลั้งโดนสัตว์เลี้ยงกัดหรือข่วนโดยไม่ตั้งใจ หากปล่อยสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้านโดยไม่ระวัง อาจโดนสัตว์จรตัวอื่นทำร้าย ทีี่สำคัญคือควรรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ พาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์รับการตรวจสุขภาพและรับการฉีดวัคซีนเป็นประจำ ​หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าบ้านเรามี "พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535" ระบุให้เจ้าของและผู้ครอบครองต้องจัดการให้สุนัขและแมวทุกตัวได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในกรณีของสุนัขและแมวต้องได้รับการฉีดวัคซีนครั้งแรกเมื่อมีอายุ 2 เดือนขึ้นไป แต่ต้องไม่เกิน 4 เดือน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษตามกฎหมาย​ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องทำการถ่ายพยาธิตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์แนะนำ ปรับพฤติกรรมให้เคยชินกับล้างมือทุกครั้งภายหลังจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง ทั้งการเล่น การทำความสะอาดร่างกาย หรือเก็บมูลของเสียของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร และควรขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงกับหน่วยงานราชการท้องถิ่น หรือคลินิคสัตวแพทย์ที่ได้รับอนุญาต เพื่อความปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ​นอกจากนี้ ผู้ที่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องทำการจดทะเบียนสัตว์เลี้ยง และฝังไมโครชิปเป็นสิ่งที่จำเป็นตามกฎหมาย "ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567" ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2569 กำหนดให้เจ้าของสุนัขและแมว ต้องนำสัตว์ไปฝังไมโครชิป จดทะเบียนและออกบัตรประจำตัวสุนัขและแมวภายใน 120 วันนับแต่วันที่สัตว์เกิด หรือภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่นำสัตว์มาเลี้ยงในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดปัญหาปริมาณสัตว์จรจัด และส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงสัตว์มีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง​การรักสัตว์ ต้องรักอย่างถูกวิธี และมีความรับผิดชอบ​วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก 28 กันยายนนี้ จึงอยากให้ทุกคนตระหนัก และป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้แนวคิด “อย่ารอช้า! รวมพลังหยุดยั้งพิษสุนัขบ้า” เพื่อความปลอดภัยของทุกคน​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567​คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล: Zoonoses โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (https://www.si.mahidol.ac.th/metc/met/th/zoo/index.html)​พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535. (2535, 12 กุมภาพันธ์). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 109 ตอนที่ 9. หน้า 24.​พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558. (2558, 2 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 132 ตอนที่ 14 ก. หน้า 22-41.​ระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า (http://www.thairabies.net/trn/)​

1290 viewer

ลดคาร์บอนจากรถยนต์ ลดการใช้รถกันเถอะ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ปี 2024 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ทั่วโลกทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 41.6 พันล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 40.6 พันล้านเมตริกตัน​แน่นอนว่า แหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ มาจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคพลังงาน (Energy sector) ภาคอุตสาหกรรม (Industry sector) ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Agriculture, forestry and land use sector) รวมไปถึงภาคขนส่ง (Transportation sector) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจในเชิงโลจิสติกส์ และการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน ที่ยังคงต้องใช้รถยนต์ หรือยานพาหนะต่างๆ ในการเดินทาง ​เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคส่วนอื่นๆ แล้ว ภาคการขนส่งจะอยู่ที่อันดับที่ 4 คิดเป็น 15% รองจากอันดับที่ 1 ภาคพลังงาน 34%, อันดับที่ 2 ภาคอุตสาหกรรม 24% และอันดับที่ 3 ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน 22%  ​หลายๆ คนอาจคิดว่า การเดินทางด้วยรถยนต์คงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย เมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่นๆ แต่...จริงๆ แล้วเกือบ 50% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาจากรถยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงรถตู้ ซึ่งเรามักคิดว่าสภาวะโลกร้อนมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตใหญ่ๆ ในประเทศใหญ่ๆ เท่านั้น จนลืมไปว่า เรานี่แหละ!! ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่ที่เราสตาร์ทรถออกไปทำงาน ซื้อกับข้าว หรือช้อปปิ้ง​วันที่ 22 กันยายน เป็นวัน Car Free Day หรือวันปลอดรถยนต์โลก เรามาลองใช้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการลดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อโลก และสุขภาพของเรา จากการลดโอกาสที่เราสูดดมมลพิษเข้าสู่ปอด​ในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้เช่นกัน ด้วยการออกแบบผังรวมของโครงการ (Master Plan) ด้วยกลยุทธ์การออกแบบที่ช่วยลดการใช้รถยนต์ สร้างความรู้สึกให้คนอยากเดินได้ อย่างโครงการ The Forestias ได้ออกแบบให้มีพื้นที่ทางเดินในโครงการมากขึ้น ร่มรื่นน่าเดิน รวมทั้งยังลดพื้นที่ถนนให้เหลือที่จำเป็น เพื่อให้การใช้รถยนต์ลดลงอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.undp.org/thailand/stories/climate-agriculture-ghg​https://ourworldindata.org/travel-carbon-footprint​https://www.statista.com/chart/30890/estimated-share-of-co2-emissions-in-the-transportation-sector/​

936 viewer

เย็นสบายไม่ทำลายโลก กับสารทำความเย็นยุคใหม่

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ สารทำความเย็น HFOs ชนิดใหม่.....เป็นมิตรกับโลกยิ่งกว่าเดิม !!​เราอาจไม่คาดคิดว่า เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะมีผลกระทบกับชั้นโอโซนโดยตรง นั่นก็เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้สารทำความเย็น ซึ่งหากเลือกผิด ก็อาจกลายเป็นตัวการทำลายชั้นโอโซนได้​ในอดีต สารทำความเย็นกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ถูกใช้อย่างแพร่หลาย เพราะทำความเย็นได้ดี ไม่ติดไฟ และไม่มีพิษ แต่...CFCs มีความคงทนสูง สามารถลอยสะสมอยู่ในบรรยากาศได้นานหลายสิบปี และเมื่อโดนรังสี UV จะแตกตัวแล้วปล่อยอนุมูลอิสระของคลอรีนไปทำลายโมเลกุลของโอโซนโดยตรง ทำให้โอโซนสลายตัวกลายเป็นออกซิเจน ส่งผลให้เกิดรูโหว่โอโซน จนนำมาสู่การเกิดภาวะโลกร้อนในที่สุด​เมื่อโลกได้รับผลกระทบ จึงทำให้ต้องยุติการใช้ CFCs แล้วเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) แทน ซึ่งทำลายโอโซนได้น้อยกว่า แต่ก็ยังคงส่งผลต่อการเกิดภาวะโลกร้อนอยู่ดี ทำให้หลายประเทศกำลังทยอยเลิกใช้งาน รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน​ปัจจุบันมีการพัฒนาสารทำความเย็นชนิดใหม่ที่เป็นมิตรกับโลกมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ​• ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ไม่ทำลายโอโซน (ODP =0) แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอยู่ (GWP = 1,000-10,000)​• ไฮโดรฟลูออโรโอเลฟิน (HFOs) ไม่ทำลายชั้นโอโซน (ODP =0) และไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน (GWP = 1-10)​ทุกครั้งที่เราเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศหรือตู้เย็น ควรตรวจสอบว่าสารทำความเย็นที่ใช้มีค่า ODP = 0 และ GWP ต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่า สารทำความเย็นที่ใช้ไม่ทำลายชั้นโอโซน และช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย​16 กันยายน วันโอโซนโลก (World Ozone Day) เป็นวันที่ช่วยย้ำเตือนถึงความสำคัญของชั้นโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (stratosphere) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันโลก คอยดูดซับรังสี อัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะรังสี UVB และ UVC ที่มีพลังงานสูง และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต หากไม่มีชั้นโอโซนช่วยดูดซับรังสีดังกล่าวนี้ มนุษย์จะเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ต้อกระจก ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง การเจริญเติบโตของพืชลดลง และยังทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้น​โครงการ The Forestias เป็นอีกหนึ่งโครงการตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาใช้จริง โดยเลือกใช้สารทำความเย็นรุ่นใหม่อย่าง HFO R1234ze มาใช้ในระบบทำความเย็นภายในอาคาร ซึ่งมีค่า ODP = 0 (ไม่ทำลายโอโซน) และ GWP <1 (เกือบไม่ก่อภาวะโลกร้อน) ถือเป็นหนึ่งในสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ช่วยให้ The Forestias ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 43,869 tCO₂e ต่อปี เมื่อเทียบกับการใช้สารทำความเย็นกลุ่ม HFCs นับว่าเป็นก้าวสำคัญของการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อโลก และปลอดภัยต่ออนาคตของทุกชีวิต​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material

1034 viewer