RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

สนามออกกำลังกายผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เล่นสนุก แต่ยังเพิ่มความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

โดย RISC | 1 วันที่แล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเล็กน้อยในแต่ละวันอาจส่งผลต่อร่างกายได้​แท้จริงแล้ว “การออกกำลังกาย” ที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีอิสระในชีวิตประจำวัน​​RISC ขอแบ่งปันงานวิจัย "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" ช่วยลดการหกล้มที่เห็นผลชัดเจนผ่านงานวิจัย และได้นำสนามออกกำลังกายรุ่นที่ผ่านงานวิจัยนั้นมาติดตั้งจริงในโครงการของ The Forestias และ The Aspen Tree ​​สนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยจึงจำเป็นอย่างมากเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งสนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยต้องออกแบบมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (Physical Activity) อย่างรอบด้านทั้ง 4 รูปแบบ...​◾️ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่ให้แรงต้านต่อมัดกล้ามเนื้อโดยอาศัยน้ำหนักตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงล่างและช่วงบน ซึ่งสำคัญต่อการลุก เดิน หรือยืน​◾️ การฝึกการทรงตัวและป้องกันการหกล้ม (Balance Exercises) เป็นการฝึกการทรงตัว ควบคุมร่างกายให้มีความสมดุลทั้งในขณะอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว โดยมีอุปกรณ์ที่ท้าทายการทรงตัว เช่น แผ่นสั่น แท่นก้าว เดินบนพื้นต่างระดับ หรือราวจับเดินทรงตัว ช่วยให้ผู้สูงวัยฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การประสานการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย (Coordination & Function Exercises) เป็นการพัฒนาความสามารถในการประสานงานระหว่างมือ ตา เท้า และส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การหันตัว การลุกยืน ให้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ดี  เป็นจังหวะขั้นตอน และลำดับอย่างสัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การส่งเสริมการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่น (Movement & Flexibility Exercises) เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่อ ช่วยให้ร่างกายมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็งแรง เพื่อส่งเสริมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ให้เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจขึ้นในชีวิตประจำวัน​​Dr. Pazit Levinger ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการออกกำลังกายและการป้องกันการหกล้มในผู้สูงวัย และนักวิจัยอาวุโสที่ National Ageing Research Institute (NARI) ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาและวิจัย Seniors Exercise Park หรือ "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจ ผ่านโครงการ ENJOY Project (Exercise intervention outdoor project in the community)​​ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่า Seniors Exercise Park สามารถ...​◾️ ลดความเสี่ยงในการหกล้ม (จำนวนผู้หกล้มและความถี่การหกล้ม) ของผู้สูงวัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ และติดตามผลรวม 12 เดือน โดยสัดส่วนการหกล้ม (อย่างน้อย 1 ครั้ง) ภายใน 12 เดือน จากเดิม 51.8% เหลือ 31.4% และจำนวนการหกล้มของอาสาสมัครทั้งหมด จากเดิม 42 ครั้ง เหลือเพียง 29 ครั้ง​◾️ เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รวมทั้งการทรงตัวของผู้สูงวัย เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 18 สัปดาห์ พบว่าสามารถเพิ่มความสามารถในการทรงตัว เมื่อยืนด้วยขาข้างเดียว ความแข็งแรงของหัวเข่า ระยะทางเมื่อเดินในเวลา 2 นาที และลุกขึ้นนั่งได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงวัย และมีความปลอดภัยขณะฝึก​◾️ ผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อมใน Residential Care สามารถใช้ได้ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ สามารถเดินได้ระยะทางมากขึ้น และเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยไม่เกิดการหกล้ม นอกจากนี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเพลินเพลิน สนุก และอารมณ์ดีขึ้นตลอดการฝึก ทั้งยังลดภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) ได้เป็นอย่างมากจากผลงานวิจัย เราจะเห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้มีการปรับปรุงสวนสาธารณะ Senior Exercise Park จำนวน 24 แห่ง (ปี 2022) หลายแห่งรัฐ Melbourne และ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ให้กลายเป็นพื้นที่กลางแจ้งที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และยังมีการใช้โปรแกรมการออกกำลังกาย Senior Exercise Park นี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มกิจกรรมทางสังคม ให้ผู้สูงวัยสามารถออกกำลังกายเป็นกลุ่ม เกิดการพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้ช่วยลดความโดดเดี่ยวและอยากออกจากบ้านไปทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง​​เช่นเดียวกับที่ The Forestias by MQDC ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้นำงานวิจัยมาพัฒนา และติดตั้งสนามออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัยไว้ถึง 2 จุด ทั้งบริเวณส่วนกลาง Happy Lawn และในโครงการ The Aspen Tree เพื่อให้ผู้สูงวัยได้ออกกำลังกาย และใช้เวลาทำกิจกรรมทางสังคมมากขึ้นเนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material อ้างอิงข้อมูลจาก​Pazit Levinger and etc, 2020. Guidance about age-friendly outdoor exercise equipment and associated strategies to maximise usability for older people. Health Promot J Austral. 2021;32:475–482.​Pazit Levinger et al. The Effect of the ENJOY Seniors Exercise Park Physical Activity Program on Falls in Older People in the Community: A Prospective Pre-Post Study Design. The journal of nutrition, health & aging, (2022) 26: 217–221 ​Pazit Levinger et al. Outdoor physical activity for older people-the senior exercise park: Current research, challenges and future directions. Health promotion journal of Australia, (2018) 1-7.​Levinger et al. Exercise interveNtion outdoor proJect in the cOmmunitY - results from the ENJOY program for independence in dementia: a feasibility pilot randomised controlled trial. BMC Geriatr. 2023 Jul 12;23(1):426.​

63 viewer

“พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics) เปลี่ยนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่​

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ขยะพลาสติกยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญ แม้เราจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลพลาสติกทั่วไป แต่ยังมีพลาสติกอีกประเภทหนึ่งที่ซับซ้อนและจัดการได้ยากกว่ามาก​โดยทั่วไป เรามักจะคุ้นเคยกับการรีไซเคิลขวดน้ำดื่ม กล่องอาหาร ภาชนะพลาสติก หรือถุงพลาสติก ซึ่งเป็นพลาสติกประเภท “เทอร์โมพลาสติก” (Thermoplastics) ที่สามารถหลอมละลายและขึ้นรูปใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน แต่วันนี้ เราจะมาพูดถึงพลาสติกอีกชนิดที่กำลังเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม นั่นก็คือ “พลาสติกเทอร์โมเซต” (Thermosetting plastics)​พลาสติกเทอร์โมเซต เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อสารเคมี และเมื่อโดนความร้อนแล้วจะไม่อ่อนตัว ไม่สามารถหลอมและนำไปขึ้นรูปใหม่ได้ แต่จะแข็งตัวและไหม้ไปเลย จึงเหมาะกับการใช้งานในสภาพที่หนักหน่วง อย่างเช่น ยางรถยนต์ โฟมพอลิยูรีเทนที่ใช้ทำโซฟา เบาะรถยนต์ พื้นรองเท้า กาว สารเคลือบจากอีพอกซีเรซิน หรือจานชามเมลามีน อย่างไรก็ตาม จากความแข็งแรงทนทานนี้ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตรีไซเคิลได้ยาก ส่งผลให้ขยะพลาสติกเทอร์โมเซตจำนวนมากต้องถูกกำจัดด้วยการฝังกลบหรือเผาทำลาย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​แล้วเราจะจัดการกับพลาสติกเทอร์โมเซตได้อย่างไร?​“Vitrimerization” คือ กระบวนการที่ทำให้พลาสติกเทอร์โมเซตให้กลายเป็นพลาสติกที่มีโครงสร้างไดนามิก สามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้ ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Transesterification" เมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม ทำให้พลาสติกที่ผ่านกระบวนการ Vitrimerization มีคุณสมบัติที่ผสานระหว่างเทอร์โมพลาสติก และพลาสติกเทอร์โมเซต หรือก็คือ สามารถหลอม และขึ้นรูปใหม่ได้ แต่ยังคงโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาวะการใช้งานต่างๆ ทั้งความร้อน แสงแดด และสารเคมี อีกทั้งยังมีคุณบัติในการซ่อมแซมตัวเอง (Self-Healing) เนื่องจากพันธะสามารถแตกตัว และเชื่อมโยงใหม่เมื่อได้รับความร้อนในสภาวะที่เหมาะสม ทำให้สามารถขึ้นรูปใหม่ เปลี่ยนรูปร่าง หรือซ่อมแซมตัวเองได้หลายครั้ง (3-5 ครั้ง) โดยไม่สูญเสียสมบัติเชิงกล กระบวนการนี้จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้​ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การจัดการพื้นรองเท้ากีฬา รองเท้าวิ่ง ซึ่งทำมาจากโฟมเอทิลีนไวนิลอะซีเตท (EVA) ที่ถูกเชื่อมขวางโมเลกุล (Crosslink) ทำให้โฟมมีความยืดหยุ่นสูง รับแรงกระแทกได้ดี ทนทาน และไม่ยุบตัว จากงานวิจัยพบว่า EVA Thermoset สามารถเปลี่ยนเป็น EVA Vitrimer ได้ โดยการนำเศษ EVA มาบดย่อยให้มีขนาดเล็กในระดับไมครอน (< 200 µm) ผสมร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น ซิงค์อะซีเตท (Zn acetate) และวัสดุที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) เช่น โพลีไวนิลแอลกอฮอล์ (PVOH) เมื่อนำของผสมดังกล่าวอัดขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงจะเกิดปฏิกิริยา Transesterification ทำให้พันธะเชื่อมขวางบางส่วนเปลี่ยนเป็นพันธะแบบไดนามิก เมื่อทำการอัดขึ้นรูปใหม่อีกครั้งพบว่า สามารถขึ้นรูปได้โดยไม่ต้องเติมสารเคมีเพิ่ม และยังคงสมบัติเดิม ไม่เสื่อมสภาพเหมือนกับการรีไซเคิลเชิงกล จะเห็นได้ว่าพันธะไดนามิกที่เกิดขึ้นสามารถแตกสลายและเชื่อมต่อใหม่ได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกเทอร์โมเซตที่รีไซเคิลได้ยาก ให้กลับมารีไซเคิลได้ ทั้งยังเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ และมูลค่าสูง​อย่างไรก็ตาม กระบวนการ Vitrimerization ยังมีข้อจำกัดในการบดย่อยขยะพลาสติกเทอร์โมเซตให้มีขนาดเล็กระดับไมครอน โดยเฉพาะวัสดุกลุ่มยางที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูง ซึ่งการบดย่อยที่อุณหภูมิห้องทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องทำให้ยางอยู่ในสถานะคล้ายแก้วที่มีความแข็ง และเปราะ เพื่อให้ง่ายต่อการบดย่อย กระบวนการนี้จะต้องใช้ความเย็นสูงเพื่อบดย่อยที่อุณหภูมิติดลบ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อไปจะเปิดโอกาสให้สามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกเทอร์โมเซตได้ในอนาคต เช่น การรีไซเคิลแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กังหันลม ชิ้นส่วนยานยนต์ ยานอวกาศ ฉนวนในแผงโซล่าเซลล์ นับเป็นการช่วยลดปริมาณขยะอุตสาหกรรม และขยะพิษ และช่วยให้การจัดการซากผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปอย่างยั่งยืนมากขึ้น​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Amin Jamei Oskouei et, al. 2024. Vitrimerization of crosslinked poly(ethylene-vinyl acetate): the effect of catalysts. RSC Appl. Polym., 2024, 2, 905. ​Alireza Bandegi et, al. 2023. Vitrimerization of crosslinked elastomers: a mechanochemical approach for recycling thermoset polymers. Mater. Adv., 2023, 4, 2648–2658.​

163 viewer

หน้าฝนแล้ว พร้อมรับมือแล้วรึยัง?

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

ตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลายจังหวะก็มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง​ แล้วมีใครสงสัยไหม? ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนได้โดยใช้หลักเกณฑ์อะไร​ กรมอุตุนิยมวิทยา จะประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่​ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และฝนตกต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศทางเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามัน เข้ามาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง​ ลมชั้นบนที่ระดับความสูงประมาณ 10 กิโลเมตร เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก​ โดยปริมาณฝนจะมีปริมาณมากหรือน้อย น้ำจะท่วมหรือฝนทิ้งช่วงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า แต่ในช่วงนี้โลกกำลังอยู่ในสภาวะเป็นกลางจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ – ลานีญ่า ทำให้ปริมาณฝนโดยรวมในบ้านเราในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และฝนมีแนวโน้มการกระจายตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนที่มาพร้อมความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุจะยังคงอยู่กับเราไปจนถึงเดือนตุลาคม โดยในเดือนสิงหาคม และกันยายนจะมีฝนตกชุกหนาแน่น ​ สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปจนหมดฤดูฝนของเรา คือการเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ไม่ลืมพกร่มทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน สวมใส่รองเท้าที่กันลื่น หลีกเลี่ยงสภานที่แออัดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคที่มากับฤดูฝนได้ง่าย และอย่างลืมตรวจเช็คยานพาหนะให้สมบูรณ์ พร้อมต่อการขับขี่ในฤดูฝนอย่างปลอดภัย แล้วเราจะแข็งแรง และปลอดภัยจนหมดฤดูฝนไปด้วยกัน​ เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​

241 viewer

ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

RISC ร่วมแสดงผลงานนิทรรศการโครงการ “ถักทอ สืบสาน สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ” Interlacing Intertwining Coalescing through Contemporary Art for Biodiversity  ในงานอีสานโชว์พ(ร)าว เทศกาลอีสานสร้างสรรค์ 2568 (ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025)​ โดยนิทรรศการนี้นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ถักทอจากเส้นใย Upcycled จากขยะพลาสติกมาสรรค์สร้างเป็นผืนภาพด้วยการถักทอ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ แนวคิดการออกแบบผลงานศิลปะถักทอในรูปแบบพรมนี้จึงผสมผสานภาพสัตว์สงวนที่สามารถพบได้ในแต่ละภูมิภาคเข้ากับลายผ้าพื้นเมืองประจำภาคนั้นๆ ในประเทศไทย เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์​ ISAN CREATIVE FESTIVAL 2025​28 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร TCDC ขอนแก่น ชั้น 2​ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.isancreativefestival.com/isancf2025​Line: @isancf​Facebook: isancreativefestival​Instagram: @isancreativefestival

331 viewer

รู้หรือไม่? ​เปลือกทุเรียนทำวัสดุก่อสร้างและพลาสติกได้​

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ทุเรียน 1 กิโลกรัม จะประกอบไปด้วยเปลือกถึง 0.585 กิโลกรัม​เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี ผลไม้ที่หลายคนต่างเฝ้ารอคงหนีไม่พ้น “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ ซึ่งทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย โดยข้อมูลจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 164,787 ล้านบาท และมีการบริโภคภายในประเทศเฉลี่ย 400,000 ตัน/ปี ด้วยความนิยมในการบริโภคทุเรียน แต่กลับส่งผลให้เกิดปัญหาขยะจากเปลือกทุเรียน ทำให้มีขยะเปลือกทุเรียนเกิดขึ้นประมาณ 240,200 ตัน/ปี หากจัดการกับขยะเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว​โดยทั่วไป การกำจัดเปลือกทุเรียนมักจะใช้ฝังกลบและการเผา ซึ่งทั้งสองวิธีต่างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝังกลบมีการปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายของเปลือกทุเรียน ในขณะที่การเผาก็ปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และคุณภาพอากาศ ดังนั้นการนำเปลือกทุเรียนมาใช้ประโยชน์ต่อจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ​จากการศึกษาวิจัยพบว่า เปลือกทุเรียนสามารถนำไปหมักด้วยยีสต์ เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ โดยเปลือกทุเรียนหมักที่ได้จะมีปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง เนื้อสัมผัสไม่เละ และไม่มีสารอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการหมัก ทำให้สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการเจริญเติบโตของสัตว์​เปลือกทุเรียน ยังพัฒนาให้เป็นฉนวนกันความร้อนจากเส้นใยได้อีกด้วย โดยการสกัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินออกจากเส้นใยเปลือกทุเรียน จากนั้นนำไปผสมกับกาว เช่น น้ำยางธรรมชาติ และขึ้นรูปเป็นแผ่น ฉนวนที่ได้จะมีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนต่ำ สามารถใช้เป็นวัสดุกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดในด้านการดูดซึมน้ำสูง และลามไฟได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียน เพื่อใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเส้นใยทุเรียนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับสารละลายแอมโมเนียหรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ได้ดี และทำให้โฟมมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น​เปลือกทุเรียน สามารถนำมาแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ที่มีชื่อว่า คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (CMC) เนื่องจากเปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักถึง 54% สูงกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เช่น ชานอ้อย ฟางข้าว กาบมะพร้าว ซึ่งมีเซลลูโลส 41%, 38% และ 36% ตามลำดับ การสกัดเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนเพื่อนำไปผลิต CMC จึงมีความเป็นไปได้​กระบวนการผลิต CMC จากเส้นใยทุเรียนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ...​- การเตรียมเซลลูโลสจากเส้นใยเปลือกทุเรียน โดยขั้นตอนนี้จะเป็นกำจัดเฮมิเซลลูโลส และลิกนินด้วยสารละลายด่างเข้มข้น เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และการฟอกขาวเพื่อกำจัดสี ​- การทำอัลคาไลเซชัน (Alkalization) โดยการแช่เซลลูโลสในสารละลายด่างเข้มข้นร่วมกับตัวทำละลายอินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น NaOH/isopropyl alcohol เพื่อให้สารละลายด่างซึมเข้าเส้นใย​- การทำปฏิกิริยาอีเทอริฟิเคชัน (Etherification) โดยการเติมกรดโมโนคลอโรอะซีติก (MCA) เพื่อเข้าทำปฏิกิริยากับเซลลูโลส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (Na-CMC) และเกลือแกง (NaCl) เป็นผลพลอยได้​โดย CMC ที่ได้จากเส้นใยเปลือกทุเรียนมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ CMC ทางการค้า สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 ชั่วโมง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะกับการนำไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นสารเคลือบผิวผลไม้ เพื่อชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ​การเปลี่ยนเปลือกทุเรียนให้เป็นวัสดุที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งจากเกษตรกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง โดยเฉพาะการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต CMC ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืด (Thickener) และสารช่วยรักษาความคงตัว (Stabilizer) ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอางค์ และการเกษตร ฟิล์มชีวภาพและบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ นอกจากช่วยลดการพึ่งพาวัสดุที่ผลิตจากปิโตรเลียม ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรม ยังตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในปัจจุบันอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. สถิติผลผลิตทุเรียน : https://regional.moc.go.th/th/file/get/file/202407013a6133c1bd218dfc40828623c88c6fea161400.pdf​ซารีนา สือแม. 2564. การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ​ปานใจ สื่อประเสริฐสิทธิ์ และคณะ. 2563. ความเป็นไปได้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกทุเรียน. Vol 39. No 6, November-December 2020.​กชกร จิตรีธาตุ. 2566. การพัฒนาและตรวจสอบโฟม PLA/PBS/เส้นใยเปลือกทุเรียนสำหรับประยุกต์ใช้เป็นวัสดุรองนอนสำหรับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการ. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​Ruengdechawiwat, S., Sanawong , P., & Boonmee, S. . (2024). Application of carboxymethyl cellulose from durian rind for maintaining the quality of mango fruits (MANGIFERA INDICA LINN.) CV. NAMDOKMAI SRI TONG. Life Sciences and Environment Journal, 25(1), 166–176.​

261 viewer

บ้านแบบไหน...ที่ทำให้เราเป็นภูมิแพ้?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หน้าฝนแบบนี้ “บ้าน” ควรเป็นที่พักใจ ไม่ใช่แหล่งสะสมภูมิแพ้​ปัจจุบันเราใช้เวลากว่า 90% ของชีวิตอยู่ในอาคาร โดยเฉพาะในบ้านพักอาศัย ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจ แต่...บางครั้ง "บ้าน" กลับกลายเป็นแหล่งสะสมของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา และสารระเหย VOC โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง อากาศปิด และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค​“โรคภูมิแพ้” กลายเป็นโรคประจำบ้านของคนไทยไปแล้ว โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งคนกลุ่มนี้มักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากกว่ากลุ่มวัยทำงาน ซึ่งความน่ากังวลก็คือ หลายครั้งเราไม่รู้ว่าอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจาก “บ้านของเราเอง”​อาการภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงวัย และผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงกว่า 60%RH ติดต่อกันหลายวัน สามารถเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว​แล้วอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ภายในบ้าน​​จากการศึกษาพบว่า​▪️ ไรฝุ่น (Dust mites): มากกว่า 80% ของบ้านในเขตเมืองมีไรฝุ่นในระดับสูงกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะบนที่นอน พรม และโซฟา​▪️ เชื้อรา (Mold): เชื้อราในบ้านมักเกิดจากความชื้นสะสม เช่น ใต้อ่างล้างมือ ห้องน้ำ หรือผนังที่รั่วซึม พบว่า เชื้อราในบ้านเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของการเกิดโรคหืด และภูมิแพ้ในเด็กอย่างมีนัยสำคัญ​▪️ ขนสัตว์และโปรตีนจากสัตว์เลี้ยง (Pet Dander): สารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงไม่ได้มาจากขนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโปรตีนในน้ำลาย สะเก็ดผิวหนัง หรือปัสสาวะของสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง และเกาะติดตามเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้า กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้แม้จะไม่ได้ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นบนเตียงหรือโซฟา​▪️ มลพิษในอาคาร (Indoor Air Pollution): อากาศภายในบ้านสามารถมีมลพิษสูงกว่าภายนอก 2–5 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปิดทึบ และไม่มีการระบายอากาศที่ดี​▪️ สารระเหยอินทรีย์ (VOCs) จากวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์: วัสดุก่อสร้างบางชนิด สีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัด หรือพรม อาจปล่อยสารระเหยอินทรีย์ (Volatile Organic Compounds - VOCs) เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ออกมาในอากาศ สารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การระบายอากาศที่ไม่ดีในช่วงหน้าฝนอาจทำให้สารเหล่านี้สะสมในบ้านมากขึ้น​เมื่อเราทราบถึงปัจจัยที่ทำให้เป็นภูมิแพ้ ก็ถึงเวลาที่เราจะลดปัจจัยเหล่านี้กัน ด้วยการ...​▪️ การจัดการไรฝุ่น: ไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในบ้าน โดยเฉพาะบนเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์บุผ้า การจัดการไรฝุ่นอย่างถูกวิธีจะช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้อย่างมาก​        ▪️ การทำความสะอาดเครื่องนอน ควรซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิอย่างน้อย 50-60 องศาเซลเซียส เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อฆ่าไรฝุ่นและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกไป การใช้ผ้าคลุมที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น ซึ่งทอด้วยเส้นใยที่แน่นหนาจนไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่านทะลุได้ ก็เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น​        ▪️ การดูดฝุ่น ควรดูดฝุ่นที่นอน หมอน พรม และโซฟาผ้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แนะนำให้เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA filter) ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กอย่างมูลไรฝุ่นได้ดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป รวมทั้งการใช้เครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีระบบสั่นสะเทือนและแสง UV เพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่นบนที่นอนและโซฟาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น​▪️ การเพิ่มระบบระบายอากาศเพื่อลดความอับชื้นในบ้าน: อากาศในบ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนมักจะหมุนเวียนช้า การปิดหน้าต่างเพื่อกันฝน กลายเป็นกับดักให้มลพิษในอากาศภายในสะสม เช่น สารระเหย VOC จากสีทาภายในและเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ และเชื้อรา ดังนั้นการออกแบบบ้านที่มีอัตราการหมุนเวียนอากาศ ร่วมกับการใช้แผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) ช่วยลดความเข้มข้นของมลพิษที่สะสมภายในบ้านได้ และลดอาการภูมิแพ้ในผู้อยู่อาศัย โดย...​        ▪️ เพิ่มการระบายอากาศแบบธรรมชาติ (Passive Ventilation) ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้าต่างให้ลมผ่านได้ เช่น Cross-Ventilation หรือการเปิดหน้าต่างระบายอากาศในบ้าน เมื่ออากาศภายนอกอาคารมีคุณภาพอากาศดี โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องครัว​        ▪️ ติดตั้งระบบเครื่องกล โดยเฉพาะพื้นที่ใช้งานหลักอย่างห้องนอน หรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบเครื่องกลเพื่อช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศ เช่น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ, การติดตั้งระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh Air), ระบบ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation เป็นต้น รวมทั้งใช้เครื่องกรองอากาศที่มีไส้กรอง HEPA และ Activated Carbon Filter และควรหมั่นทำความสะอาดระบบระบายอากาศ และระบบเครื่องกลที่ติดตั้ง เช่น ล้างแอร์เป็นประจำ ทุก 6 เดือน รวมทั้งทำความสะอาด เปลี่ยนไส้กรองระบบ ERV และเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น​        ▪️ ติดตั้งเซนเซอร์ หรือใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ใช้งานประจำ เช่น เซนเซอร์อุณหภูมิ, ความชื้น CO2, PM2.5, VOC เป็นต้น​▪️ ควบคุมความชื้นในบ้าน: ช่วงฝนตกทำให้ระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบ้านสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อรา และไรฝุ่นเติบโต และหากความชื้นสูงกว่า 60% ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเติบโตของเชื้อรา และไรฝุ่นมากขึ้น ซึ่งการควบคุมความชื้นนั้นทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อลดความชื้น โดยออกแบบช่องระบายอากาศในห้องอับ เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ควรมีพัดลมระบายอากาศ หรือช่องลมถ่ายเทอากาศ และเลือกวัสดุที่ไม่อุ้มน้ำ และไม่สะสมความชื้น ​        ▪️ การปรับพฤติกรรมในบ้าน ด้วยการตรวจสอบเชื้อราใต้อ่างล้างหน้า ผนังห้องน้ำ ใต้พื้น และควรเปิดพัดลมช่วยไล่ความชื้นหลังล้างห้องน้ำ ส่วนการปรับแอร์ให้ใช้โหมดควบคุมความชื้น (Dry Mode) ในบางช่วงเวลาที่มีความชื้นสูง​        ▪️ การใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ให้เลือกขนาดตามพื้นที่ เช่น 20–50 ลิตร/วัน สำหรับห้องขนาด 20–40 ตร.ม. และตั้งค่าความชื้นที่ 45–55%​▪️ การออกแบบและเลือกวัสดุที่ไม่ก่อภูมิแพ้: วัสดุตกแต่งภายในที่มีพื้นผิวอุ้มน้ำ อมฝุ่น มักเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น สปอร์เชื้อรา รวมทั้งสารระเหยจากวัสดุก่อสร้าง สี เฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ และเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้ได้ ซึ่งสามารถทำได้โดย...​        ▪️ การออกแบบเพื่อทำความสะอาดง่าย ด้วยการออกแบบให้ไม่มีมุมอับที่ทำความสะอาดยาก ใช้พื้นผิวเรียบ ไม่สะสมฝุ่น และหลีกเลี่ยงการใช้พรมหนาแน่นในห้องนอน รวมทั้งเลือกผ้าม่านที่ซักได้ง่าย หรือใช้บานมู่ลี่แทน​        ▪️ ใช้วัสดุที่มีฉลากรับรอง โดยเลือกใช้วัสดุอาคารที่ได้รับฉลากเขียวจากไทย, GreenGuard, FloorScore รวมทั้งเลือกวัสดุที่ไม่ปล่อยสารระเหยต่างๆ วัสดุ Low-VOC หรือเลือกไม้ E1, E0​        ▪️ หลีกเลี่ยงใช้วัสดุที่ดูแลยาก ควรเลือกวัสดุ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย หลีกเลี่ยงการใช้พรม หรือผ้าม่านหนา แล้วหันมาใช้มู่ลี่ หรือม่านม้วนแทน ส่วนวัสดุปูพื้นควรเลือกแบบไม่อมฝุ่น รวมทั้งการใช้ดีไซน์แบบ Minimal เพื่อลดซอกหลืบเก็บฝุ่น​ในยุคที่ภูมิแพ้กลายเป็นโรคเรื้อรังของคนเมือง บ้านที่ดีต้องไม่ใช่แค่สวย หรือประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถดูแลสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้จริง หากเราสามารถออกแบบบ้านที่ระบายอากาศได้ดี ควบคุมความชื้น และเลือกวัสดุที่ปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภูมิแพ้ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัวได้อีกด้วย​ติดตามข้อมูลสุขภาวะอาคารเพิ่มเติมได้ที่ https://risc.in.th/knowledge​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​World Health Organization. (2010). WHO guidelines for indoor air quality: selected pollutants. WHO Regional Office for Europe.​Environmental Protection Agency (EPA). (2021). Indoor Air Quality. Retrieved from https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq​Mendell, M. J., Mirer, A. G., Cheung, K., Tong, M., & Douwes, J. (2011). Respiratory and allergic health effects of dampness, mold, and dampness-related agents: a review of the epidemiologic evidence. Environmental Health Perspectives, 119(6), 748–756. https://doi.org/10.1289/ehp.1002410​Salthammer, T., Mentese, S., & Marutzky, R. (2010). Formaldehyde in the indoor environment. Chemical Reviews, 110(4), 2536–2572.​Johns Hopkins Medicine. (2020). Allergies and Asthma. Retrieved from https://www.hopkinsmedicine.org​กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. (2564). รายงานสถานการณ์ฝุ่นและไรฝุ่นในประเทศไทย. กระทรวงสาธารณสุข.​Harvard T.H. Chan School of Public Health, Healthy Buildings: https://www.hsph.harvard.edu/healthybuildings/​WHO Guidelines for Indoor Air Quality: Dampness and Mould: https://www.euro.who.int/__data/assets/pdf_file/0017/433074/WHO-EHC-313-eng.pdf​CDC Healthy Homes Manual: https://www.cdc.gov/nceh/publications/books/housing/housing.htm​Jaakkola, J. J., et al. (2013). "Interior surface materials and asthma in school children: a case–control study." Indoor Air 23(3): 179-185.​WELL v2 Materials Concept: https://v2.wellcertified.com/en/materials​LEED v4 Low-Emitting Materials Credit: https://www.usgbc.org/node/2613953​UL GreenGuard Gold Product Guide: https://spot.ul.com​

288 viewer

คอร์ส WELL in Action: Future-Proof Your Building for Health and Resilience​

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

WELL in Action: ​Future-Proof Your Building for Health and Resilience​ Date: 27–29 August 2025​At DTGO CampUs​ราคาคอร์สละ 12,900 บาท ​รับเพียง 50 ที่เท่านั้น!!​​ชำระเงินได้ที่ บริษัท วี บีฟอร์ มี คอร์ปอเรชั่น จำกัด​​ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 133-5-47655-0 ​​​ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่RISC mail: risc_admin@dtgo.com, ​RISC Line ID: risc_center, ​RISC direct call: 063-902-9346​-------------------------------------------------------- วันที่ 1:​Morning Session​ - บทนำสู่มาตรฐาน WELL​: อธิบายภาพรวมของ WELL Building Standard ครอบคลุมที่มา วัตถุประสงค์ โครงสร้างของมาตรฐาน และแนวคิดหลักด้านสุขภาวะในอาคาร​- แนวคิด Resilience ในบริบทของ WELL​: นำเสนอแนวทางการใช้มาตรฐาน WELL เป็นเครื่องมือสนับสนุนการออกแบบอาคารให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ​- การเรียนรู้ผ่านเหตุการณ์สถานการณ์จริง แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและน้ำท่วม ระบุข้อกำหนดภายใน WELL ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมและการป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติ​ Afternoon Session​ - แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางอากาศ​: อธิบายข้อกำหนดของ WELL ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศภายในอาคาร และลดผลกระทบจากมลพิษ​- แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับมลพิษทางน้ำและภาวะขาดแคลนน้ำ​: นำเสนอเกณฑ์การจัดการน้ำที่ปลอดภัย และระบบสำรองน้ำในภาวะวิกฤต​- แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL สำหรับการรับมือคลื่นความร้อน (Heat Wave)​: ชี้ให้เห็นข้อกำหนดของ WELL ที่ช่วยสร้างความสบาย (Thermal Comfort) ในสภาวะอุณหภูมิสูง​ วันที่ 2: ​Morning Session​ - แนวทางการประยุกต์ใช้ WELL Health-Safety Rating ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเสี่ยงการแพร่ระบาดภายในอาคาร​- การส่งเสริมสุขภาวะจิตในช่วงวิกฤตผ่านมาตรฐาน WELL​: นำเสนอข้อกำหนดที่สนับสนุนการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจของผู้ใช้อาคาร​- แนวทางการจัดการสารเคมีและวัสดุอันตรายภายใต้มาตรฐาน WELL​: อธิบายข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุและการจัดการความเสี่ยงจากสารเคมีในอาคารอย่างปลอดภัย​ Afternoon Session​ - Workshop การประยุกต์ใช้ WELL สู่บริบทจริง ผู้เรียนร่วมฝึกวางแนวทางการนำมาตรฐาน WELL ไปปรับใช้กับสถานการณ์เฉพาะผ่านการวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ​- ศึกษาดูงานโครงการ DTGO CampUs​: เยี่ยมชมอาคารสำนักงานที่นำมาตรฐาน WELL V2 ไปใช้จริง พร้อมรับฟังแนวคิดและกระบวนการออกแบบจากทีมผู้ออกแบบ​ วันที่ 3: ​Morning Session​ - การแนะนำ WELL Community Standard และ Health-Safety Rating​- อธิบายแนวคิดของ WELL ในระดับชุมชนและระบบจัดอันดับด้านความปลอดภัยภายในอาคาร พร้อมเปรียบเทียบกับ WELL V2 เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน​ Afternoon Session​ - ศึกษาดูงานโครงการ The Forestias และ The Aspen Tree​- เยี่ยมชมโครงการที่ประยุกต์ใช้แนวทาง WELL Community และแนวคิด Aging in Place พร้อมรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทำงานกับโครงการจริง​  

687 viewer

ทำไมปีนี้ไม่ร้อนเท่าปีก่อน?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

สงสัยมั้ย ว่าทำไมปีนี้เหมือนจะร้อน แต่ก็ไม่ร้อนเมื่อเทียบกับปีก่อน แล้วอยู่ๆ ฝนก็เทลงมาตั้งแต่ปลายเมษา มันเกิดอะไรขึ้น?​เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วร้อนมาก และร้อนกว่าปีนี้ เพราะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวโลกสูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม (ปี 1850 - 1900) ถึง 1.55 องศาเซลเซียส (± 0.13 องศาเซลเซียส) อ้างอิงจากรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติศาสตร์นั้นมีสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง ทั้งจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศสูงสุดในรอบ 8 แสนปี และจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง​โดยปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนั้น เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2023 และสูงสุดในช่วงต้นปี 2024 ส่งผลให้น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น อุณหภูมิโลกจึงสูงทุบสถิติ รวมไปถึงประเทศไทย เพราะในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 28.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ทุบสถิติในรอบ 74 ปี นับตั้งแต่ปี 1951 - 2024​แต่ในช่วงมิถุนายน ปี 2024 ปรากฏการณ์เอลนีโญเริ่มอ่อนกำลังลง และสิ้นสุดในช่วงปลายปี ก่อนที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเริ่มในช่วงมกราคมปีนี้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เคยสูงกว่าค่าเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย และทำให้อุณหภูมิโลกลดลงในช่วงต้นปีด้วยเช่นกัน แต่...ปรากฏการณ์ลานีญาในปีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ และสิ้นสุดลงในช่วงมีนาคมที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงสั้นๆ และทำให้ฤดูร้อนปีนี้ของเราไม่ร้อนจัด​จริงอยู่ที่ปี 2025 อุณหภูมิโลกจะลดลงจากปี 2024 แต่อย่านิ่งนอนใจ เพราะความร้อนที่ถูกสะสมในมหาสมุทรจากปี 2024 ก็ยังคงอยู่ และส่งผลให้ "อุณหภูมิโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว" การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรีบช่วยกันและดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/climate/summaryyearly​https://www.tmd.go.th/climate/El-Nino-La-Nina?show=25​https://www.cpc.ncep.noaa.gov/products/analysis_monitoring/enso_advisory/ensodisc.shtml?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/media/news/january-2025-sees-record-global-temperatures-despite-la-nina?utm_source=chatgpt.com​https://wmo.int/news/media-centre/wmo-report-documents-spiralling-weather-and-climate-impacts?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAYnJpZBExSTl4Vm85Zldwa0NZR1pnVgEeRsIDw0bfpWMgDWSE4OtG631k4VifzWwXia-mk80oEYs4t2Z6HGYAEHXXKyU_aem_6j0-pm_0CQ7VfuQ2MPMdvA#:~:text=The%20clear%20signs%20of%20human,social%20upheavals%20from%20extreme%20weather.&text=WMO's%20State%20of%20the%20Global,doubled%20since%20satellite%20measurements%20began​

408 viewer

เมื่อเข้าฤดูฝน​ พฤติกรรมสัตว์เปลี่ยนไป....อย่างไรบ้าง?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

On rainy days we often look for shelter—and many animals also seek refuge under leaves or bushes. But for some creatures it’s the time to get active.Rain doesn’t only help plants grow lush and green. Both small and large animals can also benefit. Moisture-loving creatures like frogs, toads, earthworms, snails, and some insects become more active. They move about and forage as the ground becomes damp. The moisture in the soil makes it easier for them to move and reduces the risk of losing water through their skin. Predators like small snakes also take advantage of this moment to hunt. The rainy season marks the beginning of the breeding season for many species, especially amphibians and insects. The humidity and temporary water sources provide ideal conditions for laying eggs and nurturing young.If you who want to create a nature-friendly garden, a small water feature can attract a variety of animals. Plant a diverse mix of vegetation, including low shrubs, fruit trees, and flowering plants, to create habitats and shelters for wildlife. Using organic fertilizers also helps preserve soil-dwelling creatures and supports long-term biodiversity in your garden.To keep unwanted animals away, regular garden maintenance is key. Trim overgrown bushes and grass. Routinely check and clear potential hiding spots like wood piles, stones, or old pots. This helps reduce the chance of dangerous animals taking up residence.Rain not only changes the atmosphere around us—it also reveals the quiet rhythm of life in nature. So next time it rains, take a moment to look around. You might discover something you've never seen before, just waiting for you to notice. Story by Kotchakorn Rattanama, Biodiversity Researcher, RISC

427 viewer

สีสันของดอกไม้​ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าที่เราคิด

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

“ดอกไม้” ในสายตาของใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ในธรรมชาติ พอบานแล้วก็ร่วงหล่น แต่จริงๆ แล้ว ดอกไม้กลับส่งผลต่อมนุษย์มากกว่านั้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของ “จิตใจ”​ สีสันของดอกไม้ไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามน่าดึงดูดใจต่อมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้อีกด้วย นั่นก็เพราะ สีแต่ละสีสามารถกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของเราได้ โดยผ่านกลไกการรับรู้ของสมองและระบบประสาท​ จากงานวิจัยด้านจิตวิทยาสี (Color Psychology) ชี้ให้เห็นว่า สีส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ของเราอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากกลไกการประมวลผลของสมองที่ตอบสนองต่อสีโดยอัตโนมัติ จากงานวิจัยพบว่า "สีโทนร้อน" อย่างสีแดง สีส้ม และสีเหลือง มักกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้น ความสดใส และพลัง สีเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดึงดูดสายตา และกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความหลงใหล ความมั่นใจ และความสุข นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม "ดอกกุหลาบสีแดง" จึงถูกใช้เป็น "สัญลักษณ์ของความรัก" มาอย่างยาวนาน​ ในทางตรงกันข้าม "สีโทนเย็น" อย่างสีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง รวมถึงสีขาว มักเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเยียวยา สีเหล่านี้จึงมักถูกนำมาใช้ในสภาพแวดล้อมที่ต้องการลดความตึงเครียด หรือส่งเสริมความรู้สึกปลอดภัย และเป็นมิตรนั่นเอง​ การออกแบบพื้นที่สีเขียวอย่างใส่ใจ โดยการเลือกใช้พรรณไม้ และดอกไม้หลากสีสัน สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญใน "การฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจและร่างกาย" ผ่านการออกแบบสวนภายในบ้าน สนามเด็กเล่น หรือพื้นที่สาธารณะ การออกแบบบรรยากาศด้วยสีของดอกไม้ สามารถกระตุ้นพฤติกรรมเชิงบวก สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ และเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันได้ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของสถานที่ และส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสังคมเมืองในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และแรงกดดัน การมีพื้นที่ธรรมชาติเล็กๆ ที่ประกอบด้วยพืชพรรณหลากสี จึงช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของผู้คนที่ได้ผ่านไปผ่านมาในวันนั้นให้ดีขึ้นได้​ เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​ อ้างอิงข้อมูลจาก​Li, H., Zhang, X., Zhao, M., & Guo, S. (2023). Psychological and physiological responses to flower colors: Evidence from human experiments. Urban Forestry & Urban Greening, 80, 127871.​

371 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา