Knowledge - RISC

ทำไมเราต้องใส่ใจเรื่องแสงธรรมชาติ?

เขียนบทความโดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

แก้ไขล่าสุด : 3 เดือนที่แล้ว

400 viewer

แสงธรรมชาติเปรียบเสมือนเพื่อนสนิทคนนึงของเรา เพราะว่าแสงธรรมชาติเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามาตั้งแต่ที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาครั้งแรก แต่ปัจจุบันเรามักจะหนีห่างจากแสงธรรมชาติ จากความกังวลเรื่องความร้อนและรังสีต่างๆ"​

ซึ่งจริงๆ แล้ว ความร้อนและรังสีต่างๆ เหล่านี้มาจาก "แสงแดด" แต่สิ่งที่เราขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตประจำวัน ก็คือ "แสงสว่าง" จากธรรมชาติ ที่ช่วยเรื่องของการมองเห็น การตื่น การนอนหลับ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา การได้รับแสงสว่างเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพ ส่งผลต่อการฟื้นตัวทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงรักษาอาการจากภาวะทางอารมณ์ได้ ตลอดจนมีการศึกษาที่กล่าวว่า การมองเห็นธรรมชาติและแสงสว่างที่มากขึ้นนั้น จะส่งผลให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นได้อีกด้วย​

International WELL Building Institute (IWBI) ผู้ออกแบบมาตรฐาน WELL และ U.S. Green Building Council ผู้กำหนดเกณฑ์ LEED ได้ให้ความสำคัญกับการนำแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาสู่พื้นที่ใช้งานภายในอาคาร โดยเน้นไปที่ค่าการรับแสงสว่างจากธรรมชาติที่จะเข้ามาภายในอาคาร 2 ประเภท ก็คือ...​

• การได้รับ "แสงแดด" ประจำปี (Annual sunlight exposure : ASE) โดยกำหนดให้อาคารสามารถรับแสงธรรมชาติได้มากกว่า 1,000 ลักซ์ เป็นเวลา 250 ชั่วโมงในแต่ละปี และไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ยอมรับได้ในการให้แสงธรรมชาติเข้ามาภายในอาคารที่สมดุลระหว่างการได้รับแสงแดดที่เพียงพอสำหรับสุขภาพ และการควบคุมความร้อนภายในอาคาร​
• ร้อยละของพื้นที่ที่ได้รับ "แสงสว่าง" เพียงพอในระยะเวลา 1 ปี (Spatial Daylight Autonomy : sDA) โดยกำหนดให้การได้รับแสงธรรมชาติอย่างน้อย 300 ลักซ์เป็น เวลาอย่างน้อย 50% ของชั่วโมงการทำงานในแต่ละปี โดยคิดเป็น 55%, 75% หรือ 90% ขึ้นไปของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งยิ่งแสงสว่างจากธรรมชาติเข้าถึงพื้นที่มาก ก็จะยิ่งทำคะแนนจากเกณฑ์ได้มากเช่นกัน (USGBC, 2018)​

เราจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ค่า ไม่มีการกำหนดค่าความสว่างสูงสุดตายตัว เพราะกิจกรรมที่ใช้ในพื้นที่มีความต้องการความสว่างสูงสุดไม่เท่ากัน รวมไปถึงชั่วโมงการทำงานในแต่ละฤดูกาลที่แสงสว่างไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้เท่ากัน จึงกำหนดค่าเป็นชั่วโมงรวมแทน​

นอกจากนี้ IWBI ยังมีการกำหนดให้มีพื้นที่ทำงานริมหน้าต่างในระยะ 6 – 7 เมตร ในอัตราส่วนร้อยละ 30 ของพื้นที่ทำงานในแต่ละชั้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการจำลองแสงสว่างที่สังเกตได้ว่า ในระยะห่างที่เกิน 6 - 7 เมตร ค่าความสว่างในพื้นที่จะลดลงต่ำกว่า 300 ลักซ์ ซึ่งถือว่าเป็นความสว่างที่ไม่เพียงพอต่อการทำงาน และต้องได้รับการปรับปรุงความสว่างด้วยแสงประดิษฐ์ ​



จากแบบจำลองแสงสว่างในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 15.00 น. แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกตำแหน่งการใช้งานพื้นที่ในแต่ละด้านของอาคารได้ว่า ภายในห้องทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีค่าแสงสว่างเฉลี่ย 1,078 ลักซ์ โดยไม่มีแสงแดดสาดเข้ามาภายในห้อง ส่วนห้องในทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นห้องที่มีค่าแสงสว่างมากเกินไปเฉลี่ยสูงที่สุด 11,229 ลักซ์ ซึ่งมาพร้อมกับแสงแดดที่มีความร้อน ทิศตะวันตกเฉียงใต้จึงเป็นทิศที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรใช้เป็นพื้นที่ทำงานเป็นประจำ​

การออกแบบอาคารจึงมีผลอย่างมากต่อการได้รับแสงธรรมชาติของผู้ใช้งานอาคาร และเป็นหนึ่งเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องใช้แบบจำลอง Computer Simulations คำนวณความถูกต้องของค่า ASE และ sDA ตั้งแต่ช่วงต้นของการออกแบบ เพื่อจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ใช้งานอาคารได้รับแสงธรรมชาติที่เหมาะสม ​

เมื่อเรารู้ถึงความสำคัญของแสงแดดแล้ว...อย่าลืม! ขยับโต๊ะ เลื่อนเก้าอี้ รับแสงธรรมชาติกันด้วยนะ รับรองว่าการทำงานของทุกคน จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป​

ครั้งต่อไป เราจะมาดูกันว่า หากหันหน้าตรงเข้าหาแสงในรูปแบบแสงที่ไม่ดีต่อเรา จะเกิดผลเสียอย่างไร? และหากใครสนใจความรู้เกี่ยวกับแสง หรือหากต้องการทำแบบจำลอง Simulations เพื่อให้เราช่วยประเมินประสิทธิภาพของแสง สามารถติดต่อเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ RISC ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ผ่านทาง Inbox RISC Well-Being Facebook หรือ RISC LINE Official : risc_center​

เนื้อหาโดย คุณ วชรกรณ์ มณีโชติ สถาปนิกวิจัย Well-Being Research Integration, RISC​

© 2024 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน