RISC

รู้หรือไม่ สภาพแวดล้อมก็มีผลต่อโรคเบาหวาน

เขียนบทความโดย RISC | 13 ชั่วโมงที่แล้ว

แก้ไขล่าสุด : 13 ชั่วโมงที่แล้ว

49 viewer

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) ที่มีจำนวนผู้ป่วยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ​

โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic Disease) โดยปกติเมื่อเรารับประทานอาหาร ร่างกายจะย่อยอาหารเป็น “กลูโคส” และส่งเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้น “ฮอร์โมนอินซูลิน” จากตับอ่อนจะทำหน้าที่เสมือนกุญแจ เปิดให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดหรือดื้ออินซูลิน น้ำตาลจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ​

หากงดน้ำงดอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมง แล้วยังมีระดับน้ำตาลสูงกว่า 126 mg/dL ถือว่าอยู่ในภาวะเบาหวาน ซึ่งการอยู่ในภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้อวัยวะ เช่น ตา ไต หัวใจ หรือเส้นประสาท เกิดการอักเสบ เสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาบอด ไตวายเรื้อรัง หัวใจขาดเลือด หรือแผลหายยากจนต้องตัดอวัยวะได้ ​

โดยโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด​
✅ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) มักพบในเด็กและวัยรุ่น เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้หรือผลิตได้น้อยมาก ต้องได้รับอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิต​
✅ เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) มักพบในผู้ใหญ่ เป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ และสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ​

แต่...รู้หรือไม่ มากกว่า 90% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเป็นชนิดที่ 2 และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความตระหนักรู้และพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม​

แค่การ "ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม" ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้​

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาล สำหรับผู้ใหญ่ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ส่วนเด็กและผู้สูงอายุ ไม่เกิน 4 ช้อนชา/วัน และควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา หรือมากกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า​

สำหรับเคล็ดลับสำคัญป้องกันโรคเบาหวานทำได้ง่ายๆ โดย​
✅ จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 กำหนดปริมาณอาหารด้วยการแบ่งสัดส่วนของจาน ประกอบด้วย ผัก 2 ส่วน ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ 1 ส่วน​
✅ อ่านฉลากโภชนาการ ก่อนเลือกซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูง​

แล้วรู้หรือไม่ว่า นอกจากพฤติกรรมแล้ว "สภาพแวดล้อม...ก็มีผลกระตุ้นให้เกิดโรค" ได้อีกด้วย​

จากงานวิจัยพบว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการกินแล้ว สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบอีกว่า ​
▪ “การได้รับแสงในเวลากลางคืน” (Light at Night: LAN) มีผลต่อสมดุลของการทนต่อกลูโคส (Glucose Tolerance) และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โดยแสงสีขาวที่ความสว่างปานกลาง (50-150 lux) ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อกลูโคสมากกว่าแสงสลัว (5 -20 lux) ขณะเดียวกันการได้รับแสงในเวลากลางคืนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากนี้ยังพบว่า ในพื้นที่ที่มีระดับแสงกลางคืนสูง จะมีความชุกของโรคเบาหวานสูงกว่าพื้นที่มืดมากกว่า 28%
▪ มลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ควันบุหรี่ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ก็มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคเบาหวาน โดยมลพิษทางอากาศสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers) ที่เกี่ยวข้อง เช่น การอักเสบเพิ่มขึ้น ความผิดปกติของสมดุลกลูโคสในร่างกาย ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความผิดปกติของไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial Alteration) และนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในที่สุด​

วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น วันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต​

แม้โรคเบาหวานไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้ แต่เป็นโรคที่รู้เท่าทัน และสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมเล็กๆ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนของนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาวของคุณและคนที่คุณรัก​

เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​

อ้างอิงข้อมูลจาก​

1. WHO. Diabetes ;https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/diabetes​

2. ศูนย์ความเป็นเลิศเบาหวานศิริราช. จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 ; https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/ct_knowledgesdetail.asp?div_id=44&kl_id=34​

3. ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล. สุขภาพดี ทำได้ง่ายๆ แค่…ลดหวาน ; https://www.gj.mahidol.ac.th/main/sweet/​

4. Opperhuizen AL, Stenvers DJ, Jansen RD, Foppen E, Fliers E, Kalsbeek A. Light at night acutely impairs glucose tolerance in a time-, intensity- and wavelength-dependent manner in rats. Diabetologia. 2017 Jul;60(7):1333-1343. ​

5. Zheng, R., Xin, Z., Li, M. et al. Outdoor light at night in relation to glucose homoeostasis and diabetes in Chinese adults: a national and cross-sectional study of 98,658 participants from 162 study sites. Diabetologia 66, 336–345 (2023).​

6. Li Y, Xu L, Shan Z, Teng W, Han C. Association between air pollution and type 2 diabetes: an updated review of the literature. Therapeutic Advances in Endocrinology and Metabolism. 2019.