ฺBiodiversity Standard การสร้างระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
เขียนบทความโดย RISC | 16 ชั่วโมงที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 16 ชั่วโมงที่แล้ว
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน หลายครั้งมักมองข้าม หรือลดทอนเรื่อง “คุณค่าของธรรมชาติ” โดยไม่ตั้งใจ เพราะต่างมองว่าธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มักให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ จนลืมคำนึงถึงธรรมชาติที่ต้องสูญเสียไป การออกแบบจึงถูกจำกัดอยู่ในกรอบของข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริง โลกกำลังส่งสัญญาณเตือนเราอย่างชัดเจน ทั้งภาวะโลกร้อน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเราไม่เปลี่ยนวิธีคิด
MQDC เชื่ออย่างลึกซึ้งว่า หากโลกสูญเสียสมดุล เราเองก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้เช่นกัน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงไม่ใช่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัย หรืออาคาร แต่เป็นการ “พัฒนาไปพร้อมกับการฟื้นฟู และสร้างธรรมชาติ” เพราะทั้งป่า แหล่งอาหาร และแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมอง
เมื่อก้าวเข้าสู่พื้นที่โครงการ มุมมองแรกไม่ใช่ตำแหน่งของอาคาร แต่คือการมองลงไปใน “ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ก่อนเรา” ระบบนิเวศดั้งเดิม ต้นไม้ ดิน แหล่งน้ำ และสัตว์ทุกชนิดที่ใช้พื้นที่เป็นแหล่งอาหาร หรือที่หลบภัย อย่างการสร้างโครงการ The Forestias ทำให้ MQDC และ RISC ได้เรียนรู้กระบวนการสร้างป่า และระบบนิเวศในเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งนำไปสู่การพัฒนารูปแบบการทำงานที่ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงมุ่งลดผลกระทบ แต่กลับ “เพิ่มพื้นที่ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต” ให้มากกว่าเดิม
จากการเรียนรู้นี้ RISC จึงริเริ่ม Biodiversity Standard สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทยขึ้นมา โดยมี 4 ขั้นตอน...
1. การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพก่อนเริ่มโครงการ (Pre-project biodiversity survey)
ผู้เชี่ยวชาญด้านพืช และสัตว์จะลงพื้นที่สำรวจระบบนิเวศอย่างละเอียด ครอบคลุม 3 ฤดูกาล เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงตลอดปี เราจึงรับรู้ได้ถึงความหลากหลายของชนิดพันธุ์ เส้นทางการอพยพ และพลวัตที่ซ่อนอยู่ในระบบนิเวศของพื้นที่นั้นก่อนการพัฒนา
2. การเก็บรักษาต้นไม้และการย้ายสัตว์ (Tree protection and animal relocation)
ก่อนเครื่องจักรจะเข้าสู่พื้นที่พัฒนาโครงการ จะต้องมีการวางแผนย้ายต้นไม้โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปอนุบาล ก่อนจะนำกลับมาปลูกในช่วงก่อสร้างอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็มีการจัดทำแผนย้ายสัตว์อย่างเป็นระบบ ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลาน เต่า และสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งการย้ายสัตว์เหล่านี้ต้องทำอย่างปลอดภัย ป้องกันการบาดเจ็บ หรือสูญเสียโดยไม่ตั้งใจ
3. การออกแบบพื้นที่เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity-friendly design)
ข้อมูลจากการสำรวจจะถูกนำมาทำงานร่วมกับทีมนักออกแบบ Master Plan เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศเดิม และสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เคยหายไป โดยมีการออกแบบโครงสร้างพืช เลือกใช้พันธุ์พืชท้องถิ่น และวางแผนการเพิ่มขึ้นของสิ่งมีชีวิตในโครงการปีต่อปี เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการออกแบบเชิงนิเวศ
4. การติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ (Ongoing biodiversity monitoring)
การสำรวจไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว แต่เกิดในทุกช่วงในการพัฒนาโครงการ ตั้งแต่ก่อนการพัฒนาโครงการ ระหว่างการก่อสร้าง และหลังโครงการเสร็จ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของชนิดพืชพรรณ และสัตว์ต่างๆ ในแต่ละเวลาในการพัฒนาโครงการ ก่อนประเมินว่า พืชและสัตว์ในพื้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ซึ่งข้อมูลนี้จะใช้พัฒนาพื้นที่สีเขียวให้ดีขึ้น และบรรลุเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพตามที่ตั้งไว้
ธรรมชาติ คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนที่ส่งต่อได้
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า MQDC ไม่ได้สร้างเพียงอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ แต่ยังสร้าง “สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต” ป่าในเมือง และบ้านของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด เพื่อคืนความสมดุลให้พื้นที่อยู่อาศัย
เราเชื่อว่า พื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นจะเป็นเหมือน “สะพานทางธรรมชาติ” ที่ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพให้กับเมือง และในขณะเดียวกันก็สร้างสังคมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรัก และความเคารพต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเติบโตได้ในพื้นที่ที่ธรรมชาติมีสุขภาพดี
เมื่อธรรมชาติรอบตัวแข็งแรง ชุมชนของ MQDC ก็จะมีสุขภาวะที่ดี และความยั่งยืนนี้จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พื้นที่ที่อุดมด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติ จึงไม่ใช่เพียง “โครงการ” แต่เป็น “มรดก” ที่จะเติบโตไปพร้อมกับผู้คน และโลกของเรา
เนื้อหาโดย ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน