"Low Carbon Materials" ทางออกเพื่อช่วยโลก
เขียนบทความโดย RISC | 2 ปีที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 1 ปีที่แล้ว
RISC 5 Research Hubs: Materials & Resources Hub
ถ้าถามว่า “อุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลกสูงที่สุดคืออุตสาหกรรมใด?” เชื่อว่าหลายคนอาจจะตอบผิด เพราะภาพในหัวเรามักจะคิดถึงกลุ่มควันที่ออกจากปล่องโรงงานต่างๆ เสียมากกว่า
แล้ว...คำตอบของคำถามนี้ คืออะไรล่ะ?
จากข้อมูลของ UNEP 2020 พบว่า “อุตสาหกรรมก่อสร้าง” กลับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลกสูงที่สุด คิดเป็น 39% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดทั่วโลก โดยแบ่งเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานควบคุมอุณหภูมิภายในอาคาร (Operation carbon) 28% และจากการได้มาซึ่งวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง (Embodied carbon) อีก 11%
และเพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Net-zero emissions) ภายในปี 2050 องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ออกมาคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้ง Operation carbon และ Embodied carbon ให้เหลือ 60% และ 50% ตามลำดับภายในปี 2030 ที่ผ่านมาจึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับวัสดุขึ้นมา เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการก่อสร้าง และนั่นก็กลายมาเป็น “วัสดุคาร์บอนต่ำ” (Low carbon materials)
วัสดุคาร์บอนต่ำ เป็นวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุทั่วไป โดยจะพิจารณาจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน รวมถึงการจัดการหลังการใช้งาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประเมิณวัฏจักรชีวิต (LCA)
โดยส่วนใหญ่วัสดุคาร์บอนต่ำมักจะใช้วัตถุดิบที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ อย่างเช่น ไม้ เศษเหลือจากการเกษตร หรือวัสดุที่ได้จากการรีไซเคิล รวมถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทดแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือถ่านหินที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูง ซึ่งวันนี้ RISC มีตัวอย่างวัสดุคาร์บอนต่ำที่น่าสนใจมาฝากกันด้วย
ตัวอย่างแรกมาเริ่มที่คอนกรีตกันก่อน...
ต้องยอมรับว่าคอนกรีตนั้นเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง ยิ่งในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะอาคารบ้านเรือนแบบไหน ก็จะมีการใช้คอนกรีตเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ แต่คอนกรีตกลับเป็นวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาล นั่นก็เพราะกระบวนการผลิตซีเมนต์ต้องใช้พลังงานสูงในการเผาและได้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลพลอยได้ออกมา ซึ่งการก่อสร้างในรูปแบบเดิมๆ ถือได้ว่าเป็นตัวการหลักที่ขัดขวางการบรรลุเป้าหมาย Net zero 2050 จึงทำให้มีนักวิจัยเริ่มคิดค้นคอนกรีตที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพื่อตอบโจทย์กับเรื่องนี้ อย่างเช่น เช่น คอนกรีตคาร์บอนต่ำจาก CarbiCrete เป็นคอนกรีตที่ใช้เศษเหลือจากอุตสาหกรรมเหล็ก เช่น ตะกรันเหล็ก กากแร่ ทดแทนการใช้ซีเมนต์ รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีการฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปในก้อนคอนกรีตระหว่างการบ่มเร่งให้คอนกรีตแข็งตัว นอกจากจะเป็นการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในคอนกรีตแล้ว ก็ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอนกรีตอีกด้วย
มาดูอีกตัวอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ วัสดุจากไม้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัสดุจากไม้กลับมาได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง จะเห็นได้จากการก่อสร้างของทั้งบ้านเราและต่างประเทศ มีนำไม้เข้ามาเป็นส่วนประกอบ ทั้งโครงสร้างและการตกแต่งภายใน ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่า ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโต ต้นไม้จึงเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในธรรมชาติ จึงทำให้วัสดุจากไม้มักมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุชนิดอื่นๆ อย่างเช่น พื้นและผนังไม้คอร์กจาก Amorim เป็นวัสดุที่ได้จากการลอกเปลือกชั้นนอกที่ตายแล้วของต้นโอ๊กมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต โดยสามารถลอกเปลือกไม้โอ๊กได้ทุกๆ 10 ปี ทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ -193 kg CO2eq /m2 และจัดเป็นวัสดุปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นลบ (carbon negative material) อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า การจะบรรลุเป้าหมาย Net zero ภายในปี 2050 นี้ เป็นเป้าหมายที่เราทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งผู้ผลิตที่ต้องผลิตสินค้าตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานและตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และยังรวมไปถึงผู้ใช้งานเองก็ต้องตระหนักในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material, RISC
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://eandt.theiet.org/content/articles/2020/12/carbon-emissions-from-buildings-need-to-be-tackled-now-un-urges/
https://www.amorimwise.co.uk/
https://carbicrete.com/technology/