RISC

Knowledge Happiness Science

Happiness Science

ครอบครัวอบอุ่น จุดเริ่มต้นของสุขภาพใจที่ยั่งยืน

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

เคยสังเกตมั้ย? ว่าทำไมช่วงปีนี้มีคนรอบตัวเราบ่นเรื่องนอนไม่หลับบ่อยขึ้น หรือมีความเครียด และเป็นซึมเศร้ามากขึ้น​ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO พบว่า ประชากรทั่วโลกกว่า 970 ล้านคน หรือ 1 ใน 8 มีปัญหาด้านสุขภาพจิต และยังพบอีกว่า วัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ซึ่งนับเป็นประชากร 1 ใน 6 คนของประชากรโลก มี 1 ใน 7 คนของวัยรุ่น (14.3%) ประสบปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ตัว และยังไม่ได้รับการรักษา​สำหรับสถานการณ์สุขภาพจิตของไทย จากข้อมูลของ Mental Health Check-in ของกรมสุขภาพจิต พบว่าคนไทยทุกช่วงอายุ ในช่วงปี 2563-2567 มีความเครียดสูง 8.04% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 9.47% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5.39% และเมื่อเทียบกับวัยรุ่นไทย อายุต่ำกว่า 20 ปี พบว่า มีความเครียดสูง 24.83%  มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 29.51% และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงถึง 20.35% นับว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่าช่วงวัยอื่นมากถึง 3-4 เท่า ​แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้สถานการณ์สุขภาพจิตดีขึ้น? และควรเริ่มต้นจากจุดไหนดี?​ขอแชร์งานวิจัย 2 งานที่พูดถึงความสำคัญของครอบครัวที่มีผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง งานวิจัยแรก ทีมนักวิจัยจากประเทศจีน Bian, Y., Jin, K. และ & Zhang, Y. ทำการศึกษาวัดความผูกพันในครอบครัวกับภาวะซึมเศร้า จากผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 90,023 คน จากหลายประเทศ พบว่ายิ่งครอบครัวมีความผูกพัน ช่วยเหลือกันและกันมาก (Cohesion) ยิ่งลดแนวโน้มภาวะซึมเศร้าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ​อีกงานวิจัยจากประเทศจีน An, J., Zhu, X., Shi และ Z. et al. ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงบวกกับครอบครัว พบว่าไม่ใช่แค่มีครอบครัว แต่การรับรู้ได้ว่าครอบครัวให้การสนับสนุนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ คนในครอบครัวที่สามารถปรึกษาปัญหาได้ สามารถพูดคุยกันได้ จะส่งผลโดยตรงต่อสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้น (Emotional Well-being) นำไปสู่การเข้าสังคมที่ดีขึ้น (Social Well-being) และยังส่งผลต่อสุขภาพทางกายดีขึ้นอีกด้วย (Psychological Well-being)​นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกหลายแหล่ง ที่ยืนยันไปในทางเดียวกันว่า “ครอบครัว” เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็ง และความแข็งแรงทางใจที่ส่งเสริม “สุขภาพจิต” ของวัยรุ่นและทุกคนในครอบครัวให้ดีขึ้นได้​“สุขภาพใจที่ดีเริ่มต้นที่บ้าน” อย่างที่โครงการ Mulberry Grove The Forestias ได้ออกแบบพื้นที่ของครอบครัว และสร้างพื้นที่การเชื่อมต่อ มองเห็นกันได้จากพื้นที่ต่างๆ ของตัวบ้าน ทั้งจากชั้นเดียวกันและชั้นบน ให้สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสมองเห็นสมาชิกในครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น พบปะเจอกันได้บ่อยขึ้น ได้ใช้เวลาร่วมกัน ประกอบกับการสร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม น่านั่ง น่าคุย หรือน่าทำกิจกรรมของครอบครัวด้วยกัน การได้เจอกันและใช้เวลาร่วมกันที่มากขึ้นนี่เอง คือ ปัจจัยหลักของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรู้สึกเชิงบวก ส่งเสริมความแข็งแรงทางจิตใจ และอารมณ์​เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Hfocus. (2024, มีนาคม). ชื่อบทความ. Hfocus. สืบค้นเมื่อ 3 เดือนตุลาคม จาก https://www.hfocus.org/content/2024/03/30088​Hfocus. (2025, กรกฎาคม). ชื่อบทความ. Hfocus. สืบค้นเมื่อ 3 เดือนตุลาคม จาก https://www.hfocus.org/content/2025/07/34568​An, J., Zhu, X., Shi, Z., & An, J. (2024). A serial mediating effect of perceived family support on psychological well-being. [BMC Public Health], [2024], DOI: https://doi.org/10.1186/s12889-024-18476-z​Bian, Y., Jin, K., & Zhang, Y. (2024). The association between family cohesion and depression: A systematic review and meta-analysis. [PubMed, National Library of Medicine], [2024], DOI: 10.1016/j.jad.2024.03.138​

250 viewer

เคล็ดลับการดูแลสมอง สู่ชีวิตยืนยาวและมีความสุข

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่? การดูแลสมองอย่างเหมาะสมในวัยสูงอายุ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม แต่ยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีความสุข และพึ่งพาตนเองได้นานขึ้น​ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 13 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าภายใน 30 ปีข้างหน้า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเกิน 20 ล้านคน ซึ่งความท้าทายที่มาพร้อมกับสังคมสูงวัย คือการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ “สมอง” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของคุณภาพชีวิต​ทำไมสุขภาพสมองถึงสำคัญในวัยสูงอายุ?​สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนและเปราะบาง ทำหน้าที่ควบคุมการคิด การตัดสินใจ ความจำ และการดำเนินกิจวัตรประจำวัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์สมอง และการทำงานที่เชื่อมโยงกันจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ส่งผลให้ความจำไม่ดีเหมือนเดิม คิดได้ช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม อย่างเช่น อัลไซเมอร์​อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในวัยสูงอายุ สมองก็ยังคงปรับตัวและยืดหยุ่นได้ หากได้รับการดูแล และกระตุ้นอย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อม อีกทั้งยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณภาพ​เคล็ดลับการดูแลสมองผู้สูงวัยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำอย่างสม่ำเสมอและครบทุกด้าน ก็ช่วยให้สมองแข็งแรงได้ ไม่ว่าจะเป็น...​1. ออกกำลังกายเป็นประจำ: กิจกรรมง่ายๆ อย่างการเดินช้าๆ โยคะ ไทเก็ก หรือว่ายน้ำ ทำวันละอย่างน้อย 30 นาที ก็จะช่วยให้เลือด และออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง และกระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อความจำและอารมณ์​2. กินอาหารที่ดีต่อสมอง: เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3 แอนติออกซิแดนท์ และวิตามิน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช และผลไม้หลากสี เพื่อช่วยลดการอักเสบ และชะลอความเสื่อมของสมอง​3. พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับวันละ 7–8 ชั่วโมง จะช่วยให้สมองได้พัก และจัดเก็บความทรงจำ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อม​4. ฝึกใช้สมองอยู่เสมอ: การอ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือฝึกภาษาใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง และสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทใหม่ๆ​5. สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม: การพูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือเข้าร่วมกิจกรรมสังคม ช่วยลดความเหงา ความเครียด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ​6. ตรวจเช็กสมองอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจคัดกรองสมอง หรือทำแบบประเมินสุขภาพสมอง ช่วยให้ทราบความเสี่ยงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้สามารถวางแผนดูแล และฟื้นฟูสมองได้อย่างเหมาะสม​ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุสากล” (International Day of Older Persons) เพื่อให้สังคมทั่วโลกได้ตระหนักถึงคุณค่า และศักยภาพของผู้สูงวัย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น​เช่นเดียวกับ The Aspen Tree The Forestias คือหนึ่งในตัวอย่างของการดูแลผู้สูงวัยแบบองค์รวม เน้นทั้งสุขภาพกาย ใจ และสมอง โดยได้ร่วมมือกับ Baycrest ประเทศแคนาดา ศูนย์วิจัยและการดูแลผู้สูงวัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก พัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และโปรแกรมด้านสุขภาพสมอง และการดูแลผู้สูงวัย เพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย​• Health & Brain Center: มีเครื่องมือประเมินสมองและโปรแกรมบริหารสมอง เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ​• กิจกรรมและสภาพแวดล้อมเพื่อผู้สูงวัย: ออกแบบเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว การเรียนรู้ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม​• การดูแลแบบองค์รวม: ช่วยให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพกายแข็งแรง จิตใจสดใส และสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ​โดยความร่วมมือนี้เชื่อมโยงมาตรฐานระดับสากลเข้ากับการดูแลเชิงปฏิบัติจริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยไทย ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณค่าอย่างยั่งยืน​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.baycrest.org/Baycrest-Pages/News-Media/News/Baycrest-Global-Solutions/A-place-to-age-successfully​https://mqdc.com/aspentree​

361 viewer

HUG เจ้า(นาย) 5 นาที ดีต่อใจ

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

“วันนี้เหนื่อยจัง ขอกอดเจ้านายชาร์จพลังหน่อยนะ”​“ทำไมรู้สึกสบายใจ และหัวใจก็เต้นช้าลง”​นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีของร่างกายที่ได้รับการเยียวยา มีความผ่อนคลาย และความเครียดที่ลดลงจากการที่ได้กอดน้องหมา หรือเจ้านายของเราก็เป็นได้​Nancy R. Gee, PhD ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (Human Animal Interaction) มหาวิทยาลัย Virginia Commonwealth เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าการกอด การสัมผัส หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับน้องหมาอย่างสนิทสนมเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 5-20 นาที สามารถเพิ่มพลังให้กันและกันได้ ช่วยให้ระดับคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดลดลง และกระตุ้นระดับออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนแห่งความรักเพิ่มขึ้นได้ ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่รู้สึกดี น้องหมาก็รู้สึกได้เช่นกัน ซึ่งพลังพิเศษนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับเรา และน้องหมาที่เพิ่งพบเจอกันได้อีกด้วย​ด้าน Virginia Satir นักจิตบำบัดชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว แนะนำว่าคนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้งเพื่อการอยู่รอด วันละ 8 ครั้งเพื่อการฟื้นฟูบำรุงรักษา และวันละ 12 ครั้งเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายและจิตใจ​ขณะที่ Marti R. จากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และคณะ ได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการแพ้สุนัข จำนวน 21 คน โดยให้กอดน้องหมาจริงสลับกับกอดตุ๊กตาสิงโต แล้วทำการวัดค่าฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน ฮีโมโกลบินที่ไม่มีออกซิเจน ปริมาณฮีโมโกลบินรวม และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดบริเวณกลีบสมองส่วนหน้าสุด เพื่อประเมินการทำงานของสมอง ซึ่งผลการทดลองพบว่า การกอดหรือการเล่นกับน้องหมาจริงมีประสิทธิภาพดีกว่าการกอดตุ๊กตา ช่วยให้การทำงานของสมองส่วนหน้าที่คอยทำหน้าที่คิด วิเคราะห์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น​นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยอีกมากมายที่สนับสนุนว่า การกอดช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ช่วยให้รู้สึกพึงพอใจ เกิดความปิติยินดี ช่วยกระตุ้นการหลั่งเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) ลดความกังวล ซึมเศร้า มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ และระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้มักจะได้รับการกระตุ้นเมื่อกอดกันอย่างน้อย 20 วินาที ขึ้นไป​อีกทั้งการกอดกันยังช่วยการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ทำให้ออกซิเจนถูกลำเลียงไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา​เพราะการกอด คือยาอายุวัฒนะ ยิ่งอยู่ด้วยกัน ได้กอดทุกวัน อายุยืนขึ้นทุกวัน​วันนี้กลับบ้าน อย่าลืมไปกอด "เจ้านาย" ของเรา แล้วอย่าลืมสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของน้องด้วย เผื่อหากวันไหนน้องไม่สบายตัว ไม่เต็มใจให้กอด จะได้ไม่เป็นการฝืนใจเค้า​ในวัน National Hug Your Hound Day หรือวันกอดสุนัขแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ลองใช้เวลาแค่ 5 นาที เปิดใจและให้โอกาสตัวเองได้รับและส่งพลังดีดีให้กันและกัน​และหากกำลังมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม ในสภาพแวดล้อมที่เป็น Pet-Friendly ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลาง สามารถวิ่งแล่น ออกกำลังกายร่วมกันได้ ที่ Whizdom The Forestias Petopia ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็พิเศษอยู่แล้วในทุกๆ วัน​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​Gee NR, Rodriguez KE, Fine AH, Trammell JP. Dogs Supporting Human Health and Well-Being: A Biopsychosocial Approach. Front Vet Sci. 2021 Mar 30;8:630465. doi: 10.3389/fvets.2021.630465. PMID: 33860004; PMCID: PMC8042315.​Gee NR, Townsend L, Friedmann E, Barker S, Mueller M. A Pilot Randomized Controlled Trial to Examine the Impact of a Therapy Dog Intervention on Depression, Mood, and Anxiety in Hospitalized Older Adults. Healthcare (Basel). 2025 Jul 25;13(15):1819. doi: 10.3390/healthcare13151819. PMID: 40805852; PMCID: PMC12346317.​Grewen K. M., Girdler S. S., Amico J. & Light K. C. Effects of partner support on resting oxytocin, cortisol, norepinephrine, and blood pressure before and after warm partner contact. Psychosom. Med. 67, 531-538 (2005).​Handlin, L. et al. (2011) ‘Short-Term Interaction between Dogs and Their Owners: Effects on Oxytocin, Cortisol, Insulin and Heart RateAn Exploratory Study’, Anthrozoös, 24(3), pp. 301–315. doi: 10.2752/175303711X13045914865385. ​Holt-Lunstad J., Birmingham W. A. & Light K. C. Influence of a “warm touch” support enhancement intervention among married couples on ambulatory blood pressure, oxytocin, alpha amylase, and cortisol. Psychosom. Med. 70, 976-985 (2008).​Light K. C., Grewen K. M. & Amico J. A.More frequent partner hugs and higher oxytocin levels are linked to lower blood pressure and heart rate in premenopausal women. Biol. Psychol. 69, 5-21 (2005).​Marti R, Petignat M, Marcar VL, Hattendorf J, Wolf M, Hund-Georgiadis M, et al. Effects of contact with a dog on prefrontal brain activity: A controlled trial. PLoS ONE 17(10): e0274833 (2022).

675 viewer

พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 720,000 คน หรือเฉลี่ย 1 คนในทุกๆ 40 วินาที​การฆ่าตัวตายไม่เพียงส่งผลต่อผู้จากไป แต่ยังสร้างบาดแผลทางจิตใจต่อครอบครัว เพื่อน และสังคมอีกด้วย​สำหรับในประเทศไทย ปัญหานี้ก็ยังคงน่ากังวล โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายกว่า 4,500–5,000 คน หรือเฉลี่ยมากกว่า 12 คนต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เราทุกคนต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันการสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น​แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อน แต่เราสามารถเริ่มป้องกันได้จากสิ่งเล็กๆ รอบตัว เช่น​📌 สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อบอุ่น​📌 เปิดใจฟังกันอย่างจริงใจโดยไม่ตัดสิน​📌 สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตได้อย่างสะดวก และไม่ถูกตีตรา​📌 สร้างสังคมที่ทุกคนสามารถพูดถึงความรู้สึกของตัวเองได้อย่างปลอดภัย​สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้คือ “เกราะป้องกันใจ” ที่ช่วยให้ผู้ที่กำลังเปราะบางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป​นอกจากการเพิ่มเกราะป้องกันใจแล้ว สิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ ก็มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพจิต และลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย​พื้นที่สีเขียวไม่เพียงแค่เพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ทั้ง...​📌 ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การดักจับคาร์บอนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ​📌 ด้านสุขภาพกาย เช่น การลดมลพิษทางอากาศและปรับอุณหภูมิในเมือง​📌 ด้านสุขภาพจิต เช่น การลดความเครียดและสร้างความสงบ​โดยงานวิจัยในเวลส์ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลประชากรกว่า 2 ล้านคนตลอด 10 ปีพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพแวดล้อมร่มรื่น หรืออยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำ มีความเสี่ยงต่อความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าน้อยลง​การส่งเสริมให้ประชาชนใช้พื้นที่สีเขียว พร้อมกับการพัฒนาและดูแลให้เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนมักเผชิญความเครียดหรือความกดดันสูง เช่น ชุมชนหนาแน่น พื้นที่ทำงานเสียงดัง หรือชุมชนที่ขาดพื้นที่สันทนาการ จะช่วยให้ทุกคนมีโอกาสได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพจิตอย่างเท่าเทียม​พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติจึงเป็นเหมือน “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทางเดินร่มรื่น หรือพื้นที่สีเขียวในโรงเรียน สถานที่ทำงาน และที่อยู่อาศัยที่กลมกลืนกับธรรมชาติ อย่างเช่น โครงการ The Forestias ที่ออกแบบพื้นที่ป่าเพื่อตอบโจทย์อย่างยั่งยืน เพื่อให้พื้นที่เหล่านี้ช่วยเยียวยาใจ ทำให้เรารู้สึกสงบ ลดความเครียด และเติมพลังใจให้ก้าวต่อ​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Geary, R. S., Thompson, D., Mizen, A., Akbari, A., Garrett, J. K., Rowney, F. M., … Rodgers, S. E. (2023). Ambient greenness, access to local green spaces, and subsequent mental health: A 10-year longitudinal dynamic panel study of 2·3 million adults in Wales. Lancet Planetary Health, 7(10), e809–e818. https://doi.org/10.1016/S2542-5196(23)00212-7​Twohig-Bennett, C., & Jones, A. (2018). The health benefits of the great outdoors: A systematic review and meta-analysis of greenspace exposure and health outcomes. Environmental Research, 166, 628–637. https://doi.org/10.1016/j.envres.2018.06.030​Triguero-Mas, M., Dadvand, P., Cirach, M., Martínez, D., Medina, A., Mompart, A., Basagaña, X., Gražulevičienė, R., & Nieuwenhuijsen, M. J. (2015). Natural outdoor environments and mental and physical health: Relationships and mechanisms. Environment International, 77, 35–41. https://doi.org/10.1016/j.envint.2015.01.012​World Health Organization. (2025). World Suicide Prevention Day 2025. https://www.who.int/campaigns/world-suicide-prevention-day/2025​World Health Organization. Regional Office for Europe. (2023). Assessing the value of urban green and blue spaces for health and well-being. https://iris.who.int/handle/10665/367630​กรมสุขภาพจิต. (n.d.). รายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปีงบประมาณ 2566. https://suicide.dmh.go.th/news/view.asp?id=92​

577 viewer

"Neuroinclusive Design”​ การออกแบบรองรับการรับรู้รอบตัวที่ต่างกัน​

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ได้มีแค่ความต่างเรื่องเพศ สถานะ การศึกษา แต่...รู้หรือไม่ ความแตกต่างนี้ยังมีในรูปแบบอื่นอีก ทั้งการรับรู้ ความรู้สึก และปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลาย​“Neuroinclusive Design” หรือ “การออกแบบเพื่อรองรับความหลากหลายทางระบบประสาท” จึงเป็นแนวคิดที่น่าจับตามองสำหรับการออกแบบอาคารยุคใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบความเงียบหรือเสียงเพลง หรือรู้สึกไม่สบายใจกับแสงที่สว่างเกินไปหรือมืดเกินไป การออกแบบที่ใส่ใจความรู้สึก การรับรู้ และการตอบสนองของสมองที่แตกต่างกันสามารถเปลี่ยน “อาคาร” ให้กลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่แท้จริงได้​จุดมุ่งหมายของ Neuroinclusive Design เพื่อสร้างพื้นที่ที่เข้าใจความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ไวต่อเสียง ผู้สูงวัยที่มีปัญหาด้านความจำ หรือแม้แต่คนทั่วไปที่มีรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน โดยหลักการสำคัญของแนวคิดนี้ คือการออกแบบที่ “ยืดหยุ่น” “ปลอดภัย” และ “ไม่ตัดสินความแตกต่าง” รวมทั้ง “ออกแบบให้เหมาะกับตัวเองได้” ซึ่งแนวคิดนี้มีการนำองค์ประกอบต่างๆ ทั้งความสว่างของแสง สีของแสง สี เฟอนิเจอร์ อุณหภูมิ เสียง ต้นไม้ หิน เส้นโค้ง เส้นตรง ผนัง กระจก และอื่นๆ อีกมากมาย คัดเลือกอย่างเข้าใจต่อการรับรู้ของระบบประสาท และนำมาออกแบบสภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้เกิด Neuroinclusive Design ขึ้นมา​แม้แนวคิดนี้อาจดูใหม่ และเป็นเชิงทฤษฎี แต่จริงๆ แล้วสามารถนำมาปรับใช้ในอาคารทั่วไปได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างเช่น การเลือกใช้โทนสีที่ไม่รบกวนประสาทสัมผัส เช่น สีเอิร์ธโทนหรือพาสเทล ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบ ลดความเครียด หรือการออกแบบให้อาคารมีระบบควบคุมแสงที่ยืดหยุ่น เช่น ไฟห้องที่ปรับระดับส่องสว่างได้ หรือม่านที่สามารถกรองแสงธรรมชาติได้ตามระดับที่ต้องการ​อีกหนึ่งตัวอย่างที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือการสร้าง “มุมเงียบ” ในพื้นที่เล็กๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือ หรืออยู่กับตัวเองโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียง หรือความวุ่นวายรอบตัวภายนอก โดยใช้การใช้วัสดุดูดซับเสียง เพื่อลดเสียงรบกวนในพื้นที่ที่มีการใช้งานหลายอย่างร่วมกับพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับเด็กที่มีสมาธิสั้น หรือผู้ใหญ่ที่ต้องการพักจากโลกภายนอก นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสที่อ่อนโยน เช่น ผ้าฝ้าย ไม้ หรือวัสดุที่ไม่สะท้อนแสง ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบาย และมั่นคงมากขึ้นหากต้องการออกแบบสถานที่ทำงานที่สร้างสภาพแวดล้อมช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น สามารถทำได้หลายแนวทาง เช่น การออกแบบเพดานเตี้ย ร่วมกับการมีแสงไฟที่ส่องสว่างโฟกัสไปที่โต๊ะทำงาน ช่วยให้รู้สึกจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายขึ้น ส่วนการเลือกโทนสีภายในสำนักงานก็มีผลต่อสมองเช่นกัน โดยการเลือกใช้สีโทนอุ่นสามารถช่วยลดความตึงเครียด ในขณะที่สีสดใสก็ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การใช้วัสดุที่มีผิวขรุขระ ไม่เป็นระเบียบ คู่กับผนังที่ใช้ลายเส้นซับซ้อนมาประดับ ก็ส่งเสริมให้เกิดการพูดคุย เพิ่มการสนทนาของเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้นเช่นกันการออกแบบอาคารสำนักงานแบบ Neuroinclusive ไม่ใช่เพียงแนวคิดเพื่อ “ความเข้าใจผู้ใช้งาน” เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเครียด และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจทุกคน เพราะ “พื้นที่ที่ดี” คือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง และทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าพวกเขาจะรับรู้โลกนี้ด้วยวิธีใดก็ตามเนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC

648 viewer

สีสันของดอกไม้​ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าที่เราคิด

โดย RISC | 5 เดือนที่แล้ว

“ดอกไม้” ในสายตาของใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ในธรรมชาติ พอบานแล้วก็ร่วงหล่น แต่จริงๆ แล้ว ดอกไม้กลับส่งผลต่อมนุษย์มากกว่านั้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของ “จิตใจ”​ สีสันของดอกไม้ไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามน่าดึงดูดใจต่อมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้อีกด้วย นั่นก็เพราะ สีแต่ละสีสามารถกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมของเราได้ โดยผ่านกลไกการรับรู้ของสมองและระบบประสาท​ จากงานวิจัยด้านจิตวิทยาสี (Color Psychology) ชี้ให้เห็นว่า สีส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ของเราอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากกลไกการประมวลผลของสมองที่ตอบสนองต่อสีโดยอัตโนมัติ จากงานวิจัยพบว่า "สีโทนร้อน" อย่างสีแดง สีส้ม และสีเหลือง มักกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้น ความสดใส และพลัง สีเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดึงดูดสายตา และกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความหลงใหล ความมั่นใจ และความสุข นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม "ดอกกุหลาบสีแดง" จึงถูกใช้เป็น "สัญลักษณ์ของความรัก" มาอย่างยาวนาน​ ในทางตรงกันข้าม "สีโทนเย็น" อย่างสีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง รวมถึงสีขาว มักเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเยียวยา สีเหล่านี้จึงมักถูกนำมาใช้ในสภาพแวดล้อมที่ต้องการลดความตึงเครียด หรือส่งเสริมความรู้สึกปลอดภัย และเป็นมิตรนั่นเอง​ การออกแบบพื้นที่สีเขียวอย่างใส่ใจ โดยการเลือกใช้พรรณไม้ และดอกไม้หลากสีสัน สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญใน "การฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจและร่างกาย" ผ่านการออกแบบสวนภายในบ้าน สนามเด็กเล่น หรือพื้นที่สาธารณะ การออกแบบบรรยากาศด้วยสีของดอกไม้ สามารถกระตุ้นพฤติกรรมเชิงบวก สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ และเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันได้ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของสถานที่ และส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสังคมเมืองในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และแรงกดดัน การมีพื้นที่ธรรมชาติเล็กๆ ที่ประกอบด้วยพืชพรรณหลากสี จึงช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของผู้คนที่ได้ผ่านไปผ่านมาในวันนั้นให้ดีขึ้นได้​ เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​ อ้างอิงข้อมูลจาก​Li, H., Zhang, X., Zhao, M., & Guo, S. (2023). Psychological and physiological responses to flower colors: Evidence from human experiments. Urban Forestry & Urban Greening, 80, 127871.​

1166 viewer

Eye Tracking เทคโนโลยีสู่การออกแบบ "เมืองน่าอยู่" และ "เมืองปลอดภัย"

โดย RISC | 5 เดือนที่แล้ว

Eye Tracking System หรือเทคโนโลยีระบบการติดตามสายตา ที่เราได้พูดถึงไปแล้วในเรื่องของ Neuromarketing (อ่านเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/40LGLjL) ซึ่งเราทราบกันดีว่าเทคโนโลยีนี้ เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน วงการโฆษณาและสื่อดิจิตัล เพื่อหาจุดที่สนใจเป็นพิเศษ หรือจุดที่ผู้คนมักมองเป็นส่วนใหญ่ ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มากกว่าการทำแบบสอบถามทั่วไป เข้าใจพฤติกรรมการรับรู้แบบอัตโนมัติของคนเรา แม่นยำ และง่ายต่อการนำมาพัฒนาต่อยอดในผลิตภัณฑ์​ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มมีการนำมาใช้ในหลากหลายวงการมากขึ้น รวมถึงการออกแบบเมือง (City Design) ​การออกแบบเมือง (City Design) ก็คือการวางแผน และออกแบบพื้นที่ของเมืองเพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการใช้งานพื้นที่, โครงสร้างพื้นฐาน, สิ่งแวดล้อม, เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างเมืองที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คน มีความน่าอยู่ มีประสิทธิภาพที่ดี และมีความยั่งยืน โดยการออกแบบเมืองมักใช้ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิชาสถาปัตยกรรมในการออกแบบเมือง ทำงานร่วมกับวิศวกร และรัฐบาล  ​เมื่อการออกแบบเมืองแบบเดิม ที่เป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมถูกนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยียุคใหม่ที่ไม่คาดคิดว่าจะสามารถใช้งานร่วมกันได้มาก่อนอย่าง Eye Tracking System เรามาลองดูกันว่าจะเป็นอย่างไร?​การออกแบบเมือง ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบป้ายบอกทาง ผ่านการมอง เพื่อปรับปรุงการออกแบบ ให้มีสีสัน ตัวอักษร รวมไปถึงการสร้างจุดสนใจให้กับสถานที่นั้นๆ​ตัวอย่างที่น่าสนใจเป็นความร่วมมือจาก Institute for Transportation Development Policy (ITDP) ร่วมกับเมือง Chelsea ใน Suffolk City, Boston ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดความสนใจคนในเมืองให้สังเกตเห็นป้ายรถเมล์บริเวณนี้มากขึ้น โดยทางเมืองได้เพิ่มลวดลายดอกไม้สีสันสดใสในบริเวณหน้าป้ายรถเมล์และที่นั่ง หลังจากนั้นจึงใช้เทคโนโลยี Eye Tracking ติดตามสายตา เพื่อดูพฤติกรรมการมอง พบว่า ในภาพด้านล่างที่มีสี Highlight เขียว-เหลือง-แดง บ่งบอกว่าบริเวณนั้นของภาพมีคนมองจากน้อยไปจนถึงมาก​ เราจะเห็นเลยว่า เมื่อเพิ่มจุดเด่นด้วยสีสันและลายดอกไม้ขึ้นมาให้กับบริเวณป้ายรถเมล์ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนให้รับรู้ถึงป้ายรถเมล์ และไปบริเวณนั้นได้มากขึ้น​นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีจากศาสตร์ด้านพฤติกรรมมาประยุกต์ใช้ร่วมกับอีกศาสตร์ด้านการออกแบบเมือง นับเป็นการสร้างจุดแข็งของเทคโนโลยีสู่การนำมาใช้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับบทความถัดไปจะเป็นเรื่องอะไร? ฝากติดตามได้ที่เพจนี้​เนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Biometrics + Bus Stops: What Eye Tracking + Facial Expression Analysis Reveal | The Genetics of Design​

891 viewer

ธรรมชาติกับการพัฒนาการของเด็กและความสัมพันธ์ของครอบครัว

โดย RISC | 8 เดือนที่แล้ว

เชื่อว่าหากเลือกได้ ใครหลายคนคงเลือกที่จะอยู่อาศัยท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติ ที่ได้ใกล้ชิดทะเล ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ หรือลำธารในทุกๆ วัน โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาว่าง หรือวันหยุดยาว​เพราะการได้สัมผัสธรรมชาติ ใกล้ชิดพื้นที่สีเขียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อตัวเราทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ความวิตกกังวล ลดภาวะซึมเศร้า อีกทั้งมีอายุยืนยาวมากขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจและโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกจากการได้รับแสงแดด รวมทั้งยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการสัมผัสจุลินทรีย์ในธรรมชาติ​ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยต่างๆ มากมายจากทั่วโลกที่สนับสนุนในเรื่องนี้ อย่างเช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Oxford Academic ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 20 จะช่วยลดอัตราความเครียดและภาวะซึมเศร้าลงได้ และหากอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 30 จะสามารถช่วยลดอัตราการวิตกกังวลลงได้อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไมเราถึงรู้สึกพึงพอใจต่อพื้นที่สีเขียว และรู้สึกโหยหาการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ​พื้นที่สีเขียวเพียงแค่ได้มองเห็นก็ช่วยให้เราผ่อนคลายแล้ว และจะดีแค่ไหน? หากสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้มีโอกาสทำกิจกรรม หรือใช้เวลาในพื้นที่ธรรมชาติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การนั่งเล่นพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน นับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีได้อย่างไม่ยากเลย​โดยกิจกรรมห้ามพลาดที่แนะนำให้ชวนทุกคนในครอบครัวมาทำร่วมกัน เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ได้แก่ กิจกรรมการทำสวน (Gardening) และกิจกรรมการเล่น (Play)​การทำสวน หรือปลูกต้นไม้ จะช่วยฝึกทักษะการเคลื่อนไหวควบคู่พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็กไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการขุดดิน พรวนดิน การดึงวัชพืช การเด็ดใบไม้ดอกไม้แห้ง การรดน้ำ นอกจากนี้ การทำสวนยังมีส่วนช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี โดยการทำสวนเพียง 30 นาที ก็สามารถช่วยลดระดับคอร์ติซอลจากระดับความเครียดสูง ลดลงสู่ระดับปกติได้​​ส่วนการเล่นนั้นมีประโยชน์กับคนทุกวัย นอกจากได้ในเรื่องความสนุกสนานแล้ว การเล่นก็ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการเข้าสังคม ซึ่งการเล่นในแต่ละรูปแบบ ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น​- Active Play: การวิ่งเล่น ปีนป่าย กระโดด กระดานลื่น ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทักษะการเคลื่อนไหว และการทรงตัว​- Sensory Play: ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การศึกษาลักษณะรูปทรงสีสันที่แตกต่างกันของพันธุ์ไม้ แมลงหลากสายพันธุ์ ฟังเสียงน้ำไหล ใบไม้ไหว เสียงนกบรรเลงเพลง การเก็บความสวยงามของธรรมชาติด้วยการถ่ายรูป หรือวาดรูป​- Social Play: การล้อมวงคุยกัน หรือการเล่นแบบกลุ่ม เป็นการสร้างทักษะการอยู่ร่วมกัน และการเข้าสังคม ​- Passive Play: การเดินเล่น นั่งเล่น ไกวเปล หรือเล่นกิจกรรมเบาๆ พักเหนื่อยจากการเล่นอื่นๆ และหากได้มีการพูดคุยกันระหว่างกิจกรรมก็จะช่วยฝึกทักษะการเข้าสังคม ร่วมด้วย​หากพื้นที่อยู่อาศัยของเรานั้นถูกแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวโดยรอบที่เอื้อให้เกิดกิจกรรมทางเลือกต่างๆ นับเป็นความโชคดีอย่างมาก เพราะการได้อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติในทุกวัน และมีกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน เป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กตามวัย เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับทุกคนทุกวัย ลดการเสื่อมถอยของร่างกายผู้สูงวัย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดความวิตกกังวลและความเครียด และเมื่อทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ผลลัพธ์ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ครอบครัวมีความเข้าใจกันมากขึ้นจากการได้บอกเล่า และรับฟัง เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวแน่นแฟ้น และมีความสุขมากขึ้นได้อีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Beyer, K. M., et al., Exposure to Neighborhood Green Space and Mental Health: Evidence from the Survey of the Health of Wisconsin, 2014.​Cox, D. T. C., et al., Doses of Neighborhood Nature: The Benefits for Mental Health of Living with Nature. Bioscience, 2017.​Elizabeth Pegg Frates, Time spent in green places linked with longer life in women, 2017.​James P, Hart JE, Banay RF, Laden F, Exposure to Greenness and Mortality in a Nationwide Prospective Cohort Study of Women, 2016.​Maureen Bennie, How Does Your Garden Grow? Mental Health, Wellness & Skills Development Through Gardening, 2020.​Rook, G.A.W. Regulation of the immune system by biodiversity from the natural environment: an ecosystem service essential to health, 2013.​Soga, M., et al., Health benefits of urban allotment gardening: improved physical and psychological well-being and social integration. International Journal of Environmental Research and Public Health, 2017.​Van Den Berg, A. E., & Custers, M. H., Gardening promotes neuroendocrine and affective restoration from stress. Journal of Health Psychology, 2011.​

1556 viewer

Quality Time ของครอบครัว ส่งเสริม Quality of Life

โดย RISC | 9 เดือนที่แล้ว

ผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ หลายท่านคงได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกับครอบครัว และคนที่เรารักอย่างเต็มที่ ถึงแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราทุกคนตั้งตาเฝ้ารอในทุกๆ ปี​เราทุกคนอาจให้คุณค่ากับ “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” รวมทั้งในมิติของเวลาด้วย เพราะการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ (Quality Time) นั้นให้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่าเวลาทั้งหมด (Quantity Time) ที่ถูกใช้ไป แต่อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถจัดสรรเวลาให้มีจำนวนชั่วโมงที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันเพิ่มมากขึ้น ก็ย่อมสร้างโอกาสสำหรับช่วงเวลาดีๆ ที่มีคุณภาพกับครอบครัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน​ครอบครัวที่อบอุ่น เข้มแข็ง มีความสัมพันธ์อันดี จะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง "มากเกินไป" กับ "ไม่เพียงพอ" ในการใช้เวลาร่วมกันได้ การรับประทานอาหารหรือทำอาหารร่วมกัน การนั่งเล่นพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่พบเจอในแต่ละวัน การเดินเล่นหรือออกกำลังกายด้วยกัน หรือแม้แต่การช่วยกันทำงานบ้าน ล้วนเป็นตัวอย่างของกิจกรรมครอบครัวที่สามารถทำได้ในทุกวัน อีกทั้งลูกๆ จะเรียนรู้การสร้างสมดุลในชีวิต เมื่อพวกเขาเห็นพ่อแม่จัดสรรเวลาให้กับครอบครัวได้ดีเป็นตัวอย่าง​การได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่มีความสำคัญอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีของวัยรุ่น ส่งผลต่อการมีทักษะทางสังคมที่ดีกับผู้อื่น เช่น ทักษะการสนทนา ทักษะการสร้างมิตรภาพ หรือทักษะการจัดการอารมณ์ อีกทั้งการใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่ตามลำพังจะช่วยส่งเสริมความภาคภูมิใจในตนเองได้อีกด้วย​นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างปู่ ย่า ตา ยาย และหลาน มักชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ครอบครัวที่แข็งแกร่ง การดูแลลูกหลานสามารถลดความเสี่ยงของความเหงา ผู้สูงอายุจะรู้สึกได้รับความไว้วางใจ อีกทั้งช่วยลดอาการซึมเศร้าในคนทั้งสองวัยได้เป็นอย่างดี ซึ่งตรงกับผลการศึกษาวิจัยจาก Boston College ที่รวบรวมข้อมูลจากปู่ ย่า ตา ยาย จำนวน 374 คน และหลานที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 356 คน ตลอดระยะเวลา 19 ปี (ค.ศ. 1985-2004)​แต่ด้วยภาระหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ และด้วยวิถีชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน ที่ไม่อาจส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวใหญ่เหมือนเดิมได้ การได้พบหน้า หรือทำกิจกรรมร่วมกันจึงเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งเท่าที่ควร ช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ จึงนับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะได้แสดงความรัก ความห่วงใย การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เสมือนได้รับการบำบัดจากครอบครัว (Family Therapy) เพื่อให้เราได้ชาร์จพลังให้แก่กัน เสริมแรงใจในการต่อสู้ต่อไป​สำหรับครอบครัวใดที่มีโอกาสอยู่พร้อมหน้ากัน หรือได้พบปะกันอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว คงจะเป็นการดีมากหากพื้นที่บ้านของเราเอื้อให้เกิดช่วงเวลาคุณภาพกับครอบครัวได้มากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมร่วมกัน และเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันโดยไม่ลดทอนความเป็นส่วนตัว และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากครอบครัวได้ใช้ช่วงเวลาที่มีคุณภาพด้วยกันในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น สวนภายในบ้าน สวนหย่อมในพื้นที่ส่วนกลาง หรือสวนสาธารณะต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้า กระตุ้นให้เด็กและผู้สูงอายุได้เคลื่อนไหวร่างกาย ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้กับเด็กๆ จากการที่ได้เล่นและเรียนรู้ธรรมชาติไปพร้อมกัน​แม้เทศกาลปีใหม่สิ้นสุดแล้ว แต่โอกาสสำคัญยังมีอีกตลอดทั้งปี ขอให้ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันในวันเด็กที่จะถึงนี้ อย่างมีคุณภาพ​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Ami Albernaz, The Boston Globe (December 14, 2015).​Danielle Cohen. Child Mind Institute (November 13, 2024).​Susan McHale, Penn State Social Science Research Institute (August 21, 2012).​Suzanne Pish, Michigan State University Extension (June 15, 2013).

1366 viewer

Neuromarketing กับการใช้เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้า เพื่องานการตลาด

โดย RISC | 11 เดือนที่แล้ว

จากโพสต์ที่แล้วเราได้รู้จัก "Neuromarketing" หรือการตลาดประสาทวิทยา (อ่านคอนเทนต์นี้ได้ https://bit.ly/40LGLjL) กันไปบ้างแล้ว ซึ่งนอกเหนือจากวิธีการติดตามการเคลื่อนไหวของดวงตา (Eye Tracking) และการวัดการตอบสนองทางผิวหนัง (GSR) แล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีที่นำมาใช้ที่น่าสนใจอีก อย่างเช่น การตรวจจับอารมณ์ทางสีหน้า​การตรวจจับอารมณ์ทางสีหน้ายังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่บางอารมณ์อาจไม่สามารถสื่อได้ผ่านคำพูดหรือการทำแบบสอบถาม ซึ่งเทคนิคสำคัญในการตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้า ก็มีตั้งแต่...​การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของจุดสำคัญบนใบหน้า (Action Units: AU)​Facial Action Coding System (FACS) ได้จำแนกการเคลื่อนไหวของใบหน้าออกเป็นหน่วย "Action Units" หรือการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน เช่น การยกคิ้ว (AU1) หรือการหรี่ตา (AU7) ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยให้ตีความอารมณ์ได้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้น อย่างเช่น การขมวดคิ้วอาจบ่งบอกถึงความสับสน ในขณะที่การยกแก้ม และยิ้มแสดงถึงความสุข​การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent: AI)​ด้วยความก้าวหน้าของ AI การใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบ Convolutional Neural Networks (CNNs) จะช่วยให้การตรวจจับอารมณ์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดย CNNs จะผ่านการเรียนรู้ข้อมูลใบหน้าจากกลุ่มคนที่หลากหลายที่มีการแสดงทางอารมณ์ที่มากมายและซับซ้อน ซึ่งสามารถระบุอารมณ์ได้อย่างแม่นยำ แม้ในสภาพแสงและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน​แล้วการนำเทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้าไปใช้ใน Neuromarketing นั้น โดยหลักๆ จะใช้ในด้านใดบ้าง?​- การประเมินอารมณ์ในงานอีเวนต์: การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามอารมณ์ของผู้ชมในงานอีเวนต์ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้จัดงานรับรู้ถึงความพึงพอใจ และระดับการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างยิ่งในอีเวนต์ขนาดใหญ่ เพราะการสำรวจความคิดเห็นแบบรายบุคคลทำได้ยาก​- การตอบสนอง และปรับปรุงโฆษณา: ในการทดสอบโฆษณา ผู้ประกอบการสามารถใช้การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเพื่อตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ต่อแคมเปญใหม่ๆ หากผู้ชมแสดงอารมณ์ความสุข ความประหลาดใจ หรือความไม่สนใจ สามารถปรับปรุงโฆษณา เพื่อเพิ่มอารมณ์เชิงบวก และลดอารมณ์เชิงลบได้​- การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้น่าดึงดูด: เมื่อมีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์หรือคุณสมบัติใหม่ สามารถใช้การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเพื่อประเมินการตอบสนองทางอารมณ์ตั้งแต่แรกเห็น โดยการปรับปรุงการออกแบบ สี หรือข้อความตามอารมณ์ของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งหากบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างอารมณ์ และความรู้สึกที่ดี ย่อมเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า​- การวัดความสนใจ และปรับปรุงร้านค้า: การเข้าใจการแสดงออกทางสีหน้าของลูกค้าในร้านค้าสามารถช่วยสร้างประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่ก่อให้เกิดอารมณ์เชิงบวก โดยข้อมูลจากการตรวจจับใบหน้าช่วยบอกว่าบริเวณใดของร้านค้าทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจ หรือสับสน เพื่อให้สามารถปรับปรุงการจัดวางได้​แม้การตรวจจับอารมณ์จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องความเป็นส่วนตัว เนื่องจากเทคโนโลยีการตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว บริษัทควรขอการยินยอมจากผู้ใช้อย่างชัดเจน และมีความโปร่งใสในการใช้งานข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงการแสดงทางอารมณ์ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี เช่น แสงสว่าง คุณภาพของกล้อง และสิ่งที่บดบังใบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด​ในโลกที่การตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากอารมณ์ การตรวจจับอารมณ์ผ่านทางสีหน้าจึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการ Neuromarketing ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจความรู้สึกของผู้บริโภคได้ ทำให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงของผู้บริโภค ซึ่งมีหลายหลายกลุ่มได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ​หากบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรใด สนใจในการทำ Neuromarketing สามารถติดต่อ RISC ได้ที่ ​RISC FB: https://www.facebook.com/riscwellbeing  ​หรือ RISC LINE Official: risc_center ​----------------------------------------------------​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC​

1594 viewer