Knowledge - RISC

Knowledge Materials & Resources

Materials & Resources

นวัตกรรมการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

CCUS หรือ กระบวนการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage เป็นแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานและที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ โดยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับจะถูกนำไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ใช้ในกระบวนการ Enhanced Oil Recovery เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันหลังจากการผลิตด้วยวิธีปกติ โดยฉีดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในหลุมน้ำมันเพื่อเพิ่มแรงดันและลดความหนืดของน้ำมัน ทำให้น้ำมันไหลออกมาได้ง่ายขึ้น หรือเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเคมีและวัสดุ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต นอกจากนี้คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับสามารถกักเก็บไว้ในชั้นหินทางธรณีวิทยาใต้ดิน (Geological Formation) เพื่อกักเก็บไว้ไม่ให้สร้างปัญหาภาวะโลกรวน (Climate Change)  จากความตั้งใจเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน อุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มมีบทบาทและนำแนวคิดใหม่ๆ มา ด้วยการใช้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์รูปแบบใหม่เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือทำให้คาร์บอนสุทธิเป็นลบ ด้วยการเพิ่มการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในวัสดุก่อสร้าง การก่อสร้างสามารถเปลี่ยนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์แทนได้วันนี้เรามาดูวัสดุและวิธีการที่ช่วยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการก่อสร้าง เพื่อเห็นแนวทางการรับมือของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างต่อภาวะโลกรวนอย่างมีประสิทธิภาพ การอัดฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ในคอนกรีต (Carbon-Cured Concrete)อีกหนึ่งวิธีการที่น่าจับตามองคือ การอัดฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ในคอนกรีต (Carbon-Cured Concrete) จากการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลือทิ้งมาอัดฉีดในคอนกรีต คาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับซีเมนต์เพื่อสร้างวัสดุนาโนแคลเซียมคาร์บอเนต และฝังอยู่ในเนื้อคอนกรีตอย่างถาวรเพื่อกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์[1] กระบวนการนี้สามารถลดน้ำหนักของคอนกรีตได้ 5-20% จากการอัดคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มกำลังรับแรงอัดอีกด้วย[2] โดยวิธีการนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ตรงจากแหล่งอุตสาหกรรม เช่น โรงไฟฟ้า หรือเตาเผาปูนซีเมนต์ และขนส่งไปยังโรงงานผสมคอนกรีตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์[3] [4] ผลที่ได้คือคอนกรีตที่บ่มด้วยคาร์บอนไดออกไซด์จะแข็งแกร่งขึ้นและลดปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon footprint)ผลิตภัณฑ์จากกระบวนการทำให้เป็นแร่ (Carbon Mineralization Products)นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักวิจัยที่ได้พัฒนาแนวทางการทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับมาแปรรูปให้เป็นแร่ในรูปคาร์บอเนตที่เป็นของแข็ง (solid carbonates) เพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ได้นำคาร์บอนไดออกไซด์มาแปรรูปโดยใช้การแช่น้ำเกลือเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมให้เป็นแคลเซียมและแมกนีเซียมคาร์บอเนต เพื่อทดแทนส่วนผสมของซีเมนต์หรือมวลรวม (Aggregates)[5]  โดยผลิตภัณฑ์จากกระบวนการทำให้เป็นแร่ดังกล่าวสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุประสาน (Binder) หรือมวลรวม (Aggregates) ในอุตสาหกรรมก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพระบบการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์แบบบูรณาการ (Integrated Carbon Capture Systems)นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology: MIT) ได้ออกแบบระบบไฟฟ้าเคมีเพื่อดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงซีเมนต์ และแปรรูปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO₃) ที่สามารถนำกลับไปผสมในกระบวนการผลิตคอนกรีตที่โรงงานได้[6]ชีวมวลและไบโอชาร์ (Biomass and Biochar)ชีวมวลจากพืชสามารถช่วยดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากการก่อสร้างได้ผ่านการใช้ไบโอชาร์ โดยไบโอชาร์เป็นวัสดุที่ประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งได้จากการเผาชีวมวล เช่น เศษไม้ ในสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำ นอกจากนี้ จากงานวิจัยพบว่าการนำไบโอชาร์มาผสมในคอนกรีตสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้คอนกรีตและในขณะเดียวกันช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากชีวมวลได้อย่างถาวร[7]วัสดุไม้ประกอบโครงสร้างอาคาร (Timber Construction)การใช้วัสดุไม้ประกอบอาคารเป็นอีกหนึ่งวิธีการลดคาร์บอนให้เป็นลบจากการก่อสร้างโดยตรง ต้นไม้ที่โตขึ้นจะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศผ่านการสังเคราะห์แสง และเก็บไว้ในเนื้อไม้ การใช้วัสดุไม้ประกอบอาคารจะช่วยกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ได้นานหลายสิบปี นอกจากนี้ จากการประเมินวัฏจักรชีวิตยังพบว่าอาคารไม้สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากวัสดุก่อสร้าง (Embodied Carbon) ได้ดีกว่าโครงสร้างเหล็กหรือคอนกรีต[8] และในปัจจุบันเทคนิคการใช้ไม้ประกอบอาคารแบบใหม่ยังสามารถสร้างอาคารไม้ได้ถึง 18 ชั้นอีกด้วย[9]ในปัจจุบัน การเอาชนะความท้าทายในการใช้การดักจับคาร์บอนในอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ตั้งแต่ปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon footprint) ในภาคอุตสาหกรรม ค่าใช้จ่าย และการใช้พลังงานที่สูง รวมถึงการตรวจสอบการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์แบบถาวรเพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร แม้ว่าวัสดุจากเทคโนโลยี CCUS เช่น การใช้วัสดุไม้ประกอบโครงสร้างอาคาร (Timber Construction) และไบโอชาร์จะเป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพ แต่คุณสมบัติในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของตัววัสดุเองก็ยังมีข้อจำกัด รวมถึงวัสดุที่มาจากเคมีภัณฑ์ เช่น การอัดฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ในคอนกรีต (Carbon-Cured Concrete) ยังจำเป็นต้องมีการประเมินมูลค่าด้านสิ่งแวดล้อมอย่างถี่ถ้วน ดังนั้น ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาการประยุกต์ใช้ CCUS ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในพื้นที่เมือง รวมถึงการวิจัยอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมด้านการเงิน การผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วม และการวางแผนการประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ การเอาชนะอุปสรรคความท้าทายนี้จะช่วยเปิดโอกาสสำหรับเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน ให้มีบทบาทสำคัญในการลดคาร์บอน์ในพื้นที่เมือง นำไปสู่ระบบสินทรัพย์จากการลดคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นลบ (Net Negative Emission Asset) ต่อไปเนื้อหาโดย ดิเฟย์ มิยาโอะ ที่ปรึกษาโครงการวิจัยเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS), ผู้เชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยี, RISC อ้างอิงข้อมูลจาก 1. Ravikumar, D., Zhang, D., Keoleian, G. et al. Carbon dioxide utilization in concrete curing or mixing might not produce a net climate benefit. Nat Commun 12, 855 (2021). (https://doi.org/10.1038/s41467-021-21148-w)2. Reuters. "Concrete traps CO2 from soaked air in climate-friendly test." Reuters, February 3, 2023. (https://www.reuters.com/business/sustainable-business/concrete-traps-co2-soaked-air-climate-friendly-test-2023-02-03/)3. American Chemical Society. "New Way to Capture and Recycle Carbon Dioxide from Industrial Emissions." ACS PressPac, August 2023. (https://www.acs.org/pressroom/presspacs/2023/august/new-way-to-capture-and-recycle-carbon-dioxide-from-industrial-emissions.html)4. Kulasuriya, C.; Vimonsatit, V.; Dias, W.P.S. Performance based energy, ecological and financial costs of a sustainable alternative cement. Journal of Cleaner Production 2021, Volume 287.5. La Plante, E.C.; et al. ACS Sustainable Chemistry & Engineering 2021, 9 (32), 10727-10739. 6. MIT News (2022). Cracking the carbon removal challenge. (https://news.mit.edu/2022/cracking-carbon-removal-challenge-verdox-0915)7. Mensah, R.A.; et al. Biochar-Added Cementitious Materials—A Review on Mechanical, Thermal, and Environmental Properties. Sustainability 2021, 13, 9336. (https://doi.org/10.3390/su13169336)8. Andersen, C.E.; et al. Embodied GHG Emissions of Wooden Buildings—Challenges of Biogenic Carbon Accounting in Current LCA Methods. Frontiers in Built Environment 2021, 7.9. Autodesk. "Mass Timber Construction." https://www.autodesk.com/design-make/articles/mass-timber-construction

493 viewer

เลือกใช้ฉนวนกันความร้อนแบบไหนถึง Well-being?

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

  จากบทความก่อน (https://bit.ly/49Perie) หลายคนคงได้เห็นแล้วว่า การติดตั้งฉนวนกันความร้อนสามารถช่วยลดอุณหภูมิอากาศภายในบ้าน รวมไปถึงลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้​มาถึงบทความนี้ เราจะมาดูตำแหน่งการติดตั้งฉนวนกันความร้อนกัน ว่าติดตรงไหนดี ติดตรงไหนเหมาะ? รวมทั้งการเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนแบบไหนจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด?​มาเริ่มที่ตำแหน่งที่ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนกันก่อน โดยตำแหน่งที่เหมาะสมจะเป็นตำแหน่งที่ได้รับความร้อนโดยตรง อย่างเช่น ความร้อนจากหลังคาร้อนที่สุด ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณใต้หลังคา ฝ้าเพดาน ซึ่งการเลือกควรเลือกใช้ฉนวนที่สามารถสกัดกั้นความร้อนได้ดี มีค่าการสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (K-Value) ต่ำๆ รวมทั้งสามารถสะท้อนความร้อนออกไปได้ เช่น ฉนวนกันความร้อนที่ปิดผิวด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยส์ มีน้ำหนักเบา กันความชื้นได้ดี กันไฟลาม ไม่ยุบตัว และประสิทธิภาพยาวนาน รวมถึงทนต่อการกัดแทะของหนูและแมลงต่างๆ ได้ อีกจุดที่ต้องใส่ใจก็คือ บริเวณรอยต่อหรือช่องว่างของบ้านที่อากาศร้อนภายนอกสามารถไหลเข้ามาภายในบ้านได้ อย่างเช่น ระหว่างผนัง ช่องว่างของประตูหน้าต่าง โดยควรเลือกฉนวนกันความร้อนชนิดที่สามารถกรุในช่วงว่างระหว่างผนังได้ เช่น โฟมเซลล์ปิด เส้นใยสังเคราะห์ เส้นใยธรรมชาติ หรือยางสังเคราะห์ ซึ่งค่าการสัมประสิทธิ์การนำความร้อนและความหนาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของฉนวนเป็นอย่างมาก ยิ่งหนาก็ยิ่งต้านทานความร้อนได้ดี กันความร้อนได้ดีไปด้วย นอกจากนี้ฉนวนนอกจากจะมีคุณสมบัติการกันความร้อนแล้ว ยังมีคุณสมบัติยังมีในการกันและดูดซับเสียง สามารถกันและลดความดังของเสียง ทะลุผ่านจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งได้ด้วย​สำหรับการเลือกใช้ฉนวนกันความร้อน ควรเลือกฉนวนที่ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย ไม่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน (Asbestos) หรือการปนเปื้อนสารพิษอันตรายอื่นๆ เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม และยังต้องทนต่อความชื้น ไม่เกิดเชื้อรา ปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในระดับต่ำ ซึ่งสังเกตได้จากฉลากที่ระบุคำว่า Low VOCs หรือ Zero VOCs นอกจากนี้ต้องไม่ลามไฟหรือดับไฟได้เอง รวมทั้งไม่ปล่อยสารอันตรายจากการเผาไหม้ และที่สำคัญสุดต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น ผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติหรือวัสดุรีไซเคิล สามารถรีไซเคิลหรือหลังจากหมดอายุการใช้งาน รวมไปถึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​

822 viewer

ฤดูร้อนนี้ไม่ต้องยืนมองฟ้า แค่หา "ฉนวนกันความร้อน" มาใช้

โดย RISC | 4 เดือนที่แล้ว

ต้องยอมรับว่า อากาศช่วงนี้ร้อนทะลุปรอทจริงๆ นี่เพียงแค่เดือนมีนาคม ยังไม่เข้าเดือนเมษายนเลยด้วยซ้ำ หลายคนคงเริ่มคิด พอถึงตอนนั้นเราจะอยู่กันอย่างไร?​ปัญหาสำคัญในช่วงหน้าร้อนไม่ได้มีแค่เรื่องของอุณหภูมิอากาศ เพราะผลจากอากาศที่มีอุณหภูมิร้อนขึ้นภายในบ้าน ทำให้ค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นตามมาด้วย ทั้งจากการเปิดพัดลม เครื่องปรับอากาศ หรือตู้เย็นเวลาที่เราหาของเย็นๆ มาคลายร้อน แต่ในความเป็นจริง อากาศที่ร้อนภายในบ้านเราสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” นั่นเอง​ฉนวนกันความร้อน (Thermal Insulation) เป็นวัสดุที่ช่วยลด หรือชะลอ หรือสกัดกั้นการเคลื่อนที่ของความร้อนจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนใหญ่มักทำมาจากวัสดุที่มีความสามารถในการนำความร้อนต่ำ มีโครงสร้างเป็นรูพรุน ด้านในเต็มไปด้วยฟองอากาศมากมาย ซึ่งจะช่วยลดการเคลื่อนที่ของความร้อนทั้งจากการนำความร้อนและการพาความร้อน ทำให้ความร้อนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปยังอีกด้านหนึ่งได้ นอกจากนี้ ฉนวนกันความร้อนบางชนิดยังสามารถสะท้อนความร้อนกลับได้ด้วย ส่วนการติดตั้งฉนวนกันความร้อน จะติดตั้งบริเวณใต้หลังคา บนฝ้าเพดาน ระหว่างผนัง หรือช่องว่างของประตูหน้าต่าง​ฉนวนกันความร้อน มีประโยชน์อย่างมากในการลดการเคลื่อนที่ของความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้าน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เมื่ออากาศร้อนเคลื่อนที่เข้าสู่ภายในบ้านจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก ส่งผลให้เพิ่มปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงตามไปด้วย การติดตั้งฉนวนจะช่วยลดการเคลื่อนที่ของอากาศร้อนเข้าสู่ภายในบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านมีอุณหภูมิไม่สูงขึ้นตามอากาศภายนอก นอกจากนี้ ในต่างประเทศในช่วงฤดูหนาว ยังช่วยลดการเคลื่อนที่ของความร้อนภายในบ้านออกสู่ภายนอก ช่วยคงและรักษาอุณหภูมิภายในห้องไว้ ทำให้ภายในบ้านยังคงมีอุณหภูมิอากาศที่อบอุ่นฉนวนกันความร้อนมีมากมายหลายชนิด ทั้งที่ทำจากยางสังเคราะห์ เส้นใยสังเคราะห์ เส้นใยหิน โฟมพอลิเมอร์ หรืออลูมิเนียมฟอยส์ แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีค่าการนำความร้อน (Thermal Conductivity; K value) ต่ำ หรือค่าการต้านทานความร้อน (Thermal Resistance ; R value) สูง เพื่อลดการเคลื่อนที่ของความร้อนที่เข้าสู่ภายในบ้านให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญต้องเป็นวัสดุที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ทนต่อความชื้น และการเกิดเชื้อรา รวมทั้งไม่ลามไฟหรือปล่อยสารอันตรายจากการเผาไหม้​ปัจจุบันกระแส Eco ยังคงมาแรง ทำให้มีการให้ความสำคัญกับเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนจากวัสดุธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เช่น ฉนวนจากเซลลูโลส ฟางข้าว กัญชง ไม้โอ๊ค หรือจากเห็ดรา (ไมซีเลียม) เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำหรือติดลบ ซึ่งเป็นจำเป็นอย่างมากสำหรับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างเพื่อการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Materialอ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.energy.gov/energysaver/insulation

1033 viewer

ส่อง 5 เทรนด์วัสดุรักษ์โลก 2024

โดย RISC | 6 เดือนที่แล้ว

RISC ชวนเพื่อนๆ ส่อง 5 เทรนด์วัสดุรักษ์โลก อย่างที่เราทราบกัน ไม่ว่าจะในวงการแฟชั่น รถยนต์ หรือเทคโนโลยี ต่างก็มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในทุกๆ ปี ซึ่งไม่ต่างอะไรกับในฝั่งของสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ก็จะมีเทรนด์ใหม่ๆ หมุนเวียนมาโดยตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะกระแสรักษ์โลก ลดโลกร้อน รักสุขภาพที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ ทำให้การเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างมีมุมมองที่เปลี่ยนไป​งั้นวันนี้ชวนเพื่อนๆ มาส่อง 5 เทรนด์วัสดุรักษ์โลกสำหรับการออกแบบสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างในในปี 2024 กัน ว่ามีแนวไหนบ้าง...​• วัสดุที่มาจากท้องถิ่น (Locally Sourced Material) การใช้วัสดุท้องถิ่นที่ผลิตได้ในประเทศ เป็นหัวใจสำคัญในการช่วยลดการปล่อยมลพิษ Carbon Footprint จากการขนส่งจากต่างประเทศได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อีกด้วย​• วัสดุรีไซเคิล (Recycled Material) การนำเศษวัสดุก่อสร้างหรือขยะจากการก่อสร้าง นำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำมาเป็นส่วนผสมในกระบวนการผลิต รวมทั้งการใส่ไอเดียและนวัตกรรมต่อยอดแปลงเป็น Upcycled Material ก็สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เช่นกัน นอกจากจะช่วยลดขยะที่จะไปยังหลุมฝังกลบ ก็ยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย​• วัสดุชีวภาพ (Bio-base Material) วัสดุที่มาจากธรรมชาตินี้เริ่มเป็นที่นิยมและมีการวิจัยและพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมากขึ้น เช่น ไม้ ไม้ไผ่ อิฐไมซีเลียมที่ทำมาจากเชื้อรา หรือแม้แต่กัญชง (Hemp) เพราะวัสดุที่ผลิตมาจากชีวภาพนั้น เป็นวัสดุที่สามารถปลูกขึ้นมาทดแทนใหม่ได้เรื่อยๆ มีความยั่งยืนกว่าพวกคอนกรีต ที่ไม่สามารถสร้างภูเขาขึ้นมาทดแทนได้ และวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาตินี้ยังส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยด้าน Mental Health อีกด้วย​• วัสดุอัจฉริยะ (Smart Material) เป็นการพัฒนาวัสดุให้มีคุณสมบัติดีขึ้น อย่างเช่น คอนกรีตที่ซ่อมแซมตัวเองได้ ผนังอาคารที่ปรับเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิและแสง และกระเบื้องมุงหลังคาที่ประหยัดพลังงาน ทั้งหมดนี้กำลังกลายเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากขึ้นในอนาคต• วัสดุที่ดีต่อสุขภาพ (Health Material) วัสดุล้วนมีผลกระทบต่อผู้อยู่ภายในอาคาร หากเข้าใจจะเลือกคุณสมบัติที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ได้แก่ วัสดุ Non-Toxic สารพิษต่ำ, วัสดุ Low VOC , วัสดุลดการสะสมของฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรีย หรือจะเป็นวัสดุที่ช่วยทำให้คุณภาพอากาศและสภาพแวดล้อมภายในอาคารมีคุณภาพที่ดี อย่างสีฟอกอากาศ กระเบื้องต้านไวรัส ผ้าม่านลดการสะสมของฝุ่น ซึ่งเทรนด์วัสดุด้านสุขภาพนี้เป็นเทรนด์ที่ยังคงได้รับความสนใจและมีวัสดุใหม่ๆ ในท้องตลาดที่เน้นเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง  ​แน่นอนว่า วัสดุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน งบประมาณ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และวิสัยทัศน์ของเจ้าของโครงการและนักออกแบบ อย่างไรก็ตาม เทรนด์วัสดุแนวรักษ์โลกนี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของโลกในการใช้วัสดุที่มีความยั่งยืน สร้างสรรค์ และมุ่งเน้นเรื่องสุขภาพ For All Well-Being ในการออกแบบสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพกันมากขึ้นนั่นเองเนื้อหาโดย คุณ ทิพทับทิม สรรเพชุดาศิลป์ สถาปนิกวิจัยอาวุโส, Sustainable Building Materials, RISC​

1690 viewer

ส่งท้ายปีนี้ ด้วยการมอบของขวัญแนวรักษ์โลก

โดย RISC | 7 เดือนที่แล้ว

นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ หากใครกำลังมองหาของขวัญอยู่ ลองมาเปลี่ยนเป็นของขวัญแนวรักษ์โลกมากขึ้นกันดีมั้ย?​เทรนด์เรื่อง Climate Change หรือภาวะโลกเดือดนั้นเป็นเรื่องที่ทุกๆ คนให้ความสำคัญ การจะเลือกซื้อของขวัญสักอย่างนึงนั้น จึงอาจต้องหันมานึกถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อไม่ให้ของขวัญนั้น กลายเป็นขยะและภาระให้กับโลกของเรา​ไอเดียของขวัญปีใหม่ประเภทเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านแนวรักษ์โลก จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันพวกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านแนวรักษ์โลกนั้น กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นของที่มีประโยชน์ สามารถใช้งานได้ยาวนาน สร้างความสวยงามและบรรยากาศที่อบอุ่นให้กับบ้านแล้ว แนวคิดในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แนวรักษ์โลกแต่ละชิ้นนั้น นักออกแบบต้องให้ความสำคัญและพิถีพิถันกับทุกๆ ส่วน ตั้งแต่กระบวนการออกแบบ, การเลือกใช้วัสดุ กระบวนการผลิต ไปจนถึงวิธีการกำจัดหลังใช้งานไม่ได้แล้วอีกด้วย โดยอาจจะออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลต่อ หรือผลิตให้ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อสร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดการเลือกควรจะเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์เรียบง่าย เน้นการใช้งานเป็นหลัก และผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การแต่งบ้านออกมายั่งยืนมากที่สุด อย่างเช่น ​- วัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติ เช่น ไม้ เพราะเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติที่แข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ แต่ควรเลือกแหล่งที่มาของเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ป่าปลูก (FSC) ซึ่งเป็นไม้ปลูกขึ้นสำหรับการใช้งานโดยเฉพาะ หรือเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้รีไซเคิล  ​- วัสดุรีไซเคิล หรือของตกแต่งบ้านที่มาจากการรีไซเคิล เพื่อลดการใช้ทรัพยากรใหม่ ลดขยะพลาสติก เช่น Upcycling Carpet พรมที่ผลิตมากจากขยะขวดพลาสติก หรือเลือกพลาสติกที่มีส่วนผสมของวัสดุธรรมชาติที่ทำให้ย่อยสลายได้ หรือ Upcycling Product ของแต่งบ้านต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจเช่นกัน ​- วัสดุท้องถิ่น เช่น หวาย ไม้ไผ่ หรือเครื่องสานต่างๆ เพราะนอกจากจะช่วยลด Carbon Footprint เรื่องของการขนส่ง (Transportation) และกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยสนับสนุนการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนอีกด้วย ​- วัสดุที่มีสารพิษต่ำ สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ อย่างกาว แลคเกอร์ หรือสีย้อมไม้ มักจะมีองค์ประกอบของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และยูเรียฟอมาลดีไฮล์ (Urea Formaldehyde) ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราอีกด้วย การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีสารพิษต่ำ หรือผ่านเกณฑ์ European formaldehyde emission standards : Low formaldehyde furniture รับรอง จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม​นอกจากนี้ ยังมีวัสดุแต่งบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเครื่องใช้ในครัวเรือนที่ทำมาจากไม้ยางพารา ที่เป็นไม้เศรษฐกิจของไทย ผ้าปูที่นอนจากผ้าฝ้ายออร์แกนิก หมอนจากใยฝ้ายรีไซเคิล หรือผ้าม่านจากผ้าลินินธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า และผลิตภัณฑ์แนวออร์แกนิกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกมาให้เราเลือกมากมาย​RISC หวังว่าคอนเทนต์นี้จะเป็นไอเดียในการเลือกซื้อของขวัญปีใหม่ ประเภทเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านแนวรักษ์โลก เพื่อให้ของขวัญชิ้นนี้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ยาวนานและยั่งยืนที่สุด ไม่รีบกลายเป็นขยะและสร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อม สุขใจทั้งผู้ให้ ผู้รับ และโลกของเราไปด้วยกันเนื้อหาโดย คุณ ทิพทับทิม สรรเพชุดาศิลป์ สถาปนิกวิจัยอาวุโส, Sustainable Building Materials, RISC​

560 viewer

SAND CRISIS วิกฤติทรายกำลังจะหมดโลก

โดย RISC | 8 เดือนที่แล้ว

เราเคยจินตนาการกันหรือมั้ย?...ถ้าวันหนึ่ง “ทราย” หมดไปจากโลกนี้จะเป็นอย่างไร?​เมื่อปีที่แล้ว UNEP ได้ออกมาประกาศเตือนว่า เราจะกำลังจะเผชิญกับ “วิกฤติทรายกำลังจะหมดโลก ซึ่งเป็นหายนะใหม่ที่มนุษย์ต้องเตรียมรับมือ” คำถามที่ตามมาคือ ทรายกำลังจะหมดจริงๆ เหรอ แล้ววิกฤตินี้จะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร?​“ทราย” เป็นแร่ที่ถูกขุดมากกว่าแร่ใดๆ ในโลก เพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในทุกๆ อุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกระจก ขวดแก้ว อิเล็กทรอนิกส์ ชิป สมาร์ทโฟน รวมทั้งเครื่องสำอาง อย่างในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทรายถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผสมคอนกรีตและซีเมนต์ หรือแม้แต่การทำถนนยางมะตอย (Asphalt) ด้วย​วิกฤตินี้จึงส่งผลกระทบ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้าง นั่นก็เพราะ...​ในแต่ละปี จะมีการนำทรายไปใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมากถึง 40-50 พันล้านเมตริกตัน ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นถึง 300% ในเวลาเพียง 20 ปี และมีแนวโน้มที่ความต้องการจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการขยายตัวของเมือง การเติบโตของประชากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน​หากเรายังคงใช้ทรายแบบไม่ระวัง ถ้าโลกนี้ขาดแคลนทรายจะเกิดอะไรขึ้น?​อย่างแรกเลยคือ ระบบนิเวศเสียสมดุล เพราะในเม็ดทรายมีสารอาหารสำคัญต่อการเติบโตของสิ่งมีชีวิต ทั้งนกและปลาทะเลหลายชนิด ที่ก่อให้เกิดห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศ นอกจากนี้ ทรายยังสำคัญต่อการรักษาสมดุลของน้ำด้วย หากถูกขุดออกไปมากเกินไป พื้นที่รองรับน้ำจะเสียสมดุล ส่งผลให้น้ำท่วมถี่ขึ้น และรุนแรงมากกว่าเดิม​อย่างที่สองคือ ส่งผลต่ออุตสาหกรรมหลายชนิดที่ใช้ทรายเป็นองค์ประกอบ โดยเฉพาะการก่อสร้าง อาคารส่วนใหญ่สร้างมาจากคอนกรีตที่มีทรายเป็นวัตถุดิบหลัก ถ้าเรายังสร้างอาคารแบบเดิมในอนาคตอาจจะไม่มีทรัพยากรหลงเหลือให้ใช้สร้างอาคารแล้ว​แล้วเราจะปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างไร?​เพื่อชะลอวิกฤตินี้ เราต้องปรับวิธีการก่อสร้างแบบเดิมๆ เป็นเปลี่ยนกระบวนการใหม่ พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้เราสามารถลดการใช้ทรายให้น้อยลง อย่างเช่น การนำคอนกรีตเก่าที่ถูกทุบทิ้งกลับมาใช้ใหม่ โดยบดย่อยให้เป็นมวลรวมขนาดเล็กทดแทนทราย รวมถึงมองหาวัสดุทางเลือกและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการก่อสร้าง เพื่อลดการใช้คอนกรีตให้น้อยลง อย่างเช่น อาคารโครงสร้างไม้ (Timber Construction) ก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่อาจจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในการก่อสร้างในอนาคต ท่ามกลางทรัพยการธรรมชาติที่กำลังจะหมดไป นั่นก็เพราะว่าเราปลูกทรายขึ้นมาใหม่ไม่ได้ แต่เราสามารถปลูกป่าขึ้นมาใหม่ได้​เนื้อหาโดย คุณ ทิพทับทิม สรรเพชุดาศิลป์ สถาปนิกวิจัยอาวุโส, Sustainable Building Materials, RISC​

853 viewer

Biochar นวัตกรรมกักเก็บคาร์บอนที่น่าจับตามอง

โดย RISC | 8 เดือนที่แล้ว

คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ถ่าน” แท่งไม้ก้อนดำๆ ที่เรานำมาใช้เชื้อเพลิงหุงต้ม ปิ้งย่าง ทำอาหารต่างต่างนานา ส่งควันฟุ้งไปทั่ว แต่...รู้หรือไม่? ยังมีถ่านอีกชนิด ที่กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามอง ว่าจะสามารถช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศได้​อ่านถึงตรงนี้แล้วอาจจะงง งั้นเรามารู้จักถ่านที่ว่านั้นกัน​“ไบโอชาร์” (Biochar) เป็นถ่านชีวภาพที่ประกอบไปด้วยคาร์บอน โดยได้จากการนำชีวมวล เศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น กิ่งไม้ เปลือกไม้ ฟางข้าว หรือซังข้าวโพด มาผ่านกระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) ซึ่งเป็นการเผาที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่ 500-1000 องศาเซลเซียส ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน ทำให้ได้ถ่านชีวภาพที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสูง มีโครงสร้างเป็นรูพรุน และมีเสถียรภาพ เนื่องจากชีวมวลดังกล่าว ทั้งกิ่งไม้ เปลือกไม้ ฟางข้าว สามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้จากปฏิกิริยาการสังเคราะห์แสง เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของพืช และเมื่อล้มตาย เกิดการเน่าเปื่อย ย่อยสลาย ก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศอีกครั้ง การที่เปลี่ยนชีวมวลให้อยู่ในรูปไบโอชาร์ จึงเหมือนเป็นการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้ ไม่ให้ปล่อยออกสู่บรรยากาศได้อีกนั่นเอง​ไบโอชาร์ มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 2 tonCO₂/ton จึงทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื่องจากซีเมนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตคอนกรีต ซึ่งมีการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างกระบวนการผลิตสูงมาก อีกทั้งคอนกรีตยังเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารอีกด้วย จึงได้มีการใช้ไบโอชาร์ที่เป็นวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นลบ มาเป็นส่วนผสมในการผลิตคอนกรีต ไม่ว่าจะเป็นการทดแทนการใช้ปูนซีเมนต์ หรือใช้ทดแทนส่วนเสริมแรง จำพวกหิน ทราย ทำให้คอนกรีตที่ได้มีค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดน้อยลง หรือทำให้มีค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นลบ เมื่อใส่ไบโอชาร์ในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้ ยังช่วยปรับปรุงสมบัติบางอย่างให้ดีขึ้น เช่น ความแข็งแรงเชิงกล การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งความเป็นฉนวนกันเสียง​ไม่เพียงแค่นี้ ไบโอชาร์ ยังถูกนำมาใช้เป็นวัสดุดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย เนื่องจากโครงสร้างที่เป็นรูพรุน และมีพื้นที่ผิวสูง ทำให้สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เก็บไว้ในโครงสร้างที่มีรูพรุนได้ นอกจากนี้ การปรับปรุงพื้นผิวของไบโอชาร์ด้วยสารเคมีจำพวกไฮดรอกไซด์ (Hydroxide) หรือเอมีน (Amine) ก็ยังทำให้เพิ่มความสามารถในการดูดซับบริเวณพื้นผิว ให้มีความจำเพาะมากขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าเดิม ​วัสดุชีวมวล เศษเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตร ที่ถูกมองว่าเป็นขยะไร้ค่า หากนำมาวิจัยและพัฒนาให้เกิดประโยชน์ ก็อาจกลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้โลกใบนี้ให้กับเราได้​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​Zhang, Y., He, M., Wang, L. et al. Biochar as construction materials for achieving carbon neutrality. Biochar 4, 59 (2022).​Biochar as a building material: Sequestering carbon and strengthening concrete, https://www.nrel.gov/docs/fy22osti/82445.pdf​Shifang Guo, Yuqing Li, Yaru Wang, Linna Wang, Yifei Sun, Lina Liu, Recent advances in biochar-based adsorbents for CO2 capture. Carbon Capture Science & Technology, 4 (2022).​

3244 viewer

อิฐทนไฟที่มาจากขยะก้นบุหรี่

โดย RISC | 9 เดือนที่แล้ว

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ระบุไว้ว่า ในปี 2564 ประชากรไทยอายุตั้งแต่อายุ 15 ปี ขึ้นไป จำนวน 57 ล้านคน มีผู้สูบบุหรี่กว่า 9.9 ล้านคน ซึ่งถ้ามองในเรื่องสุขภาพก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วง แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่ายังมีมากกว่านั้น​เรื่องของการสูบบุหรี่ไม่ได้มีเพียงมุมเดียว เพราะทุกครั้งที่มีการสูบบุหรี่จะเกิดขยะที่มาจากการสูบบุหรี่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยประเทศไทยเรานั้นมีขยะก้นบุหรี่สูงถึงปีละ 2.5 พันล้านชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งขยะก้นบุหรี่จำนวนมหาศาลเหล่านี้ถูกทิ้งอย่างกลาดเกลื่อนในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเท้า ท้องถนนสวนสาธารณะ รวมถึงบริเวณชายหาด ซึ่งส่งผลเสียต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึง และเรามักจะมองข้ามความอันตรายของมันไป เพราะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้จนชินตา​แต่เรารู้หรือไม่ว่า ขยะก้นบุหรี่เหล่านี้ประกอบไปด้วยสารเคมีที่เป็นสารก่อมะเร็งมากมาย อย่างเช่น ท็อกซิน นิโคติน สารหนู ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อขยะก้นบุหรี่ตกค้างในแหล่งน้ำ ก็จะทำให้น้ำสะอาดเป็นพิษ ส่งผลกระทบต่อจุลินทรีย์ และสัตว์น้ำต่างๆ เมื่อตกค้างในดิน ก็ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และผลเสียต่อสัตว์หน้าดิน รวมถึงผู้ล่าตามห่วงโซ่อาหาร และยังรวมถึงตัวมนุษย์เองด้วย สารพิษเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายจากการบริโภคน้ำดื่ม เนื้อสัตว์ หรือพืชผักต่างๆ ที่ปนเปื้อนได้ นอกจากนี้ เซลลูโลสอะซิเตต ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตบุหรี่ แม้ว่าจะเป็นพลาสติกที่ผลิตได้จากพืช แต่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยสลายยาวนานเกือบ 10 ปี ทำให้เป็นขยะตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม​ที่ผ่านมา หลายๆ ประเทศมีความพยายามอย่างมากที่จะจัดการกับปัญหาขยะจากก้นบุหรี่ โดยต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม​นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย RMIT ประเทศออสเตรเลีย ได้ศึกษาการนำขยะก้นบุหรี่ไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอิฐทนไฟ พบว่าการเติมขยะก้นบุหรี่ลงไป 1% โดยน้ำหนัก ทำให้อิฐทนไฟที่ได้มีความแข็งแรงเทียบเท่าอิฐทั่วไป แต่มีน้ำหนักเบาลง ค่าการนำความร้อนลดลง ทำให้ใช้งานเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี ช่วยลดการใช้พลังงานภายในอาคารได้ และลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต เนื่องจากเซลลูโลสอะซิเตตจากขยะก้นบุหรี่ มีค่าความร้อนสูงกว่าดินเหนียว ทำให้ใช้พลังงานในการเผาอิฐน้อยลง นอกจากนี้ ยังไม่ต้องกังวลถึงสารเคมีอันตรายในก้นบุหรี่ที่จะปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเมื่ออิฐทนไฟเกิดการเผาไหม้ สารเคมีเหล่านั้นจะถูกกักขังอยู่ในโครงสร้างของอิฐที่มีรูพรุน ไม่หลุดออกสู่ภายนอก ซึ่งงานวิจัยนี้ยังชี้ให้เห็นว่าการผลิตอิฐทนไฟจากขยะก้นบุหรี่เพียงแค่ 2.5% ของอิฐทนไฟทั่วไป จะสามารถกำจัดขยะก้นบุหรี่ที่ถูกสร้างขึ้นในแต่ละปีได้​จริงอยู่ที่มีนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยลดปัญหาขยะก้นบุหรี่ แต่การทิ้งก้นบุหรี่ก็ควรทิ้งในที่ที่ถูกจัดวางไว้ให้ ไม่ควรทิ้งในพื้นที่สิ่งแวดล้อม เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นตัวมนุษย์เองที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Materialอ้างอิงข้อมูลจาก​https://phys.org/news/2020-09-cigarette-butts-recycled-bricks-step-by-step.html​Mohajerani, A.; Qun Hui, S.; Shen, C.; Suntovski, J.; Rodwell, G.; Kurmus, H.; Hana, M.; Rahman, M.T. Implementation of Recycling Cigarette Butts in Lightweight Bricks and a Proposal for Ending the Littering of Cigarette Butts in Our Cities. Materials 2020, 13, 4023. https://doi.org/10.3390/ma13184023​https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=22385&deptcode=brc&news_views=1559​https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/173199

1703 viewer

มารู้จักฉนวนใยไม้คาร์บอนต่ำกัน

โดย RISC | 10 เดือนที่แล้ว

Net Zero Emission 2050 เป้าหมายใหญ่ของโลกที่จะลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ภายในปี 2050 ที่ทุกวงการกำลังวางเป้าเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น โดยเฉพาะวงการอุตสาหกรรมการก่อสร้าง​อย่างที่เราทราบกันดีว่า อุตสาหกรรมการก่อสร้างนั้นเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งตัวการสำคัญก็คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Embodied Carbon และ Operation Carbon โดย Embodied Carbon นั้นเป็น Key สำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ โดยเฉพาะอาคารที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่ จำเป็นต้องมีทิศทางการออกแบบและก่อสร้างให้ Embodied Carbon ต่ำที่สุด แล้วทำไมเราถึงควรพุ่งเป้าไปที่การลด Embodied Carbon? ​Embodied Carbon คือ คาร์บอนที่มาจากวัสดุก่อสร้าง ซึ่งถือว่าเป็นต้นน้ำของการก่อสร้าง หากเราตั้งต้นสร้างอาคารด้วยวัสดุที่มีคาร์บอนต่ำแล้ว ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วนั่นเอง ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายได้พยายามพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ ให้มีการปลดปล่อยคาร์บอนที่ลดลง หรือที่เรียกว่า วัสดุคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Material) ออกมาให้เป็นทางเลือกในการใช้งานมากขึ้น สำหรับวัสดุก่อสร้างทางเลือกที่น่าสนใจ ที่จะหยิบยกมาพูดถึงกันในวันนี้คือ “ฉนวนใยไม้คาร์บอนต่ำ”​“ฉนวนใยไม้คาร์บอนต่ำ” เป็นฉนวนที่ทำมาจากเส้นใยไม้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแผ่นใยไม้ฉนวนชั้นเดียวที่มีความหนาสูงสุด 240 มม. จากส่วนผสมเพียง 2 ชนิด คือ เส้นใยไม้สนที่ได้มาจากป่าปลูกยั่งยืน (Forest Stewardship Council, FSC) ในภูมิภาค และเกลือแอมโมเนียมที่ใช้เป็นสารหน่วงไฟ และเป็นวัสดุที่ได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด ทำให้สามารถย่อยสลายได้ ซึ่งฉนวนใยไม้คาร์บอนต่ำนี้ได้ใบรับรองจาก Natureplus© ว่าเป็นระบบฉนวนที่ปลอดภัยทางชีวภาพของยุโรป นอกจากนี้ยังผ่านเกณฑ์วัสดุคาร์บอนต่ำมี EPD Certificated (Environmental Product Declaration, EPD) อีกด้วย ผลิตภัณฑ์ฉนวนใยไม้นี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกๆ ส่วนของอาคาร สามารถพิจารณาค่าคุณสมบัติ และเลือกใช้งาน Application ตามความเหมาะของ Function ที่ต้องการใช้งานได้เลย แล้วทำไมฉนวนใยไม้ถึงมีคาร์บอนต่ำกว่าฉนวนประเภทอื่นๆ ?​เพราะว่าฉนวนนี้ทำมาจากใยไม้ล้วนๆ ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้ ใช้ไม้จากป่าปลูกยั่งยืน ทำให้เมื่อคำนวณค่า Embodied Carbon ตั้งแต่วัตถุดิบตั้งต้น กระบวนการผลิต ไปจนสิ้นวัฏจักรชีวิต Life Cycle แล้วนั้น มีการปลดปล่อยค่าคาร์บอนที่ต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับฉนวนที่ใช้กันทั่วไปที่มาจากปิโตรเลียม และไม่สามารถย่อยสลายได้ เช่น ฉนวนโฟมพอลิยูรีเทน(Polyurethane Foam) ฉนวนโฟมพอลิสไตรีน (Polystyrene Foam) หรือแม้แต่ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass)​จะเห็นได้ว่าทิศทางการก่อสร้างนั้นมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากจะมีเทรนด์การเปลี่ยนจากการใช้โครงสร้างคอนกรีต (Concrete) มาเป็นโครงสร้างไม้ (Timber Construction) แล้ว เทรนด์การใช้วัสดุธรรมชาติ อย่างเช่น ไม้ จะสามารถพัฒนานวัตกรรมวัสดุนำไปใช้ในอาคารส่วนต่างๆ และกระบวนการก่อสร้างได้มากน้อยเพียงใด เพื่อเป้าหมายการลดการปลดปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2050 ที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกที และตามที่ MQDC ได้ตั้งเป้า “Nature Positive & Carbon Negative 2050: สร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบ” เพื่อสร้างสมดุลอย่างยั่งยืนได้จริง​สนใจ “ฉนวนใยไม้คาร์บอนต่ำ” สามารถติดตามข้อมูลต่อได้ที่ https://gutex.co.uk/product-range/product-properties/recyclability/เนื้อหาโดย คุณ ทิพทับทิม สรรเพชุดาศิลป์ สถาปนิกวิจัยอาวุโส, Sustainable Building Materials, RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​ https://www.carboncure.com/concrete-corner/what-is-embodied-carbon/ https://www.gutexcz.com/files/downloads/08_katalogy_en/GUTEX_EN_BR_ProductApplications_2022-01_Lay01.pdf

1419 viewer

ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement) ช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไร?

โดย RISC | 11 เดือนที่แล้ว

อย่างที่เรารู้กัน อุตสาหกรรมก่อสร้างปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 39% ของการปลดปล่อยจากอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งจากหลายๆ โพสต์ที่ผ่านมา เราคงได้เห็นถึงแนวทางหรือนวัตกรรมที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้กันมาบ้าง ซึ่งวันนี้ก็จะมีอีกหนึ่งแนวทางที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ​ก่อนอื่นเรามาให้เห็นภาพชัดๆ กันก่อน...​39% ของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แบ่งเป็นการใช้พลังงานในอาคาร (Operation Carbon) 28% อย่างเช่น การใช้ไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคาร และอีก 11% เป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งตัววัสดุก่อสร้างเอง (Embodied Carbon) เช่น คอนกรีตปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.92 tonCO₂ /ton ส่วนเหล็กปล่อย 1.4 tonCO₂ /ton แม้การผลิตเหล็กจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า แต่การก่อสร้างมีปริมาณการใช้คอนกรีตที่เยอะกว่าเหล็ก จึงทำให้คอนกรีตกลายเป็นตัวการหลักในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง​ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้มีการคิดค้นหาทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” เชื่อว่าคงมีคนเคยได้ยินมาบ้าง แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไร? แล้วลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้จริงหรือ?​ที่ผ่านมา สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยได้มีการรณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนหันมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกแทนการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เนื่องจากปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ มีองค์ประกอบหลักเป็นปูนเม็ดสูงถึง 93% ซึ่งเจ้าปูนเม็ดที่ว่าได้มาจากการระเบิดภูเขาหินปูนและผ่านกระบวนการเผาที่อุณหภูมิสูง 1400-2000 °C ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล ในขณะที่ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมีการแทนที่ปูนเม็ดด้วยวัสดุอื่น อย่างเช่น ยิปซั่ม เถ้าลอย รวมไปถึงกากจากอุตสาหกรรม เช่น ตะกรันเหล็ก ประมาณ 10% จึงทำให้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 0.052 tonCO₂ / ปูน 1 ton แม้ค่าการปล่อยลดลงน้อย แต่การก่อสร้างใช้ปริมาณปูนเยอะ จึงช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาก​ปัจจุบันทางภาครัฐได้สนับสนุนการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนด ปรับปรุง และแก้ไขมาตรฐานให้สามารถใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ทั้งการใช้งานทั่วไป งานที่ต้องการแรงอัดสูง รวมทั้งงานที่ต้องทนต่อการกัดกร่อน เพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้จริง ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกจึงถูกวางไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.thaicma.or.th/th/substitution/cement_industry/clinker-substitution#3​https://cleantechnica.com/2020/09/14/reducing-emissions-from-cement-and-steel-production/​https://www.sustainable-ships.org/stories/2022/carbon-footprint-steel​

4704 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา

© 2024 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน