ถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมผ่าน "Neuro-Architecture" เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เขียนบทความโดย RISC | 8 ชั่วโมงที่แล้ว
แก้ไขล่าสุด : 8 ชั่วโมงที่แล้ว
งานวิจัย RISC เราได้มีการศึกษาด้านพฤติกรรมและจิตวิทยา เพื่อออกแบบสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับความต้องการตามพฤติกรรมของกลุ่มคนต่างๆ และได้มีการพัฒนามาสู่การนำศาสตร์ของระบบประสาทวิทยา (Neuroscience) เข้ามาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการรับรู้ของประสาทสัมผัสของเรา ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และการสัมผัส ก่อนส่งสัญญาณจากการรับรู้ผ่านระบบประสาทต่างๆ นั้น ไปสู่สมองเพื่อตีความ และเกิดความรู้สึกต่างๆ
การศึกษานี้่ทำให้ RISC เข้าใจการรับรู้ของคนได้อย่างลึกซึ้ง และแม่นยำขึ้น สามารถนำไปสู่การพัฒนาการออกแบบงานสถาปัตยกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ชี้นำให้คนเราเกิดพฤติกรรม รู้สึกสอดคล้อง และส่งเสริมไปกับกิจกรรม หรือวัตถุประสงค์ของห้องนั้นหรืออาคารนั้น ซึ่งเราเรียกศาสตร์นี้ว่า “Neuro-Architecture” หรือ "สถาปัตยกรรมประสาทวิทยา" แม้ยังเป็นศาสตร์ที่ไม่แพร่หลายนักในปัจจุบัน แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงอาคารผ่านความเข้าใจของประสาทการรับรู้เท่านั้น แต่ยังสร้างทิศทางใหม่สำหรับการออกแบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ยิ่งปัญหาจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน คงจะดีหากเราสร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นหรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้
งั้นเรามารู้จักกับ Neuro-Architecture กัน ว่าส่งผลต่อการทำงานได้อย่างไร?
พื้นที่ทำงานเป็นอีกสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่แทบตลอดวัน หรือบางครั้งมากกว่าที่บ้านเสียด้วยซ้ำ และคงจะดีหากถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนทำงานรู้สึกดี ช่วงที่เร่งงานก็ทำงานได้ดี รวดเร็ว คิดงานออกได้ไว หรือพูดอีกทางคือ “ทำงานมีประสิทธิภาพสูง” ช่วงพักผ่อนสามารถสร้างความผ่อนคลาย และลดความเครียดลงได้แบบไม่ต้องพยายาม
ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิจัย RISC จึงได้ทำงานวิจัยค้นหาคำตอบของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงาน และความผ่อนคลาย โดยทดลองผ่านเครื่องมือ EEG หรือเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography) โดยตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมอง และส่งสัญญาณเป็นรูปแบบคลื่น ร่วมกับการมองภาพห้องจำลองผ่าน Virtual reality (VR) รุ่น HTC Vive Pro ที่สามารถจับการมองและเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อหารูปแบบและค่าอุณหภูมิสีของแสง (Correlated Color Temperature) ที่เหมาะสมของห้องทำงาน
ผลการทดสอบพบว่า ไฟส่องสว่างที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสง 4000K ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะสำหรับห้องทำงาน ผู้ร่วมทดสอบจะรู้สึกคุ้นเคยที่สุด มีความสบายตา มีสมาธิ และมีความพึงพอใจมากที่สุด นอกจากนี้ ห้องที่ใช้แสงระดับนี้ยังมีระดับความเครียดต่ำที่สุด แต่สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องรวดเร็วที่สุด และทำงานได้ดีที่สุด ส่วนไฟที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสงที่ 1700K ที่ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะกับเป็นห้องพักผ่อน คลื่นสมองช่วง High Beta และ Gamma ต่ำที่สุดในช่วงพักผ่อน แม้ห้องนี้จะสามารถทำงานได้ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำงาน จนส่งผลให้เกิด “ความเครียด” สูงที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในปี 2022 โดย ดร. Kropman, D. และทีมนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รวบรวมและสรุป 7 องค์ประกอบการออกแบบสถานที่ทำงาน ซึ่งส่งผลต่อ 10 ตัวชี้วัดด้านสุขภาพจิตของคนทำงาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าการออกแบบสภาพแวดล้อมสามารถยกระดับทั้งประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาวะได้ อย่างเช่น...
▪ การจัดกลุ่มโต๊ะทำงาน 2–5 คน จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน แต่หากจัดที่นั่งให้มีจำนวนคนมากขึ้น เป็น 6–20 คน จะส่งผลลบต่อประสิทธิภาพการทำงาน สมาธิ ระดับความเครียด และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
▪ พื้นที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว (Vitality Zones) และองค์ประกอบที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เช่น ลูกบอลออกกำลังกายและโต๊ะทำงานแบบปรับนั่งหรือยืนทำงานได้ ช่วยลดความเหนื่อยล้าหมดไฟ (Burnout)
▪ พื้นที่ทำงานแบบส่วนตัว (Private Office) ส่งผลดีต่อสุขภาวะ คุณภาพการนอนหลับ ประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มสมาธิ และการลดความเครียด เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ทำงานแบบนั่งรวมกันและมองเห็นกันตลอดเวลา (Open Plan Office)
▪ สีของห้องทำงาน สีขาวและสีน้ำเงิน มีผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงาน อารมณ์ และระดับความเครียด แม้ความชอบสีของแต่ละคนจะต่างกันก็ตาม
▪ พื้นที่ทำงานที่มีต้นไม้ 1–3 ต้น ต่อ 1 คน หรือต่อ 1 โต๊ะทำงาน โดยวางอยู่ในพื้นที่ทำงานโดยตรง จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3–15%, สมาธิ 10–20% และลดความเครียด 4–8%
▪ พื้นที่ทำงานที่มองออกไปด้านนอกได้ จะทำให้คุณภาพการนอน อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้น หากยิ่งวิวด้านนอกน่ารื่นรมย์ เห็นธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดความรู้สึก อ่อนล้า และความเครียดลดลง 4%
▪ การตั้งอุณหภูมิอากาศพื้นที่ทำงาน 20-24 องศาเซลเซียส (ปรับเพิ่ม–ลดได้ 1–2 องศาเซลเซียส) และความชื้นสัมพัทธ์ที่ 40-55%RH จะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 30% สมาธิดีขึ้น 26% ความเครียดลดลง 22% ความเหนื่อยล้าลดลง 20% และยังช่วยคุณภาพการนอนหลับ อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย
▪ คุณภาพอากาศในพื้นที่ทำงาน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ตามมาตรฐาน ASHRAE ไม่เกิน 1000 ppm หากระดับ CO₂ สูงกว่าค่าที่กำหนดจะส่งผลเสีย หาก 1000–1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 4–12% และหากมากกว่า 1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 14–24% และทุกครั้งที่ CO₂ เพิ่มขึ้น 100 ppm ทำให้สมาธิลดลง ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น 16%
นี่เป็นเพียงบางส่วนของสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน หากเราเข้าใจและลองนำไปปรับใช้ตาม ได้ผลดีอย่างไร? ส่งผลลัพธ์ดีๆ มาแชร์ให้เราได้ หวังว่าข้อมูลดีๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนมีพื้นที่ทำงานที่สนับสนุนการทำงาน และสุขภาพกายและใจของเรา
เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISC
อ้างอิงข้อมูลจาก
Kropman, D., Appel-Meulenbroek, R., Bergefurt, L., & LeBlanc, P. (2022). The business case for a healthy office: A holistic overview of relations between office workspace design and mental health. Ergonomics, 66(5), 658–675. https://doi.org/10.1080/00140139.2022.2108905