RISC

ถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมผ่าน​ "Neuro-Architecture" เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน​

เขียนบทความโดย RISC | 7 ชั่วโมงที่แล้ว

แก้ไขล่าสุด : 6 ชั่วโมงที่แล้ว

41 viewer

งานวิจัย RISC เราได้มีการศึกษาด้านพฤติกรรมและจิตวิทยา เพื่อออกแบบสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับความต้องการตามพฤติกรรมของกลุ่มคนต่างๆ และได้มีการพัฒนามาสู่การนำศาสตร์ของระบบประสาทวิทยา (Neuroscience) เข้ามาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการรับรู้ของประสาทสัมผัสของเรา ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และการสัมผัส ก่อนส่งสัญญาณจากการรับรู้ผ่านระบบประสาทต่างๆ นั้น ไปสู่สมองเพื่อตีความ และเกิดความรู้สึกต่างๆ​

การศึกษานี้่ทำให้ RISC เข้าใจการรับรู้ของคนได้อย่างลึกซึ้ง และแม่นยำขึ้น สามารถนำไปสู่การพัฒนาการออกแบบงานสถาปัตยกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ชี้นำให้คนเราเกิดพฤติกรรม รู้สึกสอดคล้อง และส่งเสริมไปกับกิจกรรม หรือวัตถุประสงค์ของห้องนั้นหรืออาคารนั้น ซึ่งเราเรียกศาสตร์นี้ว่า “Neuro-Architecture” หรือ "สถาปัตยกรรมประสาทวิทยา" แม้ยังเป็นศาสตร์ที่ไม่แพร่หลายนักในปัจจุบัน แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงอาคารผ่านความเข้าใจของประสาทการรับรู้เท่านั้น แต่ยังสร้างทิศทางใหม่สำหรับการออกแบบเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ยิ่งปัญหาจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน คงจะดีหากเราสร้างสภาพแวดล้อมกระตุ้นหรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้​

งั้นเรามารู้จักกับ Neuro-Architecture กัน ว่าส่งผลต่อการทำงานได้อย่างไร?​

พื้นที่ทำงานเป็นอีกสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่แทบตลอดวัน หรือบางครั้งมากกว่าที่บ้านเสียด้วยซ้ำ และคงจะดีหากถอดรหัสการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนทำงานรู้สึกดี ช่วงที่เร่งงานก็ทำงานได้ดี รวดเร็ว คิดงานออกได้ไว หรือพูดอีกทางคือ “ทำงานมีประสิทธิภาพสูง” ช่วงพักผ่อนสามารถสร้างความผ่อนคลาย และลดความเครียดลงได้แบบไม่ต้องพยายาม​

ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิจัย RISC จึงได้ทำงานวิจัยค้นหาคำตอบของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อการทำงาน และความผ่อนคลาย โดยทดลองผ่านเครื่องมือ EEG หรือเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography) โดยตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมอง และส่งสัญญาณเป็นรูปแบบคลื่น ร่วมกับการมองภาพห้องจำลองผ่าน Virtual reality (VR) รุ่น HTC Vive Pro ที่สามารถจับการมองและเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อหารูปแบบและค่าอุณหภูมิสีของแสง (Correlated Color Temperature) ที่เหมาะสมของห้องทำงาน​

ผลการทดสอบพบว่า ไฟส่องสว่างที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสง 4000K ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะสำหรับห้องทำงาน ผู้ร่วมทดสอบจะรู้สึกคุ้นเคยที่สุด มีความสบายตา มีสมาธิ และมีความพึงพอใจมากที่สุด นอกจากนี้ ห้องที่ใช้แสงระดับนี้ยังมีระดับความเครียดต่ำที่สุด แต่สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องรวดเร็วที่สุด และทำงานได้ดีที่สุด ส่วนไฟที่มีค่าอุณหภูมิสีของแสงที่ 1700K ที่ค่าความสว่าง 500Lux เหมาะกับเป็นห้องพักผ่อน คลื่นสมองช่วง High Beta และ Gamma ต่ำที่สุดในช่วงพักผ่อน แม้ห้องนี้จะสามารถทำงานได้ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำงาน จนส่งผลให้เกิด “ความเครียด” สูงที่สุด​

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในปี 2022 โดย ดร. Kropman, D. และทีมนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รวบรวมและสรุป 7 องค์ประกอบการออกแบบสถานที่ทำงาน ซึ่งส่งผลต่อ 10 ตัวชี้วัดด้านสุขภาพจิตของคนทำงาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าการออกแบบสภาพแวดล้อมสามารถยกระดับทั้งประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาวะได้ อย่างเช่น...​
▪ การจัดกลุ่มโต๊ะทำงาน 2–5 คน จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงาน แต่หากจัดที่นั่งให้มีจำนวนคนมากขึ้น เป็น 6–20 คน จะส่งผลลบต่อประสิทธิภาพการทำงาน สมาธิ ระดับความเครียด และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน​
▪ พื้นที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว (Vitality Zones) และองค์ประกอบที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เช่น ลูกบอลออกกำลังกายและโต๊ะทำงานแบบปรับนั่งหรือยืนทำงานได้ ช่วยลดความเหนื่อยล้าหมดไฟ (Burnout) ​
▪ พื้นที่ทำงานแบบส่วนตัว (Private Office) ส่งผลดีต่อสุขภาวะ คุณภาพการนอนหลับ ประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มสมาธิ และการลดความเครียด เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ทำงานแบบนั่งรวมกันและมองเห็นกันตลอดเวลา (Open Plan Office) ​
▪ สีของห้องทำงาน สีขาวและสีน้ำเงิน มีผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงาน อารมณ์ และระดับความเครียด แม้ความชอบสีของแต่ละคนจะต่างกันก็ตาม​
▪ พื้นที่ทำงานที่มีต้นไม้ 1–3 ต้น ต่อ 1 คน หรือต่อ 1 โต๊ะทำงาน โดยวางอยู่ในพื้นที่ทำงานโดยตรง จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3–15%, สมาธิ 10–20% และลดความเครียด 4–8%​
▪ พื้นที่ทำงานที่มองออกไปด้านนอกได้ จะทำให้คุณภาพการนอน อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้น หากยิ่งวิวด้านนอกน่ารื่นรมย์ เห็นธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดความรู้สึก อ่อนล้า และความเครียดลดลง 4% ​
▪ การตั้งอุณหภูมิอากาศพื้นที่ทำงาน 20-24 องศาเซลเซียส (ปรับเพิ่ม–ลดได้ 1–2 องศาเซลเซียส) และความชื้นสัมพัทธ์ที่ 40-55%RH จะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 30% สมาธิดีขึ้น 26% ความเครียดลดลง 22% ความเหนื่อยล้าลดลง 20% และยังช่วยคุณภาพการนอนหลับ อารมณ์ และสุขภาวะโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย​
▪ คุณภาพอากาศในพื้นที่ทำงาน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ตามมาตรฐาน ASHRAE ไม่เกิน 1000 ppm หากระดับ CO₂ สูงกว่าค่าที่กำหนดจะส่งผลเสีย หาก 1000–1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 4–12% และหากมากกว่า 1400 ppm ประสิทธิภาพการทำงานลดลง 14–24% และทุกครั้งที่ CO₂ เพิ่มขึ้น 100 ppm ทำให้สมาธิลดลง ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น 16% ​

นี่เป็นเพียงบางส่วนของสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน หากเราเข้าใจและลองนำไปปรับใช้ตาม ได้ผลดีอย่างไร? ส่งผลลัพธ์ดีๆ มาแชร์ให้เราได้ หวังว่าข้อมูลดีๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนมีพื้นที่ทำงานที่สนับสนุนการทำงาน และสุขภาพกายและใจของเรา​

เนื้อหาโดย ดร.สฤกกา พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบูรณาการงานวิจัยเพื่อการเผยแพร่ และหัวหน้า Happiness Science Hub, RISC​

อ้างอิงข้อมูลจาก

Kropman, D., Appel-Meulenbroek, R., Bergefurt, L., & LeBlanc, P. (2022). The business case for a healthy office: A holistic overview of relations between office workspace design and mental health. Ergonomics, 66(5), 658–675. https://doi.org/10.1080/00140139.2022.2108905