Knowledge - RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

ธรรมชาติกับการพัฒนาการของเด็กและความสัมพันธ์ของครอบครัว

โดย RISC | 4 วันที่แล้ว

เชื่อว่าหากเลือกได้ ใครหลายคนคงเลือกที่จะอยู่อาศัยท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติ ที่ได้ใกล้ชิดทะเล ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ หรือลำธารในทุกๆ วัน โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาว่าง หรือวันหยุดยาว​เพราะการได้สัมผัสธรรมชาติ ใกล้ชิดพื้นที่สีเขียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อตัวเราทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ความวิตกกังวล ลดภาวะซึมเศร้า อีกทั้งมีอายุยืนยาวมากขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจและโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกจากการได้รับแสงแดด รวมทั้งยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการสัมผัสจุลินทรีย์ในธรรมชาติ​ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยต่างๆ มากมายจากทั่วโลกที่สนับสนุนในเรื่องนี้ อย่างเช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Oxford Academic ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 20 จะช่วยลดอัตราความเครียดและภาวะซึมเศร้าลงได้ และหากอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 30 จะสามารถช่วยลดอัตราการวิตกกังวลลงได้อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไมเราถึงรู้สึกพึงพอใจต่อพื้นที่สีเขียว และรู้สึกโหยหาการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ​พื้นที่สีเขียวเพียงแค่ได้มองเห็นก็ช่วยให้เราผ่อนคลายแล้ว และจะดีแค่ไหน? หากสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้มีโอกาสทำกิจกรรม หรือใช้เวลาในพื้นที่ธรรมชาติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การนั่งเล่นพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน นับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีได้อย่างไม่ยากเลย​โดยกิจกรรมห้ามพลาดที่แนะนำให้ชวนทุกคนในครอบครัวมาทำร่วมกัน เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ได้แก่ กิจกรรมการทำสวน (Gardening) และกิจกรรมการเล่น (Play)​การทำสวน หรือปลูกต้นไม้ จะช่วยฝึกทักษะการเคลื่อนไหวควบคู่พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็กไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการขุดดิน พรวนดิน การดึงวัชพืช การเด็ดใบไม้ดอกไม้แห้ง การรดน้ำ นอกจากนี้ การทำสวนยังมีส่วนช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี โดยการทำสวนเพียง 30 นาที ก็สามารถช่วยลดระดับคอร์ติซอลจากระดับความเครียดสูง ลดลงสู่ระดับปกติได้​​ส่วนการเล่นนั้นมีประโยชน์กับคนทุกวัย นอกจากได้ในเรื่องความสนุกสนานแล้ว การเล่นก็ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการเข้าสังคม ซึ่งการเล่นในแต่ละรูปแบบ ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น​- Active Play: การวิ่งเล่น ปีนป่าย กระโดด กระดานลื่น ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทักษะการเคลื่อนไหว และการทรงตัว​- Sensory Play: ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การศึกษาลักษณะรูปทรงสีสันที่แตกต่างกันของพันธุ์ไม้ แมลงหลากสายพันธุ์ ฟังเสียงน้ำไหล ใบไม้ไหว เสียงนกบรรเลงเพลง การเก็บความสวยงามของธรรมชาติด้วยการถ่ายรูป หรือวาดรูป​- Social Play: การล้อมวงคุยกัน หรือการเล่นแบบกลุ่ม เป็นการสร้างทักษะการอยู่ร่วมกัน และการเข้าสังคม ​- Passive Play: การเดินเล่น นั่งเล่น ไกวเปล หรือเล่นกิจกรรมเบาๆ พักเหนื่อยจากการเล่นอื่นๆ และหากได้มีการพูดคุยกันระหว่างกิจกรรมก็จะช่วยฝึกทักษะการเข้าสังคม ร่วมด้วย​หากพื้นที่อยู่อาศัยของเรานั้นถูกแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวโดยรอบที่เอื้อให้เกิดกิจกรรมทางเลือกต่างๆ นับเป็นความโชคดีอย่างมาก เพราะการได้อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติในทุกวัน และมีกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน เป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กตามวัย เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับทุกคนทุกวัย ลดการเสื่อมถอยของร่างกายผู้สูงวัย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดความวิตกกังวลและความเครียด และเมื่อทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ผลลัพธ์ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ครอบครัวมีความเข้าใจกันมากขึ้นจากการได้บอกเล่า และรับฟัง เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวแน่นแฟ้น และมีความสุขมากขึ้นได้อีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Beyer, K. M., et al., Exposure to Neighborhood Green Space and Mental Health: Evidence from the Survey of the Health of Wisconsin, 2014.​Cox, D. T. C., et al., Doses of Neighborhood Nature: The Benefits for Mental Health of Living with Nature. Bioscience, 2017.​Elizabeth Pegg Frates, Time spent in green places linked with longer life in women, 2017.​James P, Hart JE, Banay RF, Laden F, Exposure to Greenness and Mortality in a Nationwide Prospective Cohort Study of Women, 2016.​Maureen Bennie, How Does Your Garden Grow? Mental Health, Wellness & Skills Development Through Gardening, 2020.​Rook, G.A.W. Regulation of the immune system by biodiversity from the natural environment: an ecosystem service essential to health, 2013.​Soga, M., et al., Health benefits of urban allotment gardening: improved physical and psychological well-being and social integration. International Journal of Environmental Research and Public Health, 2017.​Van Den Berg, A. E., & Custers, M. H., Gardening promotes neuroendocrine and affective restoration from stress. Journal of Health Psychology, 2011.​

46 viewer

ฝุ่นมีผลต่อสุขภาพเราอย่างไร? ใครต้องระวังบ้าง?

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อ "ฝุ่น" กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การรู้เท่าทันและป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด "การใส่ใจเรื่องฝุ่นในวันนี้ อาจช่วยป้องกันโรคร้ายในอนาคต" ​ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครและในอีกหลายจังหวัด ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอยู่บ่อยครั้ง หลายคนอาจเริ่มคุ้นเคยกับภาพท้องฟ้าที่มัวหมอง มองเห็นเพียงหมอกฝุ่น แทนที่จะเป็นฟ้าสดใส และการแจ้งเตือนค่าฝุ่นอันตรายในข่าวทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดี เพราะไม่เพียงทำลายทัศนวิสัย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของเราอีกด้วย​ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลพุ่งสูงจนติดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดในโลก ผู้คนต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เช่น การสวมหน้ากากกันฝุ่น การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในอาคาร หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้ง แต่ก็ยังมีหลายคนไม่ทราบว่า ฝุ่นละอองเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกายมากแค่ไหน และใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ​ฝุ่นละอองที่เราพูดถึงกันบ่อย เช่น PM2.5 และ PM10 คืออนุภาคขนาดเล็กในอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการเผาป่า โดยเฉพาะ PM2.5 ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า ทำให้มันสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย มันไม่ได้หยุดอยู่ที่จมูก หรือปอดเท่านั้น แต่ยังสามารถเดินทางไปยังอวัยวะอื่นๆ และสร้างปัญหาสุขภาพกับเราได้​แล้วใครบ้างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ? ​แม้ว่าฝุ่น PM2.5 จะส่งผลกระทบต่อทุกคนที่สูดอากาศเข้าไป แต่บางกลุ่มก็มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพร่างกายที่เปราะบาง หรือมีปัจจัยทางสุขภาพที่ทำให้ผลกระทบจากฝุ่นรุนแรงขึ้น มาดูกันว่ากลุ่มไหนที่ควรเฝ้าระวังและดูแลตัวเองมากที่สุด​ - เด็กเล็ก: เด็กๆ มีระบบทางเดินหายใจ และปอดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ การสูดฝุ่นเข้าไปในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปอดในระยะยาว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืด ภูมิแพ้ และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ​คำแนะนำเบื้องต้น: ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กออกนอกบ้านในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง และติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ​- ผู้สูงอายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง รวมถึงการทำงานของปอดและหัวใจก็ลดลงเช่นกัน ฝุ่น PM2.5 สามารถกระตุ้นโรคประจำตัวได้ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง กำเริบหรือรุนแรงขึ้น​คำแนะนำเบื้องต้น: ดูแลสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านในวันที่ค่าฝุ่นสูง และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจไม่ออกหรือเจ็บหน้าอก ​- หญิงตั้งครรภ์: ฝุ่นละอองสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ และส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เช่น น้ำหนักแรกเกิดต่ำ คลอดก่อนกำหนด หรือพัฒนาการล่าช้า การสูดอากาศที่ปนเปื้อนฝุ่น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์​คำแนะนำเบื้องต้น: หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษสูง สวมหน้ากาก N95 หรือ KF94 หากต้องออกไปข้างนอก และใช้เครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมภายในบ้าน​- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง: กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคภูมิแพ้ มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการกำเริบจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งฝุ่นสามารถกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และส่งผลให้การทำงานของอวัยวะที่มีปัญหาแย่ลง​คำแนะนำเบื้องต้น: ผู้ป่วยโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการดูแลตัวเองในช่วงค่าฝุ่นสูง และพกยาประจำตัวติดตัวไว้เสมอ​- ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง: คนงานก่อสร้าง คนขับรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ หรือพ่อค้าแม่ค้าริมถนน เป็นกลุ่มที่ต้องสัมผัสกับฝุ่นในปริมาณมากและต่อเนื่อง การสูดฝุ่นเข้าไปทุกวันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจในระยะยาว​คำแนะนำเบื้องต้น: หากต้องทำงานกลางแจ้งในช่วงค่าฝุ่นสูง ควรสวมหน้ากาก N95 อย่างถูกวิธี และพักในพื้นที่ปลอดฝุ่นเท่าที่เป็นไปได้ ​นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่ควรใส่ใจด้วย เช่น ​- ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง: การหายใจเร็วขึ้นขณะออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายรับฝุ่นเข้าไปในปริมาณมากกว่าปกติ ​- ผู้ที่สูบบุหรี่: ฝุ่นละอองยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหัวใจในผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่อยู่แล้ว ​ไม่ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ การป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรต้องทำ เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการใส่ใจ และดูแลตัวเองในทุกวัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ฝุ่นที่รุนแรงแบบนี้​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​

73 viewer

นวัตกรรมพร้อมรับมือฝุ่นพิษ PM2.5

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

หลังปีใหม่มานี้ หลายคนคงตื่นขึ้นมาเห็นหมอกขาวๆ ปกคลุมไปทั่ว แต่พอเปิด Application หรือเครื่องวัดคุณภาพอากาศขึ้นมา กลับกลายเป็นค่าฝุ่นพิษที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ​ ปัญหาฝุ่นพิษกำลังเป็นสิ่งเรากำลังเผชิญอย่างหนักในปีนี้ ที่ดูเหมือนจะรุนแรง และนานขึ้นจนเริ่มกระทบกับสุขภาพใครหลายๆ คน แล้ว...เราจะต้องอยู่กับฝุ่นพิษนี้ไปตลอด?​ RISC จึงไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมหอฟอกอากาศ “ฟ้าใส” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับคนไทย ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาตั้งแต่ ฟ้าใส 1, ฟ้าใส 2 และ Fresh One และได้ทำการติดตั้งในพื้นที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค ช่วยลดค่าฝุ่นได้ 50% มหาวิทยาลัยพะเยา ช่วยลดค่าฝุ่นได้ 40% นับว่าเป็นการสร้าง "เซฟโซน" ที่มีสภาพอากาศที่ปลอดภัยภายนอกอาคาร ปัจจุบัน RISC ยังคงพัฒนาเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ๆ ซึ่ึ่ง “ฟ้าใส” รุ่นล่าสุดได้ออกแบบให้เคลื่อนย้ายง่าย และติดตั้งได้สะดวกในทุกพื้นที่ จนกลายมาเป็นหอฟอกอากาศอัตโนมัติแบบไฮบริด "ฟ้าใสมินิ" ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ประสิทธิภาพการทำงานฟอกอากาศระยะไกลสูงสุดที่ 50 เมตร เทียบเท่าต้นไม้ในการฟอกอากาศถึง 700 ต้น (อ้างอิงผลจากห้องปฎิบัติการทดสอบฟ้าใส) และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมทั้งไวรัสอีกด้วย​ ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปริมาณฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงขึ้น หอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” ได้แสดงประสิทธิภาพในการลดปริมาณฝุ่นเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ จากข้อมูลการตรวจวัดล่าสุด ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 08:30 น. มีรายละเอียดดังนี้​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 อ้างอิงจาก AirVisual: 147 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ค่าเฉลี่ยช่วงเวลา 08:00-09:00)​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 อ้างอิงจากเครื่องมือวัดในพื้นที่ 152 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 บริเวณหน้าหอฟอกอากาศฟ้าใสมินิ ลดลงเหลือ 63 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร​ จากการลดค่าฝุ่นดังกล่าว หอฟอกอากาศ “ฟ้าใสมินิ” แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยลดค่าฝุ่นในพื้นที่ได้ถึง 60% ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ ทำความรู้จักกับ "ฟ้าใส มินิ" หอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” นำหลักการมาจากหอดักจับมลพิษอุตสาหกรรมแบบเปียก (Venturi Scrubber) เพื่อสร้างต้นแบบหอฟอกอากาศอัตโนมัติแบบไฮบริด (Hybrid Air Purifier Tower ออกแบบภายใต้แนวคิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางสุขภาวะ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น “ฟ้าใส มินิ” มีจุดเด่นที่ต่างกับฟ้าใสทั้ง 2 รุ่น คือ ขนาดเล็กกว่า เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้ายและติดตั้ง ส่วนประสิทธิภาพการทำงานฟอกอากาศ ฝุ่น PM2.5 และความสามารถในการฆ่าแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสได้ ยังใกล้เคียงกับทั้ง 2 รุ่น​ “ฟ้าใส มินิ” ลดขนาดของตัวเครื่องลงเหลือความสูงเพียง 3.20 เมตร และฐานกว้าง 1.35 เมตร เพื่อเข้าถึงพื้นที่ติดตั้งได้ง่าย ขนาดของพัดลมขาเข้า 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง จำนวน 2 ใบพัด รวมเป็น 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ขนาดของพัดลมขาออก 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง หรือครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 สนามฟุตบอลต่อชั่่วโมง​ หลักการทำงานของ “ฟ้าใส มินิ” เริ่มต้นจากการดูดอากาศจากผนังด้านข้างด้วยพัดลมดูดอากาศเข้าไปใน chamber รูปทรงกระบอก ผ่านระบบหัวฉีดสเปรย์ จนเกิดรูปแบบไซโคลน (cyclonic pattern) โดยอากาศจะผ่านหัวพ่นละอองน้ำความเร็วสูง 2 ชั้นผสมกับการออกแบบแผ่นโครงสร้างดักฝุ่นละออง และเพิ่มแรงตึงผิวให้กับน้ำเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถดักจับฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ที่มีขนาดเล็กกว่าฝุ่น PM2.5 และ PM10 อากาศที่ออกมาจะผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบ UVGI เพื่อให้เกิดอากาศสะอาด และปล่อยลมออกมาในตำแหน่งที่คนใช้งาน มีใบพัดช่วยดึงให้ได้ปริมาตรตามต้องการ ประสานระบบพลังงานไฮบริด ใช้พลังงานไฟฟ้า 600-3,000 วัตต์ต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณฝุ่นในแต่ละวัน และใช้ปริมาณน้ำในระบบเพียง 50 ลิตรต่อวัน และมีระบบหมุนเวียนน้ำบางส่วนให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยเทคโนโลยีโอโซน และระบบกรองน้ำ ก่อนหน้านี้ RISC ได้พัฒนา “ฟ้าใส” และนวัตกรรมฟอกอากาศมาหลายรุ่น ซึ่งตอบโจทย์แตกต่างกัน สามารถดูข้อมูลและทำความรู้จักแต่ละรุ่นได้เพิ่มเติม ตามลิงก์ที่แนบนี้​ข้อมูล “ฟ้าใส 1” https://web.facebook.com/riscwellbeing/videos/494956578093907/ ​ข้อมูล “ฟ้าใส 2” https://web.facebook.com/riscwellbeing/posts/2746237258972773 ​ข้อมูล “Fresh One” https://web.facebook.com/riscwellbeing/posts/2494077847522050​ หากหน่วยงานหรือสนใจข้อมูล “ฟ้าใส” เพิ่มเติมได้ที่ คุณ นิสิต วิชัยสกุล บริษัท ดี ซูพรีม จำกัด มือถือ 061-789-2687 เมล์ nisit_wi@dtgo.com​ เนื้อหาโดย คุณ ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ TREES-A, Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC

174 viewer

อากาศเย็นสบายอยู่ดีๆ ทำไมอยู่ๆ ฝุ่นพิษพุ่งสูง?

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่? อากาศเย็นสบายอยู่ดีๆ ทำไมฝุ่นพิษพุ่งสูง?​ช่วงนี้บ้านเรา โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล กำลังเจอปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 หนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง แม้ในบางช่วงอากาศจะดีขึ้น แต่ไม่นานค่าฝุ่นกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ​แล้วฝุ่นพวกนี้มาจากไหน?​- การเผาในที่โล่ง (Open Burning): เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิด PM2.5 ที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการเผาไร่ข้าวโพด การเกษตร หรือขยะ การศึกษาของกรมควบคุมมลพิษ (Pollution Control Department, PCD) ระบุว่า การเผาในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศเราเอง ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงที่อากาศแห้ง อย่างฤดูหนาวของบ้านเรา เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ตอนบนของประเทศไทยสูงขึ้น โดยฝุ่นจากกิจกรรมเหล่านี้มักถูกลมพัดเข้ามาสู่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงที่ลมพัดจากเหนือไปใต้ นอกจากนี้ฝุ่นบางส่วนยังมาจากการเผาในที่โล่งที่เกิดขึ้นในจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นครปฐม และปทุมธานี ซึ่งมักมีการเผาขยะ และเศษวัสดุเกษตรเป็นประจำ​- การจราจร (Traffic Emissions): ฝุ่นที่มาจากการจราจรในพื้นที่ กทม.มีสัดส่วนถึง 51% โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด PM2.5 ที่สำคัญที่สุดในเขตเมือง การจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้มลพิษทางอากาศสะสมตัวในชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศน้อย เช่น ในย่านใจกลางเมือง ​- โรงงานอุตสาหกรรม (Industrial Activities): ในพื้นที่ปริมณฑล เช่น บางพลี บางปู และลาดกระบัง มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ปล่อยมลพิษทางอากาศ ผลการศึกษาจาก Asian Institute of Technology (AIT) ระบุว่า พื้นที่อุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ มีส่วนในการปล่อย PM2.5 คิดเป็น 25-30% ของค่าฝุ่นทั้งหมดในกรุงเทพฯ ​- สภาพอากาศและลม (Meteorological Conditions): ปัจจัยทางสภาพอากาศก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ค่าฝุ่นในกรุงเทพฯ พุ่งสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และช่วงที่อากาศนิ่งมักทำให้เกิดชั้นบรรยากาศที่เรียกว่า "Inversion Layer" ซึ่งเป็นชั้นที่อากาศใกล้พื้นดินเย็นกว่าอากาศด้านบน ส่งผลให้ฝุ่นละอองถูกกักขังอยู่ในระดับพื้นดิน แทนที่จะลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้น เป็นปรากฎการณ์ฝาชีครอบพื้นที่เมือง สะสมฝุ่นไว้ด้านใน ไม่สามารถระบายออกไปได้ ​สถานการณ์ของฝุ่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ จึงจำเป็นที่เราต้องรับมือป้องกันอย่างทันท่วงที ด้วยการ...​- ตรวจสอบค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์ โดยใช้แอปพลิเคชัน เช่น AirVisual หรือ Air4Thai เป็นประจำ เพื่อวางแผนการทำกิจกรรมในแต่ละวัน  ​- สวมใส่หน้ากาก N95 หรือหน้ากากกันฝุ่นที่มีประสิทธิภาพ เช่น N95 หรือ KN95  หรือหน้ากากผ้า และต้องระวังในการเลือกใช้หน้ากาก เพราะหน้ากากบางประเภทไม่ได้ออกแบบมาเพื่อกันฝุ่น PM2.5 ​- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกอาคาร ในข่วงที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้งควรเปลี่ยนมาออกกำลังกายในร่มแทน และเมื่ออยู่ในอาคารควรเปิดเครื่องฟอกอากาศ ​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Pollution Control Department. (2023). รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2566 [Thailand State of Pollution Report 2023]. Bangkok: Ministry of Natural Resources and Environment. Retrieved from https://www.pcd.go.th/publication/32171/​Asian Institute of Technology. (2024, January 26). Collaborative efforts for cleaner air in Bangkok and beyond. AIT. Retrieved from https://ait.ac.th/2024/01/collaborative-efforts-for-cleaner-air-in-bangkok-and-beyond/​World Health Organization. (2021). Global air quality guidelines: Particulate matter (PM2.5 and PM10), ozone, nitrogen dioxide, sulfur dioxide, and carbon monoxide. Geneva: World Health Organization. Retrieved from https://www.who.int/publications/i/item/9789240034228

123 viewer

ค่า pH ในดินสำคัญต่อพืชอย่างไร?​

โดย RISC | 4 สัปดาห์ที่แล้ว

ดินไม่ได้มีหน้าที่แค่พื้นรองรากต้นไม้ แต่เป็นแหล่งชีวิตของต้นไม้ที่เต็มไปด้วยธาตุอาหารสำคัญ หากคุณภาพดินอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ต้นไม้ก็จะเติบโตได้เป็นอย่างดี​โดยทั่วไป ต้นไม้มีความต้องการธาตุอาหารต่อการเจริญเติบโตทั้งหมด 14 ชนิด ซึ่งแบ่งเป็น...​ธาตุอาหารหลัก (Macronutrients) มี 6 ชนิด ได้แก่ Nitrogen (N), Phosphorus (P), Potassium (K), Calcium (Ca), Magnesium (Mg) และ Sulfur (S) ทั้งหมดเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต จำเป็นต้องได้รับในปริมาณมาก หากขาดธาตุอาหารหลักเหล่านี้ อาจทำให้พืชมีลักษณะแคระ ไม่โต จนถึงทำให้ต้นเหี่ยว และตายได้​ธาตุอาหารรอง (Micronutrients) มี 8 ชนิด ได้แก่ Iron (Fe), Manganese (Mn), Zinc (Zn), Copper (Cu), Boron (B), Molybdenum (Mo), Nickle (Ni) and Chlorine (Cl) ทั้งหมดเป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน​ซึ่งธาตุอาหารที่พืชต้องการเหล่านี้มักมีอยู่ในดิน แต่การที่พืชจะสามารถดูดซึมได้ดีหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือ pH ของดิน ที่จะเป็นตัวกำหนดความสามารถในการละลายได้ของธาตุอาหารแต่ละธาตุให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถดูซึมได้​โดยทั่วไปแล้วค่า pH ดินที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 6 – 6.5 หากดินมีค่า pH ที่สูงหรือต่ำไปกว่านี้ ก็จะส่งผลให้ธาตุบางชนิดละลายได้น้อยลง และไม่อยู่ในรูปแบบที่พืชสามารถดูดซึมได้ อย่างเช่น ถ้า pH ต่ำกว่า 6 แร่ธาตุฟอสฟอรัสจะละลายได้น้อยลง และหากดินมีค่าความเป็นกรดมากๆ จะส่งผลให้มีผลผลิตที่ลดลง รากจะสั้น บวม และปลายรากอาจถูกทำลาย​แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ อย่างกรณีดินมีค่าความเป็นกรด เราสามารถแก้ได้ด้วยการใช้วัสดุที่มีปูนขาวผสมอยู่ เช่น ขี้เถ้าของไม้ หินปูนบด ปูนขาว โดโลไมต์ เพื่อลดความเป็นกรด แต่หากดินมีค่าความเป็นเบสมาก เราสามารถแก้ได้ด้วยการใช้อะลูมิเนียมซัลเฟต หรือกำมะถัน เพื่อลดค่าความเป็นด่างให้กับดินได้​เนื้อหาโดย คุณ นครินทร์ ผ่องแผ้ว นักศึกษาภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณ ธนวัฒน์ จินจารักษ์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายสิ่งแวดล้อม Urban Environmental & Biodiversity Engineer, RISC

143 viewer

ทำไมต้นไม้ในเขตเมืองมักมีดอกน้อยกว่าปกติ

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

ต้นไม้ที่อยู่ในธรรมชาติ มักออกดอกอย่างสวยงามให้เราได้ชมตามฤดูกาล แต่เคยสังเกตมั้ย? ทำไมต้นไม้ในเขตเมืองกลับไม่ค่อยออกดอก หรือมีเห็นได้น้อยกว่าต้นไม้ตามธรรมชาติ​ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับปัจจัยที่เกี่ยวกับการออกดอกของต้นไม้กัน ซึ่งการออกดอกนั้นมีทั้งปัจจัยภายใน เช่น ความต้องการแสงของต้นไม้ (บางชนิดจะออกดอกเมื่อได้รับแสงในวันเป็นระยะเวลาสั้น บางชนิดออกดอกเมื่อได้รับแสงในวันเป็นระยะเวลายาว) หรืออายุของต้นไม้ที่เหมาะสม และปัจจัยภายนอก เช่น แสง น้ำ และการตัดแต่ง​ต้นไม้ในเมืองมักจะถูกปลูกในพื้นที่ที่มีแสงไฟในเวลากลางคืน ทำให้ต้นไม้มีเวลาอยู่ในช่วงความมืดลดลง (อ่านคอนเทนต์เพิ่มเติม https://bit.ly/3rF7P5g) ทั้งนี้มีงานวิจัยที่ระบุว่าต้นไม้บางชนิดเมื่ออยู่ในระยะเวลากลางคืนที่น้อยหรือไม่ต่อเนื่อง การออกดอกก็จะถูกยับยั้ง ถึงแม้ว่าต้นไม้จะมีอายุที่เหมาะสม หรือต้นไม้บางต้นถูกปลูกใต้ร่มเงาของอาคาร ทำให้ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์น้อยกว่าปกติ​หรือแม้แต่ต้นไม้บางชนิดจะออกดอกในฤดูแล้งที่มีน้ำน้อย เนื่องจากการขาดน้ำกระตุ้นให้ต้นไม้เกิดความเครียด ต้นไม้จึงออกดอกเพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ แต่ต้นไม้ในเมืองมักได้รับการรดน้ำเป็นประจำตลอดทั้งปี​การดูแลให้ต้นไม้ในเมืองออกดอกตามฤดูกาล จึงควรต้องเริ่มจาก "การเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่" การออกแบบพื้นที่ให้มีปริมาณแสงที่เหมาะสมทั้งแสงดวงอาทิตย์และแสงไฟ หรือการดูแลต้นไม้ให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ก็จะช่วยกระตุ้นให้ต้นไม้ออกดอกตามฤดูกาลอย่างที่ควรจะเป็น และเพิ่มความสวยงามและคุณค่าให้กับพื้นที่ของเมืองได้​เนื้อหาโดย คุณ สิริวรรณ สุขงาม นักศึกษาภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณ ธนวัฒน์ จินจารักษ์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายสิ่งแวดล้อม Urban Environmental & Biodiversity Engineer, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​At gardare. (ม.ป.ป.). ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไม้ประดับ. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา:  https://researchex.mju.ac.th/agikl/index.php/knowledge/27-flowers/garden-tree/151-gardentree-4​มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). การเกิดดอก. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=5&chap=2&page=t5-2-infodetail12.html​อมรธัช อุนจะนำ. การออกดอกและการติดผลของต้นไม้. พืชสวน. 5(1), 17-22​sd perspectives. (2562, 22 เมษายน). พื้นที่สีเขียว&ต้นไม้ในโครงการอสังหาฯ คืออีกสิ่งช่วยตัดสินใจซื้อ !. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.sdperspectives.com/next-gen/sansiri-tree-story-green-mission/​บ้านและสวน. (2563, 4 เมษายน). ตัดไม้ดอก อย่างไรให้ออกดอกสวย ลำต้นไม่โทรม?. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.baanlaesuan.com/185555/baanlaesuan-school/trim-flower​Park, Y.G., Jeong, B.R. Both the Quality and Positioning of the Night Interruption Light are Important for Flowering and Plant Extension Growth. J Plant Growth Regul 39, 583–593 (2020). https://doi.org/10.1007/s00344-019-10002-5​พจนีย์ แสงมณี. 2563. ผลของการตัดแต่งกิ่งและจัดการธาตุอาหารที่มีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมะม่วงหิมพานต์. วารสารเกษตร. 36(3), 313-319

151 viewer

รู้หรือไม่? ​ต้นไม้ไม่ได้มีแค่รากแก้วและรากฝอย​

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อเราพูดถึงรากของต้นไม้ ส่วนใหญ่เราก็จะรู้จักแต่รากแก้ว รากแขนงที่แตกออกจากรากแก้ว และรากฝอยเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้ว รากของพืชยังมีอีกมากมายหลายชนิด จนบางครั้งเราอาจคิดไม่ถึงว่าที่เคยเห็นนั้นเป็นราก​รากแก้ว (Tap Root) และรากแขนง (Lateral Root) เป็นรากที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งมีหน้าที่หลักในการค้ำจุนพืชให้ยึดติดอยู่ดินหรือวัสดุปลูก ดูดซึมน้ำ และแร่ธาตุจากดินส่งไปยังลำต้นเพื่อใช้ในกระบวนการเจริญเติบโต แต่พืชก็ยังมีรากพิเศษ (Adventitious Root) ที่เป็นรากที่พัฒนาเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อาจไม่เหมาะสม หรือไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของพืช โดยรากพิเศษก็มีมากมายหลายชนิด เช่น...​รากค้ำยัน (Prop Root) หรือเสาหลักค้ำยัน (Pillar Root) เป็นรากที่ถูกพัฒนามาจากลำต้นภายใต้สภาวะเครียดที่เกิดจากน้ำท่วม พื้นดินอ่อนนุ่ม โดยมีหน้าที่ในการช่วยค้ำจุนให้ต้นไม้สามารถคงอยู่ได้ มีลักษณะที่เป็นเนื้อไม้งอกออกมาจากลำต้น ตัวอย่างรากชนิดนี้ที่เด่นชัดก็คือ ต้นโกงกางในป่าชายเลนนั่นเอง​รากสะสมอาหาร (Storage Root) เป็นรากที่มีความสามารถเก็บสะสมอาหารไว้ภายในราก และมีรูปร่างที่หลากหลาย เช่น ทรงกรวย (Conical) ทรงกระสวย (Fusiform) ทรงหัวใจ (Napiform) และทรงนิ้วมือ (Tuberous) พืชที่มีรากชนิดนี้เรารู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอน แต่เราอาจไม่รู้ว่ามันคือราก เช่น มันสำปะหลัง แครอท บีทรูท​รากอากาศ (Aerial Root) เป็นรากที่ทำหน้าที่ยึดเกาะตามพื้นที่ต่างๆ เช่น พวกกลุ่มไม้เลื้อย บางชนิดมีคลอโรพลาสที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ทำให้เห็นเป็นสีเขียวบริเวณนั้นอย่างชัดเจน เช่น รากกล้วยไม้​รากหายใจ (Air Root) เป็นรากที่มีหน้าที่แลกเปลี่ยน และลำเลียงก๊าซออกซิเจนไปใช้ในรากที่อยู่ภายในดิน เช่น Pneumatophore ของต้นแสมขาวในป่าชายเลน เนื่องจากป่าชายเลนมีน้ำท่วมตลอดเวลา ทำให้รากที่อยู่ใต้ดินขาดออกซิเจน พืชจึงได้พัฒนาตัวเองให้โผล่พ้นดินเพื่อใช้ในการหายใจ​รากปรสิต (Parasitic Root) เป็นรากของพืชปรสิตที่จะคอยชอนไช และแทงลึกเข้าไปในรากของพืชชนิดอื่น เพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารหลักให้กับตัวเอง โดยรากปรสิตนี้อาจทำให้ต้นหลัก (Host) เจริญเติบโตได้ช้าลงจนไปถึงเหี่ยวเฉาและตายได้​รากพูพอน (Buttress Root) เป็นรากที่เกิดจากการปรับตัวของต้นไม้บางชนิดที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น บริเวณริมน้ำ หรือพื้นที่ดินตื้น จึงทำให้รากแก้วไม่สามารถชอนไชลงไปในดินได้ จนต้องปรับตัวให้มีลักษณะเป็นแผงใหญ่ยื่นออกนอกลำต้นทางโคน เพื่อให้สามารถพยุงตัวอยู่ได้เนื้อหาโดย คุณ นครินทร์ ผ่องแผ้ว นักศึกษาภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณ ธนวัฒน์ จินจารักษ์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายสิ่งแวดล้อม Urban Environmental & Biodiversity Engineer, RISC

242 viewer

ต้นไม้เหี่ยวเพราะขาดน้ำ จริงหรือ?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หากพูดถึงการปลูกต้นไม้ เชื่อว่าใครหลายคนคงทำได้ไม่ยากเกินไป แต่...การดูแลต้นไม้ให้สุขภาพดี อาจต้องใช้ความรู้ และความเข้าใจมากกว่านั้น​การดูแลต้นไม้จำเป็นต้องเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพต้นไม้ เช่น แสงแดด ดิน น้ำ อากาศ อุณหภูมิ และปุ๋ย โดยเฉพาะน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าต้นไม้ขาดน้ำจะส่งผลให้ต้นไม้เฉาตายได้ แต่ในทางกลับกัน การให้น้ำที่มากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ป่วย และตายได้ด้วยเช่นกัน​โดยทั่วไปชั้นดินเขตรากพืชจะมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ เนื้อดิน ช่องว่างในดินที่มีอากาศ และน้ำ การรดน้ำเป็นประจำโดยไม่สังเกตสภาพแวดล้อมของพื้นที่ จนทำให้มีน้ำสะสมอยู่เต็มช่องว่างในดินเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดปัญหาต่อต้นไม้ตามมา นั่นก็คือ รากเน่า รากขาดออกซิเจนสำหรับหายใจ และโรคที่มาพร้อมกับความชื้น เช่น โรคจากเชื้อรา เมื่อเชื้อราสามารถเจริญเข้าไปในรากพืชได้ เชื้อราจะลุกลามไปทั่วลำต้น และแพร่ระบาดผ่านอากาศและน้ำ ปัญหาเหล่านี้ทำให้รากดูดซึมน้ำ และสารอาหารได้ลดลง การเติบโตของต้นไม้จึงหยุดชะงัก​การให้น้ำต้นไม้ในปริมาณที่เหมาะสม จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการดูแลต้นไม้ให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง การตรวจสอบสภาพดิน และความชื้นอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนปริมาณน้ำตามสภาพอากาศ และความต้องการของต้นไม้ จะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการให้น้ำมากเกินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ เนื้อหาโดย คุณ สิริวรรณ สุขงาม นักศึกษาภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณ ธนวัฒน์ จินจารักษ์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายสิ่งแวดล้อม Urban Environmental & Biodiversity Engineer, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมส่งเสริมการเษตร. 2558. การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าในการปลูกพืชผัก และพืชสมุนไพร. พิมพ์ครั้งที่ 1. https://esc.doae.go.th/vegetable/​กรมส่งเสริมการเษตร. หากพืชได้รับน้ำมากหรือน้อยเกินไป จะเกิดผลเสียอย่างไร. ​ยงยุทธ โอสถสภา. 2565. เข้าใจดิน ดูแลดิน หลังน้ำท่วม. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.doae.go.th/answers/หากพืชได้รับน้ำมากหรือ/​เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ประเทศไทย. เชื้อราในพืช ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตจากภาวะพึ่งพาอาศัย ไปจนถึงภาวะปรสิต. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://ngthai.com/science/48232/believe-in-plants/

180 viewer

Quality Time ของครอบครัว ส่งเสริม Quality of Life

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

ผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ หลายท่านคงได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกับครอบครัว และคนที่เรารักอย่างเต็มที่ ถึงแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราทุกคนตั้งตาเฝ้ารอในทุกๆ ปี​เราทุกคนอาจให้คุณค่ากับ “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” รวมทั้งในมิติของเวลาด้วย เพราะการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ (Quality Time) นั้นให้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่าเวลาทั้งหมด (Quantity Time) ที่ถูกใช้ไป แต่อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถจัดสรรเวลาให้มีจำนวนชั่วโมงที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันเพิ่มมากขึ้น ก็ย่อมสร้างโอกาสสำหรับช่วงเวลาดีๆ ที่มีคุณภาพกับครอบครัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน​ครอบครัวที่อบอุ่น เข้มแข็ง มีความสัมพันธ์อันดี จะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง "มากเกินไป" กับ "ไม่เพียงพอ" ในการใช้เวลาร่วมกันได้ การรับประทานอาหารหรือทำอาหารร่วมกัน การนั่งเล่นพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่พบเจอในแต่ละวัน การเดินเล่นหรือออกกำลังกายด้วยกัน หรือแม้แต่การช่วยกันทำงานบ้าน ล้วนเป็นตัวอย่างของกิจกรรมครอบครัวที่สามารถทำได้ในทุกวัน อีกทั้งลูกๆ จะเรียนรู้การสร้างสมดุลในชีวิต เมื่อพวกเขาเห็นพ่อแม่จัดสรรเวลาให้กับครอบครัวได้ดีเป็นตัวอย่าง​การได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่มีความสำคัญอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีของวัยรุ่น ส่งผลต่อการมีทักษะทางสังคมที่ดีกับผู้อื่น เช่น ทักษะการสนทนา ทักษะการสร้างมิตรภาพ หรือทักษะการจัดการอารมณ์ อีกทั้งการใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่ตามลำพังจะช่วยส่งเสริมความภาคภูมิใจในตนเองได้อีกด้วย​นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างปู่ ย่า ตา ยาย และหลาน มักชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ครอบครัวที่แข็งแกร่ง การดูแลลูกหลานสามารถลดความเสี่ยงของความเหงา ผู้สูงอายุจะรู้สึกได้รับความไว้วางใจ อีกทั้งช่วยลดอาการซึมเศร้าในคนทั้งสองวัยได้เป็นอย่างดี ซึ่งตรงกับผลการศึกษาวิจัยจาก Boston College ที่รวบรวมข้อมูลจากปู่ ย่า ตา ยาย จำนวน 374 คน และหลานที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 356 คน ตลอดระยะเวลา 19 ปี (ค.ศ. 1985-2004)​แต่ด้วยภาระหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ และด้วยวิถีชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน ที่ไม่อาจส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวใหญ่เหมือนเดิมได้ การได้พบหน้า หรือทำกิจกรรมร่วมกันจึงเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งเท่าที่ควร ช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ จึงนับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะได้แสดงความรัก ความห่วงใย การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เสมือนได้รับการบำบัดจากครอบครัว (Family Therapy) เพื่อให้เราได้ชาร์จพลังให้แก่กัน เสริมแรงใจในการต่อสู้ต่อไป​สำหรับครอบครัวใดที่มีโอกาสอยู่พร้อมหน้ากัน หรือได้พบปะกันอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว คงจะเป็นการดีมากหากพื้นที่บ้านของเราเอื้อให้เกิดช่วงเวลาคุณภาพกับครอบครัวได้มากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมร่วมกัน และเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันโดยไม่ลดทอนความเป็นส่วนตัว และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากครอบครัวได้ใช้ช่วงเวลาที่มีคุณภาพด้วยกันในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น สวนภายในบ้าน สวนหย่อมในพื้นที่ส่วนกลาง หรือสวนสาธารณะต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้า กระตุ้นให้เด็กและผู้สูงอายุได้เคลื่อนไหวร่างกาย ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้กับเด็กๆ จากการที่ได้เล่นและเรียนรู้ธรรมชาติไปพร้อมกัน​แม้เทศกาลปีใหม่สิ้นสุดแล้ว แต่โอกาสสำคัญยังมีอีกตลอดทั้งปี ขอให้ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันในวันเด็กที่จะถึงนี้ อย่างมีคุณภาพ​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Ami Albernaz, The Boston Globe (December 14, 2015).​Danielle Cohen. Child Mind Institute (November 13, 2024).​Susan McHale, Penn State Social Science Research Institute (August 21, 2012).​Suzanne Pish, Michigan State University Extension (June 15, 2013).

157 viewer

หลักสูตร WELL Masterclass รุ่น 1

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หลักสูตร WELL Masterclass รุ่น 1 ร่วมยกระดับสู่อนาคตแห่งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ด้วย "WELL Masterclass" คอร์สอบรมที่จะช่วยให้คุณสร้างสรรค์พื้นที่ที่ใส่ใจสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และความยั่งยืน ผ่าน WELL Building Standard พร้อม Workshop จำลองการนำ WELL Building Standard มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงการ และการแลกเปลี่ยนความรู้กับ “ผู้เชี่ยวชาญที่ผลักดันให้โครงการผ่านการรับรอง WELL Building Standard แห่งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”  อบรมทุกวันศุกร์ เริ่ม 7 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม 2568 (รวม 6 สัปดาห์)  เวลา 13:00 - 17:30 น.  Futuretales Lab ชั้น 8 True Digital Park รายละเอียดหลักสูตร WELL Introduction ทำความรู้จัก WELL Building Standardเรียนรู้แนวคิดหลักการของมาตรฐานอาคารส่งเสริมสุขภาวะ ที่มา ความสำคัญ และประโยชน์ของ WELL Building Standard กระบวนการรับรอง ระดับการประเมิน ขั้นตอนการลงทะเบียน การจัดเตรียมเอกสาร ค่าใช้จ่าย รวมถึงการตรวจสอบ และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง กรณีศึกษาโครงการที่ผ่านการรับรอง WELL ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เรียนรู้จากตัวอย่างโครงการจริง วิเคราะห์ความท้าทาย แนวทางแก้ไข และเคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพ กิจกรรมภาคปฏิบัติ แนะนำขั้นตอนการลงทะเบียนโครงการ การคำนวณคะแนน (Scorecard) ตัวอย่างการเลือกทำคะแนนสำหรับโครงการแต่ละประเภท พร้อมกับโจทย์กิจกรรมจำลองการออกแบบโครงการที่ต้องการเข้ารับรอง WELL Building Standard WELL Building Standard 10 Concepts WELL Background อธิบายที่มาและความสำคัญของทุกหัวข้อภายใต้ WELL 10 concepts ที่ส่งผลต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้อาคาร WELL Concept Breakdown เจาะลึกข้อกำหนดแต่ละด้านของ WELL 10 concepts พร้อมตัวอย่างการนำไปปรับใช้ในโครงการจริง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพและความยั่งยืน WELL Workflow แสดงขั้นตอนการประสานงานระหว่างทีมงานต่าง ๆ เพื่อให้การนำ WELL 10 concepts ไปใช้งานจริงสามารถดำเนินได้อย่างราบรื่นและบรรลุเป้าหมายสูงสุด Architect Insight แชร์มุมมองและเทคนิคการออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี จากสถาปนิกและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงในการนำ WELL Building Standard ไปใช้ในโครงการจริง DTGO Campus Presentation เรียนรู้แนวคิดการออกแบบโครงการ DTGO CampUs การผสานข้อกำหนด WELL Building Standard กับการออกแบบอาคารสำนักงาน เพื่อส่งเสริมสุขภาวะ และความเป็นอยู่ที่ดี เรียนรู้มุมมองจากสถาปนิก วิเคราะห์ความท้าทาย แนวทางแก้ไข และเคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ การทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเกล็ดความรู้ด้านการออกแบบอื่นๆ ที่มากกว่า WELL Building Standard เพื่อยกระดับไปสู่การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกชีวิต (For All Well-Being) Design for Well-Being Activity นำความรู้จาก WELL Building Standard มาประยุกต์ใช้ในการทำแบบจำลองโครงการ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การออกแบบอาคารและโครงการที่สอดคล้องกับมาตรฐาน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับโครงการและผู้ใช้งาน DTGO CampUs Tour การเยี่ยมชมโครงการ DTGO CampUs และเรียนรู้เบื้องหลังการออกแบบจากสถาปนิกผู้ออกแบบโดยตรง​ สำรวจโครงการที่ได้รับการออกแบบด้วย WELL Building Standard พร้อมคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบการออกแบบและกลยุทธ์ที่นำไปใช้เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน พร้อมเปิดมุมมองจริงในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน  

409 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา

© 2025 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน