Knowledge - RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

ต้นไม้กับการพยากรณ์อากาศ ​สัญญาณธรรมชาติที่คุณอาจมองข้าม​

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า หากอยากรู้ว่าต้นไม้มีอายุเท่าไหร่ ให้สังเกตที่วงปีของต้นไม้ แต่...รู้หรือไม่ว่า สีและความกว้างของวงปีนั้น ยังสามารถบอกได้ถึงสภาพอากาศได้อีกด้วย​?ต้นไม้สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมผ่านกระบวนการทางชีวภาพ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ต้นไม้อยู่รอดในธรรมชาติ โดยการตอบสนองนั้น ก็มีตั้งแต่การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความชื้นและอุณหภูมิ, การปรับตัวตามฤดูกาล เช่น การผลัดใบ, การส่งสัญญาณผ่านราก การส่งกลิ่นไปในอากาศ เมื่อเกิดการถูกรบกวน และการตอบสนองผ่านการเจริญเติบโตของลำต้น กิ่ง เมื่อต้องการรองรับแรงลม​สภาพอากาศอย่างฝนตกตลอดไปจนอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลต่อการออกดอก และการเจริญเติบโตของต้นไม้เช่นเดียวกัน ต้นไม้บางชนิดสามารถสะสมพลังงาน เพื่อรอให้ถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก่อนที่จะแพร่พันธุ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “ต้นยางนา”​ต้นยางนา ได้รับการขนานนามว่า เป็นต้นไม้ที่มีความสามารถในการพยากรณ์สภาพฝนฟ้าได้ โดยอาศัยการออกดอก และการติดผล ซึ่งสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อม เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝน การที่ต้นยางนาออกดอกและผลในปริมาณมาก มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงฤดูฝนที่อุดมสมบูรณ์ในปีนั้น โดยจากการเก็บข้อมูลความสัมพันธ์ของการติดดอกออกผลของต้นยางนา และปริมาณน้ำฝนของอาจารย์นพพร นนทภา มาเป็นเวลากว่า 10 ปีนำไปสู่การประมวลผล และจัดเก็บเป็นชุดข้อมูลไว้ใช้ทำนายฝนในต่างสถานที่ได้ และสามารถบอกได้ถึงทิศทางการมาของพายุฝนได้อีกด้วย​ความสามารถเหล่านี้อาจไม่ได้หมายถึงการพยากรณ์อากาศเหมือนมนุษย์ แต่เป็นกลไกการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพของต้นไม้ ซึ่งยิ่งต้นไม้มีอายุมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศในพื้นที่นั้นได้แม่นยำมากขึ้น​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISCอ้างอิงข้อมูลจาก โรงเรียนปลูกป่า (Forest Plantation School)​

71 viewer

พรมที่่ต้องการทิ้ง ชุบชีวิตมาใช้ใหม่กันเถอะ

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

พรมปูพื้น เป็นหนึ่งในของตกแต่งที่เพิ่มความสวยงาม หรูหรา และสร้างบรรยากาศให้กลมกลืนไปกับ Mood & Tone ของบ้าน และอาคารสำนักงานต่างๆ ด้วยความหลากหลายของลวดลาย สีสัน สัมผัสที่นุ่มสบาย ช่วยลดเสียงรบกวน ลดความเสี่ยงจากการลื่นล้ม และป้องกันรอยขีดข่วนของวัสดุปูพื้น หรือแม้แต่บางชนิดก็ยังช่วยกำจัดฝุ่นละออง และเชื้อโรคในอากาศได้อีกด้วย จึงทำให้พรมเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก​แต่...เมื่อใช้งานไปนานๆ พรมจะเริ่มเสื่อมสภาพ สีซีดจาง ไม่นุ่มฟูเหมือนเดิม และกลายเป็นที่สะสมฝุ่นละอองสิ่งสกปรก ทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้พรมใหม่ และทิ้งพรมที่ใช้แล้วให้กลายเป็นขยะที่จัดการได้ยาก​ทำไมพรมถึงเป็นขยะที่จัดการได้ยาก?​นั่นก็เพราะพรมมีโครงสร้างซับซ้อน อีกทั้งยังประกอบด้วยวัสดุหลายชนิด โดย "ชั้นบนสุด คือ ขนพรม" จะเป็นเส้นใยธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ถูกยึดติดกับ "ฐานพรม" เพื่อช่วยให้พรมคงรูป และรับแรงกระแทกได้ด้วยยางสไตรีนบิวตะไดอีน (SBR) ซึ่งเป็นพลาสติกเทอร์โมเซต ทำให้การแยกชั้นขนพรมออกจากฐานพรมเพื่อนำไปรีไซเคิลทำได้ยาก พรมถูกทิ้งส่วนใหญ่จึงมักจบลงด้วยการฝังกลบหรือเผา จนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ส่วนพลาสติกในพรมต้องใช้เวลาในการย่อยสลายหลายร้อยปี รวมทั้งมีโอกาสปนเปื้อนลงสู่ดิน และแหล่งน้ำของไมโครพลาสติก โลหะหนัก สีย้อม และสารประกอบกลุ่มเปอร์ฟลูออโร (เช่น PFOS, PFOA) สารเหล่านี้เป็นสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สลายตัวช้าในสิ่งแวดล้อม และถ่ายทอดในห่วงโซ่อาหารได้ นั่นคือถ้าเรารับประทานปลาที่อาศัยในแหล่งน้ำที่มีสารเคมีเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ เราก็จะได้รับสารเคมีนี้เข้าสู่ร่างกายด้วย ขยะพรมใช้แล้วจึงควรจัดการด้วยวิธีที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกิดขึ้น​แล้วเราจะจัดการขยะจากพรมได้อย่างไร?​การนำพรมใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) จึงเป็นวิธีจัดการขยะพรมใช้แล้วที่ดีที่สุด นอกจากจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรแล้ว ยังไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน หากพรมมีความเสียหายมากเกินไปจนไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การรีไซเคิล (Recycle) ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่เหมาะสม โดยวิธีการรีไซเคิลพรมสามารถทำได้ทั้งวิธีเชิงกลและเชิงเคมี​- การรีไซเคิลเชิงกล เป็นการบดย่อย และนำมาหลอมขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ฉนวนกันเสียง แผ่นปูพื้น ซึ่งมีคุณสมบัติด้อยลง​- การรีไซเคิลเชิงเคมี เป็นการนำเส้นใยจากพรมมาผลิตใหม่ผ่านกระบวนการทางเคมี เช่น Depolymerization ได้วัสดุที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าวัสดุใหม่ หรือ Pyrolysis ได้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตเคมีภัณฑ์หรือเชื้อเพลิง​แม้ว่าการรีไซเคิลเชิงเคมีจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีมูลค่าสูงกว่าวิธีเชิงกล แต่เหมาะกับพรมที่ใช้เส้นใยชนิดเดียว และสามารถแยกองค์ประกอบได้ง่าย ​ปัจจุบันการรีไซเคิลขยะจากพรมใช้แล้วในเชิงพาณิชย์ยังคงจำกัดแค่เส้นใยบางชนิดเท่านั้น เช่น Nylon 6 หรือ PP เนื่องจากปัญหาการรวบรวมขยะพรม ความคุ้มค่าในการรีไซเคิล รวมทั้งการนำเม็ดพลาสติกรีไซเคิลไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนั้นผู้ผลิตควรออกแบบพรมให้สามารถแยกองค์ประกอบได้ง่าย รวมทั้งใช้วัสดุที่ไม่หลากหลายมากนัก เพื่อให้กระบวนการรีไซเคิลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การจัดการขยะพรมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดการใช้ทรัพยากร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Carpet Recycling UK https://carpetrecyclinguk.com/​Sotayo et.al, 2015. Carpet recycling: A review of recycled carpets for structural composites. Environmental Technology & Innovation. 3, 97-107.​

99 viewer

Neuromarketing กับการใช้เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้า เพื่องานการตลาด

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

จากโพสต์ที่แล้วเราได้รู้จัก "Neuromarketing" หรือการตลาดประสาทวิทยา (อ่านคอนเทนต์นี้ได้ https://bit.ly/40LGLjL) กันไปบ้างแล้ว ซึ่งนอกเหนือจากวิธีการติดตามการเคลื่อนไหวของดวงตา (Eye Tracking) และการวัดการตอบสนองทางผิวหนัง (GSR) แล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีที่นำมาใช้ที่น่าสนใจอีก อย่างเช่น การตรวจจับอารมณ์ทางสีหน้า​การตรวจจับอารมณ์ทางสีหน้ายังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่บางอารมณ์อาจไม่สามารถสื่อได้ผ่านคำพูดหรือการทำแบบสอบถาม ซึ่งเทคนิคสำคัญในการตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้า ก็มีตั้งแต่...​การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของจุดสำคัญบนใบหน้า (Action Units: AU)​Facial Action Coding System (FACS) ได้จำแนกการเคลื่อนไหวของใบหน้าออกเป็นหน่วย "Action Units" หรือการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน เช่น การยกคิ้ว (AU1) หรือการหรี่ตา (AU7) ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยให้ตีความอารมณ์ได้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้น อย่างเช่น การขมวดคิ้วอาจบ่งบอกถึงความสับสน ในขณะที่การยกแก้ม และยิ้มแสดงถึงความสุข​การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent: AI)​ด้วยความก้าวหน้าของ AI การใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบ Convolutional Neural Networks (CNNs) จะช่วยให้การตรวจจับอารมณ์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดย CNNs จะผ่านการเรียนรู้ข้อมูลใบหน้าจากกลุ่มคนที่หลากหลายที่มีการแสดงทางอารมณ์ที่มากมายและซับซ้อน ซึ่งสามารถระบุอารมณ์ได้อย่างแม่นยำ แม้ในสภาพแสงและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน​แล้วการนำเทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์ผ่านใบหน้าไปใช้ใน Neuromarketing นั้น โดยหลักๆ จะใช้ในด้านใดบ้าง?​- การประเมินอารมณ์ในงานอีเวนต์: การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามอารมณ์ของผู้ชมในงานอีเวนต์ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้จัดงานรับรู้ถึงความพึงพอใจ และระดับการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างยิ่งในอีเวนต์ขนาดใหญ่ เพราะการสำรวจความคิดเห็นแบบรายบุคคลทำได้ยาก​- การตอบสนอง และปรับปรุงโฆษณา: ในการทดสอบโฆษณา ผู้ประกอบการสามารถใช้การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเพื่อตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ต่อแคมเปญใหม่ๆ หากผู้ชมแสดงอารมณ์ความสุข ความประหลาดใจ หรือความไม่สนใจ สามารถปรับปรุงโฆษณา เพื่อเพิ่มอารมณ์เชิงบวก และลดอารมณ์เชิงลบได้​- การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้น่าดึงดูด: เมื่อมีการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์หรือคุณสมบัติใหม่ สามารถใช้การตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเพื่อประเมินการตอบสนองทางอารมณ์ตั้งแต่แรกเห็น โดยการปรับปรุงการออกแบบ สี หรือข้อความตามอารมณ์ของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งหากบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างอารมณ์ และความรู้สึกที่ดี ย่อมเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า​- การวัดความสนใจ และปรับปรุงร้านค้า: การเข้าใจการแสดงออกทางสีหน้าของลูกค้าในร้านค้าสามารถช่วยสร้างประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่ก่อให้เกิดอารมณ์เชิงบวก โดยข้อมูลจากการตรวจจับใบหน้าช่วยบอกว่าบริเวณใดของร้านค้าทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจ หรือสับสน เพื่อให้สามารถปรับปรุงการจัดวางได้​แม้การตรวจจับอารมณ์จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องความเป็นส่วนตัว เนื่องจากเทคโนโลยีการตรวจจับอารมณ์ใบหน้าเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว บริษัทควรขอการยินยอมจากผู้ใช้อย่างชัดเจน และมีความโปร่งใสในการใช้งานข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงการแสดงทางอารมณ์ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี เช่น แสงสว่าง คุณภาพของกล้อง และสิ่งที่บดบังใบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด​ในโลกที่การตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากอารมณ์ การตรวจจับอารมณ์ผ่านทางสีหน้าจึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการ Neuromarketing ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจความรู้สึกของผู้บริโภคได้ ทำให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงของผู้บริโภค ซึ่งมีหลายหลายกลุ่มได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ​หากบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรใด สนใจในการทำ Neuromarketing สามารถติดต่อ RISC ได้ที่ ​RISC FB: https://www.facebook.com/riscwellbeing  ​หรือ RISC LINE Official: risc_center ​----------------------------------------------------​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC​

193 viewer

"Low Carbon Materials" ทางเลือกเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

วัสดุคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Materials) คืออะไร​?ปัจจุบัน หลายองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มตื่นตัวกับเรื่องนี้มากขึ้น เมื่อกลยุทธ์การออกแบบ และการก่อสร้างอาคารใหม่เพื่อประหยัดพลังงาน ยังไม่ใช่แนวทางเดียวที่จะสามารถนำพาให้ธุรกิจขยับเข้าใกล้เป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปแบบของอาคารให้เป็นศูนย์ได้​ในเมื่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลกสูงที่สุดนั้น มีสัดส่วนของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานในช่วงเปิดใช้งานอาคาร (Operational Carbon) ร้อยละ 28 และยังคงมีส่วนของวัสดุและการก่อสร้าง (Embodied Carbon) อีกถึงร้อยละ 11 ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดทั่วโลก​วัสดุคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Materials) จึงถูกนำมาพูดกันมาขึ้น ท่ามกลางความพยายามที่ต้องการจะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์​วัสดุคาร์บอนต่ำ ก็คือวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุทั่วไป โดยจะพิจารณาจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน รวมไปถึงการจัดการหลังการใช้งาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประเมิณวัฏจักรชีวิต (LCA) (อ่านคอนเทนต์เพิ่มเติมที่ https://bit.ly/3S8zWkd)​ดังนั้น การพิจารณาคุณสมบัติการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของวัสดุอาคาร และกระบวนการก่อสร้างตลอดทั้งกระบวนการ จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ต้องให้ความสำคัญ ควบคู่กับอาคารประหยัดพลังงาน และการเลือกใช้พลังงานสะอาดทดแทน​จะดีแค่ไหน? ถ้ามีวัสดุคาร์บอนต่ำที่สามารถปลูกทดแทนได้​และจะดีแค่ไหน? ถ้าวัสดุนั้นช่วยดูดกลับคาร์บอนได้อีกด้วยตัวเลือกใดจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในความท้าทายของการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Pathway) ของโลกนี้ได้ มาร่วมหาคำตอบได้ในงาน “Timber Construction: The Future of Sustainable Building”​16 ธันวาคม 2567 เวลา 13:00 – 17:30 น. ​ณ Clubhouse โครงการ Mulberry Grove The Forestias Villa​Early Bird!! 3,900 บาท (จากราคาปกติ 4,900 บาท)​วันนี้ – 6 ธันวาคม 2567 เท่านั้น​ลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3O3NVs1​จำกัดเพียง 30 ที่นั่งเท่านั้น!​ชำระเงินได้ที่ บริษัท วี บี ฟอร์ มี คอร์ปอเรชั่น จำกัด​ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 133-5-47655-0​-------------------------------------------------------------​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​World Green Building Council, 2019

170 viewer

หมดฝนแล้ว ปีนี้จะหนาวมั้ย?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หลายคนคงได้เริ่มสัมผัสถึงไอเย็นที่โชยมาในช่วงเช้ามืดกันบ้างแล้ว และเมื่อความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้ามาแทนที่ในช่วงสาย ไอเย็นก็จะจางหายไป ทำให้เราเข้าใจได้เองว่ากำลังเข้าสู่ฤดูหนาว​แต่ถ้าถามว่าปีนี้ประเทศไทยเมื่อหมดฝนแล้วจะเข้าสู่ฤดูหนาวเมื่อไหร่ แล้วจะหนาวหรือไม่ หน่วยงานที่จะให้คำตอบได้ดี และแม่นยำที่สุดของประเทศไทย มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ กรมอุตุนิยมวิทยา ​จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา ปกติแล้วประเทศไทยจะเริ่มต้นฤดูหนาวประมาณกลางเดือนตุลาคม เมื่อมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศ อากาศจะแปรปรวน เปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว โดยก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว กรมอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์ลักษณะอากาศช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย และทำการเผยแพร่ข้อมูลออกมาให้ประชาชนรับทราบและเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการคาดการณ์นี้จะเป็นการคาดการณ์ระยะนานโดยใช้วิธีทางสถิติ และวิเคราะห์จากแบบจำลองภูมิอากาศ ​การคาดการณ์ หรือการพยากรณ์อากาศระยะนาน (Longe Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลามากกว่า 10 วันขึ้นไป โดยใช้ทฤษฎีทางอุตุนิยมวิทยาร่วมกับข้อมูลที่ได้จากระบบตรวจอากาศทั้งจากสถานีตรวจอากาศพื้นผิว และชั้นบน โดยจะทำการตรวจวัดองค์ประกอบต่างๆ เช่น อุณหภูมิอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ความกดอากาศ ความเร็วลม และทิศทางลม รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเรดาร์ตรวจวัดอากาศ และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา ก็จะยิ่งทำให้การคาดการณ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น​ส่วนการวิเคราะห์จากแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อพยากรณ์อากาศรายฤดู จะเป็นการคาดการณ์ทางสถิติ ด้วยเครื่องมือ Climate Predictability Tool (CPT) ที่พัฒนาขึ้นโดย สถาบันวิจัย IRI (International Research Institute for Climate and Society, The Earth Institute of Columbia University) ซึ่งการคาดการณ์นี้มาจากแบบจำลอง GCM (Global Climate Model) เป็นการคาดการณ์โดยอาศัยผลการพยากรณ์อุณหภูมิน้ำทะเลเป็นหลัก ร่วมกับข้อมูลการตรวจวัดทางอุตุนิยมวิทยาอื่นๆ​ถ้าถามว่า ฤดูหนาวปีนี้บ้านเราจะหนาวมั้ย?​กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ไว้ว่า ฤดูหนาวจะเริ่มช้ากว่าปกติ โดยประเทศไทยตอนบน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีอากาศหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20 - 21 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพมหานครจะมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 16 – 18 องศาเซลเซียส และปริมณฑล 14 – 16 องศาเซลเซียส อากาศหนาวเย็นที่สุดจะเริ่มประมาณต้นเดือนธันวาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 และจังหวัดที่มีโอกาสเกิดอากาศหนาวจัด (ต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส) ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา น่าน เลย สกลนคร นครพนม ส่วนในภาคใต้จะมีอากาศเย็นบางพื้นที่ แต่ยังคงมีฝนตกชุกต่อไป ​ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวน และกำลังก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัวแบบนี้ อาจทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายของคนในครอบครัวให้แข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงวัย และผู้ที่มีโรคประจำตัว เตรียมเครื่องนุ่งห่มให้พร้อมรับมือกับอากาศหนาวที่จะมาถึง ​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://tmd.go.th/info/%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2​http://climate.tmd.go.th/content/category/4​http://climate.tmd.go.th/content/category/6​

288 viewer

Neuromarketing คืออะไร?​ ช่วยคุณเพิ่มยอดขายได้อย่างไร?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

ปัจจุบัน หลายๆ บริษัทได้ให้ความสำคัญในการลงทุนกับการตลาด (Marketing) มากขึ้น เพื่อที่จะกระตุ้นให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า นำมาซึ่งรายได้เข้าสู่บริษัท​ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไปไกล ทำให้มีการนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาใช้ในการทำการตลาด เพื่อใช้ศึกษาความคิด ความรู้สึก ความสนใจของลูกค้า เมื่อเห็นสินค้า โฆษณา หรือป้ายข้อมูลต่างๆ รวมถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักเครื่องมือและศาสตร์ที่ว่านั้นกัน นั่นก็คือ “Neuromarketing”​Neuromarketing เป็นศาสตร์ที่เกิดจากการรวมกันของคำว่า Neuroscience กับ Marketing โดยมีจุดมุ่งหมายในการใช้องค์ความรู้และเครื่องมือที่ใช้ศึกษาด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) ร่วมกับ จิตวิทยา (Psychology) ในมนุษย์มาใช้กับงานที่เป็น Marketing เพื่อพัฒนาคุณภาพการสื่อสารด้านการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และตอบโจทย์ Campaign ที่ทีมการตลาดพัฒนาขึ้น เช่น การออกแบบ Packaging ของผลิตภัณฑ์, Poster, โฆษณาบนโทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์, Billboard ต่างๆ, Website โดยทำการศึกษาจิตวิทยาเพื่อหาตำแหน่งการวางสินค้าบนชั้นวางสินค้า, ตำแหน่งป้าย Billboard ที่คนจะมองเห็นได้ชัดเจน และอ่านได้ทันในจุดที่ต้องการสื่อสารหลัก หรือแม้แต่การออกแบบเส้นทางการเดินการชมของลูกค้าในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากตัวอย่างเหล่านี้ ก็ยังมีการนำ Neuromarketing ไปใช้ในหมวดอื่นๆ อีกมากมาย​Neuromarketing นับเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงมีการนำเครื่องมือหลายรูปแบบเพื่อใช้ทำความเข้าใจ ความรู้สึก และความสนใจ อย่างเช่น การใช้ Eye-tracking เครื่องมือติดตามสายตา นำมาใช้เพื่อพิจารณาว่าลูกค้ากำลังสนใจอะไร อ่านอะไร ดูอะไรบนผลิตภัณฑ์ หรือโฆษณาที่พัฒนาขึ้นมา โดยตัว Eye-tracking สามารถอ่านค่าได้ 2 รูปแบบ คือ...​ การดูแบบ Heatmap ส่วนนี้จะเห็นภาพรวมของการมองในโฆษณา ผลิตภัณฑ์ พื้นที่ร้าน โปสเตอร์ และอื่นๆ​ การดูแบบ Gaze Plot ส่วนนี้เป็นการดูลำดับ และระยะเวลาของการมอง ทำให้เรารู้ได้ว่าความสนใจของลูกค้าแบบอัตโนมัตินั้นเป็นอย่างไร เราจะนำความเข้าใจนี้ไปปรับใช้กับการออกแบบและวางตำแหน่งสินค้าต่อไปได้​ อีกตัวอย่างที่นิยมมากเช่นกัน ก็คือ Galvanic Skin Response (GSR) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความต้านทานบนผิวหนัง ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อร่างกายของมนุษย์มีความเครียดเกิดขึ้น ผิวหนังของเราก็จะมีความต้านทานเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เพราะร่างกายจะมีการขับเหงื่อออกมา โดย GSR นี้นิยมใช้ในโฆษณาวิดีโอ เรื่องสั้น หรือภาพยนตร์ เพื่อวิเคราะห์ว่า ขณะที่ผู้ชมกำลังชมอยู่นั้น มีอารมณ์ผ่อนคลาย หรือตึงเครียดมากขึ้นในช่วงไหนของโฆษณาบ้าง และตรงตามวัตถุประสงค์ของโฆษณา หรือวิดีโอนั้นๆ หรือไม่​คิดว่าทุกคนคงได้รู้จักศาสตร์ Neuromarketing ที่น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สำหรับในครั้งต่อไป เราจะมาเจาะลึกรายละเอียดของ Neuromarketing กันต่อ ติดตามได้ที่เพจของ RISC​หากบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรใด สนใจในการทำ Neuromarketing สามารถติดต่อ RISC ได้ที่​RISC FB: https://www.facebook.com/riscwellbeing ​หรือ RISC LINE Official: risc_center ​เนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC​

367 viewer

ทำไม "แสงแดด" ถึงสำคัญต่อเรา?​

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

อย่างที่เรารู้กัน “แสงแดด” มีความสำคัญต่อต้นไม้เป็นอย่างมาก และเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการการผลิตอาหารจากการสังเคราะห์แสงนั่นเอง แน่นอนว่าถ้าต้นไม้ไม่ได้รับแสงแดด มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ และเฉาตายไปในท้ายที่สุด​ส่วนมนุษย์นั้น การขาดแสงแดดแม้จะไม่อันตรายต่อชีวิตอย่างต้นไม้ แต่เราก็อาจจะเฉาได้เหมือนกัน เพราะอะไรนั้น? เราจะมาหาคำตอบกัน​โดยปกติ มนุษย์เราจะนอนตอนกลางคืนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของทุกวัน เพราะภายในร่างกายของเรานั้น มีฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมวงจรการนอนหลับของเรา ควบคุมให้เราได้นอน ร่างกายได้พักผ่อนในเวลากลางคืน และตื่นเช้าขึ้นมาอย่างสดใส โดยใช้แสงเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการนี้ วิธีการก็คือ ช่วงเวลากลางคืนร่างกายจะหลั่งเมลาโทนินออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนตัวนี้มากขึ้น ร่างกายของเราก็จะรู้สึกง่วงนอนมากขึ้น แต่เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นช่วงเวลาเช้าตรู่ ร่างกายได้รับแสงแดด ฮอร์โมนเมลาโทนินก็จะลดต่ำลง ทำให้เราตื่นตัว และพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน​จากกระบวนการร่างกายที่เล่ามาเรียกว่า "นาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm)" ซึ่งเป็นการทำงานของร่างกายตามเวลาชีวภาพโดยจะสอดคล้องกับช่วงเวลากลางวัน - กลางคืนพอดิบพอดี ซึ่งนอกจากจะมีเมลาโทนินเป็นสมาชิกแล้ว ยังมีฮอร์โมนอื่นๆ อีกที่ทำงานตามเวลาที่ร่างกายรับรู้ เช่น ระดับคอร์ติซอลที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน ช่วยให้ร่างกายสามารถตื่นตัวได้ตลอดวัน, ฮอร์โมนเซโรโทนิน ที่ช่วยควบคุมเรื่องของอารมณ์ หรือกระบวนการย่อยอาหารที่เหมือนจะรู้ดีว่า เวลาไหนเป็นเวลาที่เราต้องรับประทานอาหารแล้ว​ถ้าเราไม่ได้เจอแสงแดดเป็นเวลานานๆ จะเกิดอะไรขึ้น?​ผลกระทบหลักคือ ร่างกายก็จะมีการทำงานที่ผิดเพี้ยนไป เพราะไม่มีแสงแดดค่อยช่วยให้ร่างกายรับรู้เวลาที่ถูกต้อง หรือก็คือ เมลาโทนินที่ควรจะหลั่งตอนกลางคืนก็จะไม่หลั่ง คอร์ติซอลตอนกลางวันก็จะไม่มา ถึงเวลาที่ต้องนอนเราก็จะไม่ง่วง แล้วตอนกลางวันเราก็จะกลับง่วงซึมตลอดเวลาแทน นอกจากนี้ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายก็จะรวนไปหมด ทำให้การทำงานของระบบร่างกายไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาของวัน เช่น รู้สึกหิวมากในช่วงกลางดึก หรือไม่หิวเลยในเวลากลางวัน ทำให้เป็นต้นตอของปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย​นอกจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายแล้ว ด้านจิตใจเองก็มีผลกระทบด้วยเหมือนกัน โดยประเทศแถบยุโรปจะมีช่วงเวลากลางคืนยาวนานกว่าช่วงกลางวันในช่วงฤดูหนาวนั้น ทำให้มีอาการซึมเศร้าที่เรียกว่า Seasonal Affective Disorder (SAD) หรือซึมเศร้าตามฤดูกาล ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการไม่ได้รับแสงแดดในช่วงเวลากลางวันนั่นเอง แถมยังอยู่ในอากาศที่เย็นตลอดเวลา ทำให้ระดับเซโรโทนินลดลง รู้สึกซึมเศร้า และหงุดหงิดได้ง่ายขึ้น​นี่แหละ!! ความสำคัญของแสงแดดที่ผู้คนมักจะมองข้าม หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนหาเวลาไปโดนแสงแดดบ้าง สร้างความตื่นตัว และช่วยให้เรามีแรงทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน​เนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​1. The Impact of Sleep and Circadian Disturbance on Hormones and Metabolism​2. Circadian Rhythms and Hormonal Homeostasis: Pathophysiological Implications​3. Circadian rhythm disruption and mental health​4. The Impact of Sleep and Circadian Disturbance on Hormones and Metabolism​

318 viewer

เคยสงสัยมั้ยว่า....ทำไมแมงมุมไม่ติดใยตัวเอง?

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

อะไรเอ่ย? แข็งแรงกว่าเหล็ก ยืดหยุ่นกว่ายาง​เฉลย ก็คือ...ใยแมงมุม นั่นเอง!!​หลายคนอาจจะไม่คิดว่า คำตอบจะเป็นใยแมงมุมได้ โดยธรรมชาติของเส้นใยที่แมงมุมสร้างขึ้นมานั้นจะมีความแข็งที่เหนียว หากเส้นใยแมงมุมมีขนาดเท่ากับดินสอ จะสามารถหยุดเครื่องบินโบอิ่ง 747 ขณะบินอยู่ได้เลย หรือหากลองนึกถึงตอนสไปเดอร์แมนยิงเส้นใยเวลาต่อสู้กับเหล่าวายร้าย หรือโหนไปมาแล้ว เราคงเห็นว่าเส้นใยของแมงมุมนั้นแข็งแรงมากเลยที่เดียว​นอกจากความแข็งแรงแล้ว เส้นใยของแมงมุมยังมีความมหัศจรรย์มากกว่านี้อีก​เส้นใยแมงมุมที่เหล่าแมงมุมสร้างขึ้นมาเพื่อดักจับสิ่งมิชีวิตนั้น จะมีเส้นใยหลายแบบผสมอยู่ ทั้งเส้นที่มีความเหนียวและไม่มีความเหนียวปะปนกัน การสร้างเส้นใยของแมงมุมนั้นมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันออกไป ซึ่งแมงมุมจะมีอวัยวะที่เป็นต่อมอยู่บริเวณด้านล่างส่วนท้องเพื่อใช้สำหรับสร้างเส้นใยอยู่ 7 ต่อมด้วยกัน และแต่ละต่อมก็จะมีหน้าที่ผลิตเส้นใยที่หลากหลายต่างกันออกไป​• ต่อม Glandula Aggregate จะสร้างเส้นใยที่มีสารเหนียวคล้ายกาว (Glue Silk) ​• ต่อม Glandula Ampulleceae – major จะสร้างเส้นใยสำหรับรับเเรง เเละเดิน (Walking Thread) มีความแข็งแรงและเหนียวมาก​• ต่อม Glandula Ampulleceae – minor จะสร้างเส้นใยสำหรับเดินชั่วคราวไว้ใช้ขณะกำลังทอใย (Walking Thread)​• ต่อม Glandula Pyrifomes จะสร้างเส้นใยสำหรับเกาะติด​• ต่อม Glandula Anciniformes จะสร้างเส้นใยสำหรับดักจับเหยื่อ (Capture Silk) มีความยืดหยุ่นสูงมาก ​• ต่อม Glandula Tubiliformes จะสร้างเส้นใยสำหรับสร้างรัง หรือ ถุงให้กับไข่และตัวอ่อน​• ต่อม Glandula Corontae จะสร้างเส้นใยที่มีความเหนียวติด ​ด้วยการเป็นผู้สร้างจึงย่อมรู้จักเส้นใยแต่ละเส้นที่ตัวเองสร้างเป็นอย่างดี เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแมงมุมถึงไม่ติดเส้นใยที่ตัวเองสร้างไว้เลย อีกทั้งปลายขาของแมงมุมยังมีขนขนาดเล็ก และมีตะขอพิเศษ จึงทำให้เดินบนเส้นใยได้อย่างมั่นคงและไม่ติดเมื่อเดินบนเส้นใยที่เหนียวนั่นเอง​นอกจากนั้น ประโยชน์ของใยแมงมุมที่นอกเหนือจากการดักจับแมลง หรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เพื่อเป็นอาหารแล้ว ยังมีหน้าที่สำหรับช่วยในการได้ยินโดยการสัมผัสจากการสั่นสะเทือนของเส้นใย ด้วยคุณสมบัติที่มากมายนั้นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักประดิษฐ์ในการสร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน, เข็มขัดนิรภัย หรือแม้แต่ไหมเย็บแผล​เป็นอย่างไรบ้างกับเรื่องราวอันน่าทึ่งของใยแมงมุม สิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกับเราในทุกที่ ครั้งต่อไป RISC จะนำเรื่องราวอันน่าทึ่งของสิ่งมีชีวิตตัวไหนมาเล่าสู่กันฟังอีก รอติดตามได้ที่นี่​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Esme Mathis. (2022). Australian geographic. Unspinning the secrets of spider webs. From: https://www.australiangeographic.com.au/news/2024/07/cobra-bite-treatment/ (สืบค้นเมื่อ 1 August 2024)​ภวิกา บุณยพิพัฒน์. วารสารเทคโนโลยีการเกษตร. ใยแมงมุม. From:  http://oservice.skru.ac.th/ebookft/601/chapter_7.pdf (สืบค้นเมื่อ 1 August 2024)​

360 viewer

เอลนีโญและลานีญาส่งผลกับประเทศไทยอย่างไร

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

คงไม่มีใครไม่รู้จัก ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) เพราะในช่วงหลายปีมานี้เราได้เจอปรากฏการณ์นี้กันไปเต็มๆ​ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเป็นส่วนหนึ่งของความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ซึ่งลักษณะของเอลนีโญ คือ อุณหภูมิมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกจะอุ่นขึ้นผิดปกติ ส่งผลต่อภูมิภาคเขตร้อนอย่างไทยที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักเกิดสภาพอากาศแห้งแล้งกว่าเดิม ในขณะที่ลานีญานั้นจะกลับกัน คือ ทำให้ภูมิภาคเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทยมีปริมาณฝนตกมากขึ้น​สำหรับในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากปรากฎการณ์เอลนีโญสลับมาเป็นปรากฏการณ์ลานีญา จะทำให้ประเทศไทยเรามีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ เมื่อประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำให้พื้นที่ป่าตามธรรมชาติลดน้อยลง เมื่อฝนตกจึงทำให้มีโอกาสเกิดน้ำหลาก ซึ่งไหลอย่างรวดเร็วเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน การเตรียมพร้อมรับมือจึงต้องพร้อมอยู่เสมอ เช่น ยกสิ่งของต่างๆ ขึ้นสู่ที่สูง ตัดกระแสไฟฟ้าในบริเวณชั้น 1 และคอยติดตามฟังสถานการณ์เพื่อเตรียมพร้อมอพยพหากจำเป็น​โดยปกติการที่มีทั้งสองปรากฏการณ์เกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้น มักเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย เสมือนอากาศผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งผลพวงก็มาจากภาวะโลกรวนนั่นเอง และนั่นจึงเป็นสัญญาณที่บอกให้เราทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมือโดยอาศัยหลักการคิดแบบ Resilience และยิ่งเรามีเครื่องมือดีๆ ที่ช่วยให้เราพร้อมรับถือสถานการณ์ต่างๆ ได้ ก็ยิ่งทำให้เราปรับตัวได้ง่ายขึ้น ​“Resilience Framework Toolkit” เป็นเครื่องมือช่วยให้มองเห็นและเข้าใจถึงปัญหา คาดการณ์ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การออกแบบอาคาร การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และวางแผนการพัฒนาเมือง ให้พร้อมตั้งรับและปรับตัวอย่างถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ ที่จะส่งผลกระทบทั้งในระดับอาคาร ระดับชุมชน และระดับเมือง ​สนใจสั่งซื้อ Resilience Framework Toolkit ชำระเงินราคาเล่มละ 600 บาท (รวมค่าส่ง)ได้ที่ เลขที่บัญชี 175-054975-8 ธนาคารกรุงเทพ บจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ​พร้อมแนบหลักฐานการโอนเงิน และชื่อที่อยู่ในการจัดส่งมาทาง https://forms.gle/7ybMXoNZ29Xo826b7 ​หากต้องการใบกำกับภาษี กรุณากรอกรายละเอียดใบเสร็จรับเงิน (รูปแบบ E-Receipt) ได้ที่ https://forms.gle/WPq8ybbKfxXPmkXi9 ​พิเศษ!! ลดเหลือราคาเล่มละ 500 บาท เมื่อซื้อและรับด้วยตัวเองที่ DTGO CAMPUS ตึก Empty Cup, RISC Office (ชั้น 2) และ Forget-Me-Not Shop (ชั้น 3) (https://maps.app.goo.gl/kGLM3YcccNysnMcW9)​------------------------------------------------------------------​เนื้อหาโดย คุณ วรพร ปุณยกนก วิศวกรวิจัยอาวุโส Acting Head of Resilience Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.tmd.go.th/info/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8D%E0%B8%B2​https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2786619​

515 viewer

การจัดการคุณภาพอากาศในช่วงหน้าฝนตาม WELL Building Standard Version 2

โดย RISC | 3 เดือนที่แล้ว

หน้าฝนแบบนี้ สิ่งที่เราต้องเจอก็คือเรื่องความชื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความชื้นที่ว่าอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม​มาตรฐาน WELL Building Standard Version 2 (WELL V2) เป็นมาตรฐานระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีแนวทางที่ครอบคลุมถึงการจัดการความชื้นอย่างมีประสิทธิภาพ ​ผลกระทบของความชื้นสูงในอาคาร ความชื้นสูงในอาคารสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ใช้อาคารได้หลายประการ:​o การเจริญเติบโตของเชื้อรา: ความชื้นสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตของเชื้อรา ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้​o คุณภาพอากาศที่แย่ลง: การสะสมของฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ ทำให้คุณภาพอากาศภายในอาคารแย่ลง​o ความไม่สบายตัว: ระดับความชื้นที่สูงเกินไปทำให้เรารู้สึกอึดอัด เหนียวตัว และไม่สบาย​o การเสื่อมสภาพของวัสดุ: ความชื้นสูงสะสมในวัสดุอาคารต่างๆ สามารถทำลายเฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้​เพื่อให้ทุกคนที่ใช้อาคารได้รับอากาศที่ดีและปลอดภัย โดย WELL Building Standard Version 2 มีแนวทางเฉพาะสำหรับการจัดการความชื้นในอาคาร โดยเน้นที่​การควบคุมความชื้น (Thermal Comfort Concept - T07 Humidity Control) WELL V2 แนะนำให้ระบบระบายอากาศเครื่องกล (Mechanical Ventilation) จะต้องสามารถให้รักษาระดับความชื้นสัมพัทธ์ในอาคารให้อยู่ระหว่าง 30% ถึง 60% โดยระบบต่างกันตามขนาดอาคาร เช่น​o บ้านพักอาศัย ควรเลือกเครื่อปรับอากาศที่มีโหมดควบคุมความชื้น (Dry) หรือเลือกติดตั้งระบบ เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ Energy Recovery Ventilator (ERV) เพื่อแลกเปลี่ยนความร้อนและความชื้นระหว่างอากาศภายในและภายนอก ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสมดุลความชื้น รวมทั้งสามารถติดตั้งเครื่องดูดความชื้น (Dehumidifier) ร่วมกับระบบระบายอากาศ​o อาคารขนาดใหญ่ หรืออาคารสาธารณะ การใช้ระบบ DOAS (Dedicated Outdoor Air System) สามารถช่วยในการปรับคุณภาพอากาศจากภายนอกก่อนนำเข้าสู่อาคาร ซึ่งรวมถึงการควบคุมความชื้นได้ด้วย​นอกจากนี้ WELL V2 แนะนำให้มีการตรวจวัดคุณภาพอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่มีความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของความชื้น โดยแสดงค่าคุณภาพอากาศผ่านหน้าจอแท็บเล็ต หรือแอปพลิเคชันอย่างน้อยทุก 15 นาที​การจัดการความชื้น (Moisture Management - W07 Water Concept) มุ่งเน้นที่การลดการรั่วซึม และสะสมความชื้น​o  ลดการรั่วซึม และสะสมความชื้นบริเวณเปลือกอาคาร (Buidling Envelope) เช่น ออกแบบพื้นที่ให้สามารถระบายน้ำได้ดี ตรวจสอบระบบระบายน้ำฝนเป็นประจำ เลือกใช้วัสดุที่ไม่ดูดซับน้ำ แผ่นกันซึม โลหะ โฟมแบบ Closed-cell​o  ลดการรั่วซึม และสะสมความชื้นภายในอาคาร เช่น ในพื้นที่ หรือห้องที่มีแนวโน้มเจอความชื้นสูง ห้องครัว ห้องน้ำ ควรเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ทนทานต่อความชื้น และสัมผัสน้ำได้ เป็นต้น รวมทั้งตรวจสอบอุปกรณ์ระบบท่อทั้งหมดว่าไม่มีรอยรั่ว ซึ่งจะส่งผลให้มีความชื้นสะสมในพื้นที่ได้ เช่น โถส้วม เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน เป็นต้น นอกจากนี้อุปกรณ์บำบัดน้ำเสีย ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำเสียควรติดตั้งระบบป้องกันการไหลย้อน ​o  สำหรับอาคารขนาดใหญ่ และอาคารสาธารณะ ควรจัดทำแผนการควบคุมความชื้น เช่น กำหนดตารางการตรวจสอบจุดที่เกิดน้ำหมด น้ำรั่ว เชื้อราบริเวณผนัง พื้น อุปกรณ์ HVAC, การตรวจสอบเพื่อประเมินการรั่วไหวของทอน้ำเป็นระยะ ระบบสำหรับผู้ใช้งานอาคาร สามารถแจ้งน้ำรั่ว น้ำหยด หรือการพบเจอเชื้อราในอาคาร นอกจากนี้ทาง WELL มีการกำหนดให้ต้องส่งรายงานการตรวจการรั่วซึม และตรวจสอบเชื้อราไปยังระบบ WELL digital platform อีกด้วย​หากเราสามารถควบคุม และจัดการความชื้นในหน้าฝนได้ จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์มากมาย เช่น​o สุขภาพที่ดีขึ้นของผู้ใช้อาคาร: ลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และปัญหาระบบทางเดินหายใจ​o เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: สภาพแวดล้อมที่สบายช่วยให้ผู้ใช้งานอาคาร มีสุขภาวะที่ดี ​o ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดค่าซ่อมแซมจากความเสียหายที่เกิดจากความชื้น และลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ​o ยืดอายุการใช้งานของอาคาร: ป้องกันการเสื่อมสภาพของโครงสร้างและวัสดุอาคาร​o สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: แสดงถึงความใส่ใจในสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้อาคาร​การนำ WELL Building Standard V2 มาปรับใช้ในการจัดการความชื้นช่วงฤดูฝนไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืนของอาคารและผู้ใช้งาน​ในฐานะที่ปรึกษาด้าน WELL Building Standard เรามีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ปัญหาความชื้นในอาคารและออกแบบระบบจัดการที่เหมาะสมตามมาตรฐาน WELL V2 เราพร้อมให้คำแนะนำและสนับสนุนองค์กรของคุณในการยกระดับการจัดการความชื้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุด​ร่วมกันสร้างอาคารที่ปลอดภัยจากปัญหาความชื้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดก็ตาม​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​การควบคุมความชื้น (Thermal Comfort Concept - T07 Humidity Control) https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/thermal%20comfort/feature/7​การจัดการความชื้น (Moisture Management - W07 Water Concept) ​https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/water/feature/7​การควบคุมความชื้น T07 Humidity Control Option 2: Humidity modeling https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/thermal%20comfort/feature/7​การออกแบบการระบายอากาศ A03 Ventilation Design https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/air/feature/3A04 Enhanced Ventilation Design https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/air/feature/6 ​การกรองอากาศ A12 Air Filtration https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/air/feature/12​คุณภาพอากาศ A01 Air Quality https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/air/feature/การตรวจวัดอากาศ และสร้างความตระหนักรู้ Air Quality Monitoring and Awareness https://v2.wellcertified.com/en/wellv2/air/feature/8​

362 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา

© 2024 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน