RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

เคล็ดลับการดูแลสมอง สู่ชีวิตยืนยาวและมีความสุข

โดย RISC | 12 ชั่วโมงที่แล้ว

รู้หรือไม่? การดูแลสมองอย่างเหมาะสมในวัยสูงอายุ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม แต่ยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีความสุข และพึ่งพาตนเองได้นานขึ้น​ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 13 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าภายใน 30 ปีข้างหน้า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเกิน 20 ล้านคน ซึ่งความท้าทายที่มาพร้อมกับสังคมสูงวัย คือการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ “สมอง” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของคุณภาพชีวิต​ทำไมสุขภาพสมองถึงสำคัญในวัยสูงอายุ?​สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนและเปราะบาง ทำหน้าที่ควบคุมการคิด การตัดสินใจ ความจำ และการดำเนินกิจวัตรประจำวัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์สมอง และการทำงานที่เชื่อมโยงกันจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ส่งผลให้ความจำไม่ดีเหมือนเดิม คิดได้ช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม อย่างเช่น อัลไซเมอร์​อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในวัยสูงอายุ สมองก็ยังคงปรับตัวและยืดหยุ่นได้ หากได้รับการดูแล และกระตุ้นอย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อม อีกทั้งยังทำให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณภาพ​เคล็ดลับการดูแลสมองผู้สูงวัยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำอย่างสม่ำเสมอและครบทุกด้าน ก็ช่วยให้สมองแข็งแรงได้ ไม่ว่าจะเป็น...​1. ออกกำลังกายเป็นประจำ: กิจกรรมง่ายๆ อย่างการเดินช้าๆ โยคะ ไทเก็ก หรือว่ายน้ำ ทำวันละอย่างน้อย 30 นาที ก็จะช่วยให้เลือด และออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง และกระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อความจำและอารมณ์​2. กินอาหารที่ดีต่อสมอง: เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3 แอนติออกซิแดนท์ และวิตามิน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช และผลไม้หลากสี เพื่อช่วยลดการอักเสบ และชะลอความเสื่อมของสมอง​3. พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับวันละ 7–8 ชั่วโมง จะช่วยให้สมองได้พัก และจัดเก็บความทรงจำ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อม​4. ฝึกใช้สมองอยู่เสมอ: การอ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือฝึกภาษาใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง และสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทใหม่ๆ​5. สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม: การพูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือเข้าร่วมกิจกรรมสังคม ช่วยลดความเหงา ความเครียด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ​6. ตรวจเช็กสมองอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจคัดกรองสมอง หรือทำแบบประเมินสุขภาพสมอง ช่วยให้ทราบความเสี่ยงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้สามารถวางแผนดูแล และฟื้นฟูสมองได้อย่างเหมาะสม​ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุสากล” (International Day of Older Persons) เพื่อให้สังคมทั่วโลกได้ตระหนักถึงคุณค่า และศักยภาพของผู้สูงวัย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น​เช่นเดียวกับ The Aspen Tree The Forestias คือหนึ่งในตัวอย่างของการดูแลผู้สูงวัยแบบองค์รวม เน้นทั้งสุขภาพกาย ใจ และสมอง โดยได้ร่วมมือกับ Baycrest ประเทศแคนาดา ศูนย์วิจัยและการดูแลผู้สูงวัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก พัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และโปรแกรมด้านสุขภาพสมอง และการดูแลผู้สูงวัย เพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย​• Health & Brain Center: มีเครื่องมือประเมินสมองและโปรแกรมบริหารสมอง เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ​• กิจกรรมและสภาพแวดล้อมเพื่อผู้สูงวัย: ออกแบบเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว การเรียนรู้ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม​• การดูแลแบบองค์รวม: ช่วยให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพกายแข็งแรง จิตใจสดใส และสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ​โดยความร่วมมือนี้เชื่อมโยงมาตรฐานระดับสากลเข้ากับการดูแลเชิงปฏิบัติจริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยไทย ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีความสุข และมีคุณค่าอย่างยั่งยืน​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.baycrest.org/Baycrest-Pages/News-Media/News/Baycrest-Global-Solutions/A-place-to-age-successfully​https://mqdc.com/aspentree​

61 viewer

เรบีส์ (โรคพิษสุนัขบ้า) รักอย่างถูกวิธี ชีวีจะปลอดภัย

โดย RISC | 5 วันที่แล้ว

คนรักสัตว์โปรดฟังทางนี้!!​สัตว์ทุกตัวมีความน่ารักในตัวเอง ไม่ว่าจะสัตว์ที่มีเจ้าของ หรือสัตว์จรที่พบตามท้องถนน จนบางคนอดใจไม่ไหว อยากเข้าไปสัมผัส อยากให้อาหาร อยากเข้าไปเล่นด้วย แต่...หากชะล่าใจ ก็อาจส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน​เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังคำโบราณว่าไว้ อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน​จากข้อมูลสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าปีนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 7 คน ซึ่งเสียชีวิตทั้ง 7 คน โดยที่รายล่าสุดเสียชีวิต เพราะไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังถูกสุนัขจรจัดกัด​สัตว์เลี้ยงนอกจากจะให้ความสุขกับเราแล้ว ในอีกแง่มุมนึง เรายังมีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับโรคภัยไข้เจ็บจากสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย หากเราประมาท ไม่รักษาความสะอาด หรือขาดความรับผิดชอบโดยไม่ดูแลจัดการสวัสดิภาพสัตว์อย่างถูกต้อง นั่นก็เพราะโรคจากสัตว์สามารถถ่ายทอดสู่คนได้​โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ก็คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ และสามารถติดต่อกันได้ระหว่างคนและสัตว์ ซึ่งการติดต่ออาจติดต่อจากสัตว์มายังคน หรือจากคนไปยังสัตว์ก็ได้​1. ไวรัส ตัวอย่างเช่น โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หวัดนก​2. แบคทีเรีย ตัวอย่างเช่น โรคฉี่หนู โรคบาดทะยัก โรคไข้กระต่าย​3. เชื้อรา ตัวอย่างเช่น โรคเชื้อราจากผิวหนังแมว โรคเชื้อรามูลนก​4. ปรสิต ตัวอย่างเช่น โรคพยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม โรคไข้ขี้แมว​ซึ่งโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เป็นอีกโรคที่เรารู้จักกันดี สามารถติดต่อผ่านทางน้ำลาย จากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด หรือข่วน ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและสมอง หากไม่ได้ทำความสะอาด และรับวัคซีนหลังสัมผัส อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จึงเป็นเรื่องที่ต้องตระหนัก และต้องรู้จักป้องกันตนเอง​จากข่าวประกาศพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า พบสัตว์ป่วยติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ประชาชนจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์จรจัดในรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดพบเชื้อ หากถูกสุนัขหรือแมวกัด ข่วน หรือสัมผัสสัตว์ต้องสงสัย ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด และรีบพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์พบสัตว์ป่วยติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จะต้องมีการกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราว โดยทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ ควบคุมบริเวณ แยกออกจากสัตว์อื่น ทำความสะอาด และทำลายเชื้อโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558​ไม่เพียงแค่สุนัขเท่านั้น หากเราถูกแมว ม้า ลิง วัว ควาย หนู กระรอก กระแต กัดหรือข่วน ควรรีบทำความสะอาด และพบแพทย์เพื่อประเมินหากต้องฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะสัตว์เหล่านี้มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน​ถึงแม้โรคพิษสุนัขบ้าจะมีวัคซีนป้องกัน แต่จากข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า (Thai Rabies Net) แสดงให้เห็นว่า โรคพิษสุนัขบ้ายังคงพบได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย​ 10 อันดับพื้นที่เกิดโรคพิษสุนัขบ้าสูงสุด 30 วันย้อนหลัง (ตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2568 - 10 กันยายน 2568)​ อีกทั้ง ฐานข้อมูลเพื่อการขึ้นทะเบียนสุนัขและแมวของศูนย์บัญชาการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากการสำรวจโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2562 รอบที่ 1 แสดงให้เห็นจำนวนสุนัขที่ไม่มีเจ้าของมีอยู่ราวๆ 109,123 ตัว คิดเป็นร้อยละ 5.0 ของสุนัขทั้งหมด 2,173,999 ตัว และจำนวนแมวที่ไม่มีเจ้าของอยู่ที่ 55,021 ตัว คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของแมวทั้งหมด 854,256 ตัว แสดงให้เห็นว่า ยังมีสัตว์จรอีกมากที่ขาดการดูแล และเสี่ยงต่อการติดเชื้อกลายเป็นพาหะของโรคติดต่ออีกมาก แต่หากมีมาตรการควบคุมและป้องกันที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคน คาดว่าจะสามารถแก้ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างแน่นอน​ ฐานข้อมูลสรุปจำนวนสุนัขและแมวที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ​ สิ่งที่คนรักสัตวต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตนเอง ต้องไม่เข้าใกล้สัตว์จรที่มีท่าทางหวาดระแวง หวาดกลัว ดุร้าย หรือป่วย และแสดงความรักความเอ็นดูสัตว์เลี้ยงด้วยความไม่ประมาท​ส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ควรเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยงของตน เพื่อป้องกันการพลาดพลั้งโดนสัตว์เลี้ยงกัดหรือข่วนโดยไม่ตั้งใจ หากปล่อยสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้านโดยไม่ระวัง อาจโดนสัตว์จรตัวอื่นทำร้าย ทีี่สำคัญคือควรรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ พาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์รับการตรวจสุขภาพและรับการฉีดวัคซีนเป็นประจำ ​หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าบ้านเรามี "พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535" ระบุให้เจ้าของและผู้ครอบครองต้องจัดการให้สุนัขและแมวทุกตัวได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในกรณีของสุนัขและแมวต้องได้รับการฉีดวัคซีนครั้งแรกเมื่อมีอายุ 2 เดือนขึ้นไป แต่ต้องไม่เกิน 4 เดือน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษตามกฎหมาย​ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องทำการถ่ายพยาธิตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์แนะนำ ปรับพฤติกรรมให้เคยชินกับล้างมือทุกครั้งภายหลังจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง ทั้งการเล่น การทำความสะอาดร่างกาย หรือเก็บมูลของเสียของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร และควรขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงกับหน่วยงานราชการท้องถิ่น หรือคลินิคสัตวแพทย์ที่ได้รับอนุญาต เพื่อความปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ​นอกจากนี้ ผู้ที่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องทำการจดทะเบียนสัตว์เลี้ยง และฝังไมโครชิปเป็นสิ่งที่จำเป็นตามกฎหมาย "ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567" ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2569 กำหนดให้เจ้าของสุนัขและแมว ต้องนำสัตว์ไปฝังไมโครชิป จดทะเบียนและออกบัตรประจำตัวสุนัขและแมวภายใน 120 วันนับแต่วันที่สัตว์เกิด หรือภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่นำสัตว์มาเลี้ยงในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดปัญหาปริมาณสัตว์จรจัด และส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงสัตว์มีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง​การรักสัตว์ ต้องรักอย่างถูกวิธี และมีความรับผิดชอบ​วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก 28 กันยายนนี้ จึงอยากให้ทุกคนตระหนัก และป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้แนวคิด “อย่ารอช้า! รวมพลังหยุดยั้งพิษสุนัขบ้า” เพื่อความปลอดภัยของทุกคน​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567​คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล: Zoonoses โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (https://www.si.mahidol.ac.th/metc/met/th/zoo/index.html)​พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535. (2535, 12 กุมภาพันธ์). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 109 ตอนที่ 9. หน้า 24.​พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558. (2558, 2 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 132 ตอนที่ 14 ก. หน้า 22-41.​ระบบสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า (http://www.thairabies.net/trn/)​

196 viewer

ลดคาร์บอนจากรถยนต์ ลดการใช้รถกันเถอะ

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ ปี 2024 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ทั่วโลกทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 41.6 พันล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 40.6 พันล้านเมตริกตัน​แน่นอนว่า แหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ มาจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคพลังงาน (Energy sector) ภาคอุตสาหกรรม (Industry sector) ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Agriculture, forestry and land use sector) รวมไปถึงภาคขนส่ง (Transportation sector) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจในเชิงโลจิสติกส์ และการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน ที่ยังคงต้องใช้รถยนต์ หรือยานพาหนะต่างๆ ในการเดินทาง ​เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคส่วนอื่นๆ แล้ว ภาคการขนส่งจะอยู่ที่อันดับที่ 4 คิดเป็น 15% รองจากอันดับที่ 1 ภาคพลังงาน 34%, อันดับที่ 2 ภาคอุตสาหกรรม 24% และอันดับที่ 3 ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน 22%  ​หลายๆ คนอาจคิดว่า การเดินทางด้วยรถยนต์คงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย เมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่นๆ แต่...จริงๆ แล้วเกือบ 50% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาจากรถยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงรถตู้ ซึ่งเรามักคิดว่าสภาวะโลกร้อนมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตใหญ่ๆ ในประเทศใหญ่ๆ เท่านั้น จนลืมไปว่า เรานี่แหละ!! ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่ที่เราสตาร์ทรถออกไปทำงาน ซื้อกับข้าว หรือช้อปปิ้ง​วันที่ 22 กันยายน เป็นวัน Car Free Day หรือวันปลอดรถยนต์โลก เรามาลองใช้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการลดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อโลก และสุขภาพของเรา จากการลดโอกาสที่เราสูดดมมลพิษเข้าสู่ปอด​ในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้เช่นกัน ด้วยการออกแบบผังรวมของโครงการ (Master Plan) ด้วยกลยุทธ์การออกแบบที่ช่วยลดการใช้รถยนต์ สร้างความรู้สึกให้คนอยากเดินได้ อย่างโครงการ The Forestias ได้ออกแบบให้มีพื้นที่ทางเดินในโครงการมากขึ้น ร่มรื่นน่าเดิน รวมทั้งยังลดพื้นที่ถนนให้เหลือที่จำเป็น เพื่อให้การใช้รถยนต์ลดลงอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ ศิรพัชร มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​https://www.undp.org/thailand/stories/climate-agriculture-ghg​https://ourworldindata.org/travel-carbon-footprint​https://www.statista.com/chart/30890/estimated-share-of-co2-emissions-in-the-transportation-sector/​

479 viewer

เย็นสบายไม่ทำลายโลก กับสารทำความเย็นยุคใหม่

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ สารทำความเย็น HFOs ชนิดใหม่.....เป็นมิตรกับโลกยิ่งกว่าเดิม !!​เราอาจไม่คาดคิดว่า เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะมีผลกระทบกับชั้นโอโซนโดยตรง นั่นก็เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้สารทำความเย็น ซึ่งหากเลือกผิด ก็อาจกลายเป็นตัวการทำลายชั้นโอโซนได้​ในอดีต สารทำความเย็นกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ถูกใช้อย่างแพร่หลาย เพราะทำความเย็นได้ดี ไม่ติดไฟ และไม่มีพิษ แต่...CFCs มีความคงทนสูง สามารถลอยสะสมอยู่ในบรรยากาศได้นานหลายสิบปี และเมื่อโดนรังสี UV จะแตกตัวแล้วปล่อยอนุมูลอิสระของคลอรีนไปทำลายโมเลกุลของโอโซนโดยตรง ทำให้โอโซนสลายตัวกลายเป็นออกซิเจน ส่งผลให้เกิดรูโหว่โอโซน จนนำมาสู่การเกิดภาวะโลกร้อนในที่สุด​เมื่อโลกได้รับผลกระทบ จึงทำให้ต้องยุติการใช้ CFCs แล้วเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) แทน ซึ่งทำลายโอโซนได้น้อยกว่า แต่ก็ยังคงส่งผลต่อการเกิดภาวะโลกร้อนอยู่ดี ทำให้หลายประเทศกำลังทยอยเลิกใช้งาน รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน​ปัจจุบันมีการพัฒนาสารทำความเย็นชนิดใหม่ที่เป็นมิตรกับโลกมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ​• ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ไม่ทำลายโอโซน (ODP =0) แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอยู่ (GWP = 1,000-10,000)​• ไฮโดรฟลูออโรโอเลฟิน (HFOs) ไม่ทำลายชั้นโอโซน (ODP =0) และไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน (GWP = 1-10)​ทุกครั้งที่เราเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศหรือตู้เย็น ควรตรวจสอบว่าสารทำความเย็นที่ใช้มีค่า ODP = 0 และ GWP ต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่า สารทำความเย็นที่ใช้ไม่ทำลายชั้นโอโซน และช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย​16 กันยายน วันโอโซนโลก (World Ozone Day) เป็นวันที่ช่วยย้ำเตือนถึงความสำคัญของชั้นโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (stratosphere) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันโลก คอยดูดซับรังสี อัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะรังสี UVB และ UVC ที่มีพลังงานสูง และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต หากไม่มีชั้นโอโซนช่วยดูดซับรังสีดังกล่าวนี้ มนุษย์จะเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ต้อกระจก ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง การเจริญเติบโตของพืชลดลง และยังทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้น​โครงการ The Forestias เป็นอีกหนึ่งโครงการตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาใช้จริง โดยเลือกใช้สารทำความเย็นรุ่นใหม่อย่าง HFO R1234ze มาใช้ในระบบทำความเย็นภายในอาคาร ซึ่งมีค่า ODP = 0 (ไม่ทำลายโอโซน) และ GWP <1 (เกือบไม่ก่อภาวะโลกร้อน) ถือเป็นหนึ่งในสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ช่วยให้ The Forestias ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 43,869 tCO₂e ต่อปี เมื่อเทียบกับการใช้สารทำความเย็นกลุ่ม HFCs นับว่าเป็นก้าวสำคัญของการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อโลก และปลอดภัยต่ออนาคตของทุกชีวิต​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material

451 viewer

HUG เจ้า(นาย) 5 นาที ดีต่อใจ

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

“วันนี้เหนื่อยจัง ขอกอดเจ้านายชาร์จพลังหน่อยนะ”​“ทำไมรู้สึกสบายใจ และหัวใจก็เต้นช้าลง”​นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีของร่างกายที่ได้รับการเยียวยา มีความผ่อนคลาย และความเครียดที่ลดลงจากการที่ได้กอดน้องหมา หรือเจ้านายของเราก็เป็นได้​Nancy R. Gee, PhD ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (Human Animal Interaction) มหาวิทยาลัย Virginia Commonwealth เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าการกอด การสัมผัส หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับน้องหมาอย่างสนิทสนมเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 5-20 นาที สามารถเพิ่มพลังให้กันและกันได้ ช่วยให้ระดับคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดลดลง และกระตุ้นระดับออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนแห่งความรักเพิ่มขึ้นได้ ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่รู้สึกดี น้องหมาก็รู้สึกได้เช่นกัน ซึ่งพลังพิเศษนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับเรา และน้องหมาที่เพิ่งพบเจอกันได้อีกด้วย​ด้าน Virginia Satir นักจิตบำบัดชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว แนะนำว่าคนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้งเพื่อการอยู่รอด วันละ 8 ครั้งเพื่อการฟื้นฟูบำรุงรักษา และวันละ 12 ครั้งเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายและจิตใจ​ขณะที่ Marti R. จากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และคณะ ได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการแพ้สุนัข จำนวน 21 คน โดยให้กอดน้องหมาจริงสลับกับกอดตุ๊กตาสิงโต แล้วทำการวัดค่าฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน ฮีโมโกลบินที่ไม่มีออกซิเจน ปริมาณฮีโมโกลบินรวม และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดบริเวณกลีบสมองส่วนหน้าสุด เพื่อประเมินการทำงานของสมอง ซึ่งผลการทดลองพบว่า การกอดหรือการเล่นกับน้องหมาจริงมีประสิทธิภาพดีกว่าการกอดตุ๊กตา ช่วยให้การทำงานของสมองส่วนหน้าที่คอยทำหน้าที่คิด วิเคราะห์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น​นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยอีกมากมายที่สนับสนุนว่า การกอดช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ช่วยให้รู้สึกพึงพอใจ เกิดความปิติยินดี ช่วยกระตุ้นการหลั่งเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) ลดความกังวล ซึมเศร้า มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ และระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้มักจะได้รับการกระตุ้นเมื่อกอดกันอย่างน้อย 20 วินาที ขึ้นไป​อีกทั้งการกอดกันยังช่วยการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ทำให้ออกซิเจนถูกลำเลียงไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา​เพราะการกอด คือยาอายุวัฒนะ ยิ่งอยู่ด้วยกัน ได้กอดทุกวัน อายุยืนขึ้นทุกวัน​วันนี้กลับบ้าน อย่าลืมไปกอด "เจ้านาย" ของเรา แล้วอย่าลืมสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของน้องด้วย เผื่อหากวันไหนน้องไม่สบายตัว ไม่เต็มใจให้กอด จะได้ไม่เป็นการฝืนใจเค้า​ในวัน National Hug Your Hound Day หรือวันกอดสุนัขแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ลองใช้เวลาแค่ 5 นาที เปิดใจและให้โอกาสตัวเองได้รับและส่งพลังดีดีให้กันและกัน​และหากกำลังมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม ในสภาพแวดล้อมที่เป็น Pet-Friendly ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลาง สามารถวิ่งแล่น ออกกำลังกายร่วมกันได้ ที่ Whizdom The Forestias Petopia ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็พิเศษอยู่แล้วในทุกๆ วัน​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISCอ้างอิงข้อมูลจาก​Gee NR, Rodriguez KE, Fine AH, Trammell JP. Dogs Supporting Human Health and Well-Being: A Biopsychosocial Approach. Front Vet Sci. 2021 Mar 30;8:630465. doi: 10.3389/fvets.2021.630465. PMID: 33860004; PMCID: PMC8042315.​Gee NR, Townsend L, Friedmann E, Barker S, Mueller M. A Pilot Randomized Controlled Trial to Examine the Impact of a Therapy Dog Intervention on Depression, Mood, and Anxiety in Hospitalized Older Adults. Healthcare (Basel). 2025 Jul 25;13(15):1819. doi: 10.3390/healthcare13151819. PMID: 40805852; PMCID: PMC12346317.​Grewen K. M., Girdler S. S., Amico J. & Light K. C. Effects of partner support on resting oxytocin, cortisol, norepinephrine, and blood pressure before and after warm partner contact. Psychosom. Med. 67, 531-538 (2005).​Handlin, L. et al. (2011) ‘Short-Term Interaction between Dogs and Their Owners: Effects on Oxytocin, Cortisol, Insulin and Heart RateAn Exploratory Study’, Anthrozoös, 24(3), pp. 301–315. doi: 10.2752/175303711X13045914865385. ​Holt-Lunstad J., Birmingham W. A. & Light K. C. Influence of a “warm touch” support enhancement intervention among married couples on ambulatory blood pressure, oxytocin, alpha amylase, and cortisol. Psychosom. Med. 70, 976-985 (2008).​Light K. C., Grewen K. M. & Amico J. A.More frequent partner hugs and higher oxytocin levels are linked to lower blood pressure and heart rate in premenopausal women. Biol. Psychol. 69, 5-21 (2005).​Marti R, Petignat M, Marcar VL, Hattendorf J, Wolf M, Hund-Georgiadis M, et al. Effects of contact with a dog on prefrontal brain activity: A controlled trial. PLoS ONE 17(10): e0274833 (2022).

503 viewer

พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 720,000 คน หรือเฉลี่ย 1 คนในทุกๆ 40 วินาที​การฆ่าตัวตายไม่เพียงส่งผลต่อผู้จากไป แต่ยังสร้างบาดแผลทางจิตใจต่อครอบครัว เพื่อน และสังคมอีกด้วย​สำหรับในประเทศไทย ปัญหานี้ก็ยังคงน่ากังวล โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายกว่า 4,500–5,000 คน หรือเฉลี่ยมากกว่า 12 คนต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เราทุกคนต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันการสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น​แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อน แต่เราสามารถเริ่มป้องกันได้จากสิ่งเล็กๆ รอบตัว เช่น​📌 สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อบอุ่น​📌 เปิดใจฟังกันอย่างจริงใจโดยไม่ตัดสิน​📌 สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตได้อย่างสะดวก และไม่ถูกตีตรา​📌 สร้างสังคมที่ทุกคนสามารถพูดถึงความรู้สึกของตัวเองได้อย่างปลอดภัย​สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้คือ “เกราะป้องกันใจ” ที่ช่วยให้ผู้ที่กำลังเปราะบางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป​นอกจากการเพิ่มเกราะป้องกันใจแล้ว สิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ ก็มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพจิต และลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย​พื้นที่สีเขียวไม่เพียงแค่เพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ทั้ง...​📌 ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การดักจับคาร์บอนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ​📌 ด้านสุขภาพกาย เช่น การลดมลพิษทางอากาศและปรับอุณหภูมิในเมือง​📌 ด้านสุขภาพจิต เช่น การลดความเครียดและสร้างความสงบ​โดยงานวิจัยในเวลส์ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลประชากรกว่า 2 ล้านคนตลอด 10 ปีพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพแวดล้อมร่มรื่น หรืออยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำ มีความเสี่ยงต่อความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าน้อยลง​การส่งเสริมให้ประชาชนใช้พื้นที่สีเขียว พร้อมกับการพัฒนาและดูแลให้เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนมักเผชิญความเครียดหรือความกดดันสูง เช่น ชุมชนหนาแน่น พื้นที่ทำงานเสียงดัง หรือชุมชนที่ขาดพื้นที่สันทนาการ จะช่วยให้ทุกคนมีโอกาสได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพจิตอย่างเท่าเทียม​พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติจึงเป็นเหมือน “เพื่อนเงียบๆ” ที่คอยโอบอุ้มใจเรา ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้าน ทางเดินร่มรื่น หรือพื้นที่สีเขียวในโรงเรียน สถานที่ทำงาน และที่อยู่อาศัยที่กลมกลืนกับธรรมชาติ อย่างเช่น โครงการ The Forestias ที่ออกแบบพื้นที่ป่าเพื่อตอบโจทย์อย่างยั่งยืน เพื่อให้พื้นที่เหล่านี้ช่วยเยียวยาใจ ทำให้เรารู้สึกสงบ ลดความเครียด และเติมพลังใจให้ก้าวต่อ​เนื้อหาโดย คุณ สิทธา ปรีดาภิรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ Happiness Science Hub, RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Geary, R. S., Thompson, D., Mizen, A., Akbari, A., Garrett, J. K., Rowney, F. M., … Rodgers, S. E. (2023). Ambient greenness, access to local green spaces, and subsequent mental health: A 10-year longitudinal dynamic panel study of 2·3 million adults in Wales. Lancet Planetary Health, 7(10), e809–e818. https://doi.org/10.1016/S2542-5196(23)00212-7​Twohig-Bennett, C., & Jones, A. (2018). The health benefits of the great outdoors: A systematic review and meta-analysis of greenspace exposure and health outcomes. Environmental Research, 166, 628–637. https://doi.org/10.1016/j.envres.2018.06.030​Triguero-Mas, M., Dadvand, P., Cirach, M., Martínez, D., Medina, A., Mompart, A., Basagaña, X., Gražulevičienė, R., & Nieuwenhuijsen, M. J. (2015). Natural outdoor environments and mental and physical health: Relationships and mechanisms. Environment International, 77, 35–41. https://doi.org/10.1016/j.envint.2015.01.012​World Health Organization. (2025). World Suicide Prevention Day 2025. https://www.who.int/campaigns/world-suicide-prevention-day/2025​World Health Organization. Regional Office for Europe. (2023). Assessing the value of urban green and blue spaces for health and well-being. https://iris.who.int/handle/10665/367630​กรมสุขภาพจิต. (n.d.). รายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปีงบประมาณ 2566. https://suicide.dmh.go.th/news/view.asp?id=92​

415 viewer

"Neuroinclusive Design”​ การออกแบบรองรับการรับรู้รอบตัวที่ต่างกัน​

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ได้มีแค่ความต่างเรื่องเพศ สถานะ การศึกษา แต่...รู้หรือไม่ ความแตกต่างนี้ยังมีในรูปแบบอื่นอีก ทั้งการรับรู้ ความรู้สึก และปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลาย​“Neuroinclusive Design” หรือ “การออกแบบเพื่อรองรับความหลากหลายทางระบบประสาท” จึงเป็นแนวคิดที่น่าจับตามองสำหรับการออกแบบอาคารยุคใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบความเงียบหรือเสียงเพลง หรือรู้สึกไม่สบายใจกับแสงที่สว่างเกินไปหรือมืดเกินไป การออกแบบที่ใส่ใจความรู้สึก การรับรู้ และการตอบสนองของสมองที่แตกต่างกันสามารถเปลี่ยน “อาคาร” ให้กลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่แท้จริงได้​จุดมุ่งหมายของ Neuroinclusive Design เพื่อสร้างพื้นที่ที่เข้าใจความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ไวต่อเสียง ผู้สูงวัยที่มีปัญหาด้านความจำ หรือแม้แต่คนทั่วไปที่มีรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน โดยหลักการสำคัญของแนวคิดนี้ คือการออกแบบที่ “ยืดหยุ่น” “ปลอดภัย” และ “ไม่ตัดสินความแตกต่าง” รวมทั้ง “ออกแบบให้เหมาะกับตัวเองได้” ซึ่งแนวคิดนี้มีการนำองค์ประกอบต่างๆ ทั้งความสว่างของแสง สีของแสง สี เฟอนิเจอร์ อุณหภูมิ เสียง ต้นไม้ หิน เส้นโค้ง เส้นตรง ผนัง กระจก และอื่นๆ อีกมากมาย คัดเลือกอย่างเข้าใจต่อการรับรู้ของระบบประสาท และนำมาออกแบบสภาพแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้เกิด Neuroinclusive Design ขึ้นมา​แม้แนวคิดนี้อาจดูใหม่ และเป็นเชิงทฤษฎี แต่จริงๆ แล้วสามารถนำมาปรับใช้ในอาคารทั่วไปได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างเช่น การเลือกใช้โทนสีที่ไม่รบกวนประสาทสัมผัส เช่น สีเอิร์ธโทนหรือพาสเทล ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบ ลดความเครียด หรือการออกแบบให้อาคารมีระบบควบคุมแสงที่ยืดหยุ่น เช่น ไฟห้องที่ปรับระดับส่องสว่างได้ หรือม่านที่สามารถกรองแสงธรรมชาติได้ตามระดับที่ต้องการ​อีกหนึ่งตัวอย่างที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือการสร้าง “มุมเงียบ” ในพื้นที่เล็กๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือ หรืออยู่กับตัวเองโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียง หรือความวุ่นวายรอบตัวภายนอก โดยใช้การใช้วัสดุดูดซับเสียง เพื่อลดเสียงรบกวนในพื้นที่ที่มีการใช้งานหลายอย่างร่วมกับพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับเด็กที่มีสมาธิสั้น หรือผู้ใหญ่ที่ต้องการพักจากโลกภายนอก นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสที่อ่อนโยน เช่น ผ้าฝ้าย ไม้ หรือวัสดุที่ไม่สะท้อนแสง ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบาย และมั่นคงมากขึ้นหากต้องการออกแบบสถานที่ทำงานที่สร้างสภาพแวดล้อมช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น สามารถทำได้หลายแนวทาง เช่น การออกแบบเพดานเตี้ย ร่วมกับการมีแสงไฟที่ส่องสว่างโฟกัสไปที่โต๊ะทำงาน ช่วยให้รู้สึกจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายขึ้น ส่วนการเลือกโทนสีภายในสำนักงานก็มีผลต่อสมองเช่นกัน โดยการเลือกใช้สีโทนอุ่นสามารถช่วยลดความตึงเครียด ในขณะที่สีสดใสก็ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การใช้วัสดุที่มีผิวขรุขระ ไม่เป็นระเบียบ คู่กับผนังที่ใช้ลายเส้นซับซ้อนมาประดับ ก็ส่งเสริมให้เกิดการพูดคุย เพิ่มการสนทนาของเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้นเช่นกันการออกแบบอาคารสำนักงานแบบ Neuroinclusive ไม่ใช่เพียงแนวคิดเพื่อ “ความเข้าใจผู้ใช้งาน” เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเครียด และส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจทุกคน เพราะ “พื้นที่ที่ดี” คือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง และทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าพวกเขาจะรับรู้โลกนี้ด้วยวิธีใดก็ตามเนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC

516 viewer

“ฟ้าใส มินิ” กับภารกิจฟอกอากาศใจกลางกรุงเทพมหานคร

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อพูดถึงย่านที่มีความหนาแน่นของการจราจรสูง หนึ่งในนั้นต้องมี “ย่านราชประสงค์” อยู่ด้วย เพราะเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจหลายอย่าง มีการสัญจรของทั้งประชาชน และนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมของมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter: PM) ที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก ​และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีการติดตั้งหอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” ขึ้นมาในย่านนั้น เพื่อศึกษาศักยภาพของระบบฟอกอากาศกลางแจ้งในพื้นที่ใช้งานจริง โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพื้นที่เกษร และย่านราชประสงค์ ในการติดตั้งบริเวณหน้าอาคารเกษร อมรินทร์ และเกษรวิลเลจ​ฟ้าใส มินิ ทำงานผ่านกระบวนการฟอกอากาศด้วยเทคโนโลยี Venturi Scrubber ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) เพื่อดักจับฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบให้ทำงานโดยอัตโนมัติตามค่าฝุ่นที่ตรวจพบในแต่ละช่วงเวลา เป็นการเพิ่มความแม่นยำในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่จริง และใช้ทรัพยากรเพื่อดักจับฝุ่นละอองเท่าที่จำเป็น การประเมินผลการทำงานของระบบฟอกอากาศฟ้าใส มินิ ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงอย่างต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ได้ในระดับที่น่าสนใจ โดยมีประสิทธิภาพการลดค่าฝุ่นเฉลี่ยรายชั่วโมงสูงสุดอยู่ที่ 65% และเฉลี่ยรายวัน (24 ชั่วโมง) สูงสุดอยู่ที่ 36% โดยผลลัพธ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ทิศทางและความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ และระดับความหนาแน่นของการจราจรในพื้นที่ในแต่ละวัน จากการวิเคราะห์ตามช่วงเวลาพบว่า ฟ้าใส มินิ มีประสิทธิภาพสูง สามารถฟอกอากาศได้ดีในช่วงเวลาเย็น (18:00) จนถึงเที่ยงวัน (12:00) ซึ่งเป็นช่วงที่สอดคล้องกับเวลาที่มีการใช้งานพื้นที่ และการจราจรหนาแน่น แต่บางช่วงตอนกลางวันที่มีลมธรรมชาติพัดแรง ก็มีส่วนช่วยลดค่าฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้น​ แม้ในช่วงฤดูฝน หรือฤดูที่มีฝุ่นน้อย ฟ้าใส มินิ ยังคงทำงานอัตโนมัติตามสภาวะอากาศจริง โดยเปิดทำงานเฉพาะช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นเกินเกณฑ์กำหนด จึงช่วยให้พื้นที่มีปริมาณฝุ่นต่ำ ช่วยลดการสัมผัสฝุ่นละอองในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีความเข้มข้นสูง (short-term peak exposures)ฟ้าใส มินิ ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ทางวิศวกรรมสำหรับฟอกอากาศ แต่ทำหน้าที่เสมือน "กลไกเฝ้าระวัง" ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทุกคนจากมลพิษที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวัน แม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่อาจรับรู้ถึงภัยที่แฝงอยู่ในอากาศรอบตัว​เนื้อหาโดย ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ TREES-A, Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC

536 viewer

คนหากิน สัตว์ก็หากิน

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

“คนหากิน สัตว์ก็หากิน...เราไม่เบียดเบียนกันและกัน”​ หลายคนคงเคยฟังเพลง “ชีวิตสัมพันธ์" ของวงคาราบาวกันมาบ้าง แต่...เคยสังเกตไหม? ว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมี “ช่วงเวลา” ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป และธรรมชาติก็ได้ออกแบบจังหวะชีวิตไว้อย่างน่าทึ่ง​ถ้าลองสังเกตดีๆ เราจะพบว่า พฤติกรรมเหล่านี้คล้ายๆ กับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เหมือนกัน งั้นวันนี้เรามาสำรวจ “พฤติกรรมการหากิน” ของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติกัน​ พฤติกรรมการหากินของสัตว์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลักๆ​Diurnal: กลางวัน คือ เวลาทำงาน คล้ายกับมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะตื่นเช้า ออกหากินเมื่อแสงแดดมาเยือน และพักผ่อนเมื่อค่ำลง มักมีสายตาที่ปรับเข้ากับแสงสว่างได้ดี เช่น ช้าง ลิง หรือแม้แต่นกบางชนิด​Nocturnal: กลางคืน คือ เวลาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้จะนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน และมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศ ทั้งเรื่องการได้ยิน การดมกลิ่น และการมองเห็นในที่มืด เช่น ค้างคาว นกเค้าแมว งู และแมลงกลางคืน​Crepuscular: เช้าตรู่กับพลบค่ำ คือ นาทีทอง สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้มักจะตื่นตัวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อหลีกเลี่ยงแสงจ้า และความมืดสนิท เช่น ยุงบางชนิด กวาง หรือกระต่าย ​Cathemeral: ชีวิตสายยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับเวลา จะหากินเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความปลอดภัย หรือฤดูกาล สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ เช่น หมี เสือ​ เราคงเห็นแล้วว่า “เวลา” ไม่ใช่แค่เข็มนาฬิกาในธรรมชาติ แต่มันคือจังหวะชีวิต และไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ทุกชีวิตล้วนต่างกำลังหาทางอยู่รอด และมีชีวิตในจังหวะเวลาเป็นของตัวเอง​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​Vallejo-Vargas, A.F., Sheil, D., Semper-Pascual, A. et al. Consistent diel activity patterns of forest mammals among tropical regions. Nat Commun 13, 7102 (2022).​https://www.nature.com/articles/s41467-022-34825-1?utm_source=chatgpt.com​  

693 viewer

สนามออกกำลังกายผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เล่นสนุก แต่ยังเพิ่มความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

โดย RISC | 2 เดือนที่แล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวเล็กน้อยในแต่ละวันอาจส่งผลต่อร่างกายได้​แท้จริงแล้ว “การออกกำลังกาย” ที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และมีอิสระในชีวิตประจำวัน​​RISC ขอแบ่งปันงานวิจัย "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" ช่วยลดการหกล้มที่เห็นผลชัดเจนผ่านงานวิจัย และได้นำสนามออกกำลังกายรุ่นที่ผ่านงานวิจัยนั้นมาติดตั้งจริงในโครงการของ The Forestias และ The Aspen Tree ​​สนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยจึงจำเป็นอย่างมากเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งสนามออกกำลังกายกลางแจ้งสำหรับผู้สูงวัยต้องออกแบบมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (Physical Activity) อย่างรอบด้านทั้ง 4 รูปแบบ...​◾️ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Exercises) เป็นการออกกำลังกายที่ให้แรงต้านต่อมัดกล้ามเนื้อโดยอาศัยน้ำหนักตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงล่างและช่วงบน ซึ่งสำคัญต่อการลุก เดิน หรือยืน​◾️ การฝึกการทรงตัวและป้องกันการหกล้ม (Balance Exercises) เป็นการฝึกการทรงตัว ควบคุมร่างกายให้มีความสมดุลทั้งในขณะอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว โดยมีอุปกรณ์ที่ท้าทายการทรงตัว เช่น แผ่นสั่น แท่นก้าว เดินบนพื้นต่างระดับ หรือราวจับเดินทรงตัว ช่วยให้ผู้สูงวัยฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การประสานการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย (Coordination & Function Exercises) เป็นการพัฒนาความสามารถในการประสานงานระหว่างมือ ตา เท้า และส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การหันตัว การลุกยืน ให้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ดี  เป็นจังหวะขั้นตอน และลำดับอย่างสัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม​◾️ การส่งเสริมการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่น (Movement & Flexibility Exercises) เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่อ ช่วยให้ร่างกายมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็งแรง เพื่อส่งเสริมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ให้เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจขึ้นในชีวิตประจำวัน​​Dr. Pazit Levinger ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการออกกำลังกายและการป้องกันการหกล้มในผู้สูงวัย และนักวิจัยอาวุโสที่ National Ageing Research Institute (NARI) ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาและวิจัย Seniors Exercise Park หรือ "สนามออกกำลังกายผู้สูงวัย" เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจ ผ่านโครงการ ENJOY Project (Exercise intervention outdoor project in the community)​​ซึ่งจากผลงานวิจัยพบว่า Seniors Exercise Park สามารถ...​◾️ ลดความเสี่ยงในการหกล้ม (จำนวนผู้หกล้มและความถี่การหกล้ม) ของผู้สูงวัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ และติดตามผลรวม 12 เดือน โดยสัดส่วนการหกล้ม (อย่างน้อย 1 ครั้ง) ภายใน 12 เดือน จากเดิม 51.8% เหลือ 31.4% และจำนวนการหกล้มของอาสาสมัครทั้งหมด จากเดิม 42 ครั้ง เหลือเพียง 29 ครั้ง​◾️ เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รวมทั้งการทรงตัวของผู้สูงวัย เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 18 สัปดาห์ พบว่าสามารถเพิ่มความสามารถในการทรงตัว เมื่อยืนด้วยขาข้างเดียว ความแข็งแรงของหัวเข่า ระยะทางเมื่อเดินในเวลา 2 นาที และลุกขึ้นนั่งได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงวัย และมีความปลอดภัยขณะฝึก​◾️ ผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อมใน Residential Care สามารถใช้ได้ เมื่อออกกำลังกายผ่านโปรแกรม 12 สัปดาห์ สามารถเดินได้ระยะทางมากขึ้น และเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยไม่เกิดการหกล้ม นอกจากนี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเพลินเพลิน สนุก และอารมณ์ดีขึ้นตลอดการฝึก ทั้งยังลดภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) ได้เป็นอย่างมากจากผลงานวิจัย เราจะเห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้มีการปรับปรุงสวนสาธารณะ Senior Exercise Park จำนวน 24 แห่ง (ปี 2022) หลายแห่งรัฐ Melbourne และ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ให้กลายเป็นพื้นที่กลางแจ้งที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และยังมีการใช้โปรแกรมการออกกำลังกาย Senior Exercise Park นี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการเคลื่อนไหวและการทรงตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มกิจกรรมทางสังคม ให้ผู้สูงวัยสามารถออกกำลังกายเป็นกลุ่ม เกิดการพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทำให้ช่วยลดความโดดเดี่ยวและอยากออกจากบ้านไปทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง​​เช่นเดียวกับที่ The Forestias by MQDC ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้นำงานวิจัยมาพัฒนา และติดตั้งสนามออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัยไว้ถึง 2 จุด ทั้งบริเวณส่วนกลาง Happy Lawn และในโครงการ The Aspen Tree เพื่อให้ผู้สูงวัยได้ออกกำลังกาย และใช้เวลาทำกิจกรรมทางสังคมมากขึ้นเนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material อ้างอิงข้อมูลจาก​Pazit Levinger and etc, 2020. Guidance about age-friendly outdoor exercise equipment and associated strategies to maximise usability for older people. Health Promot J Austral. 2021;32:475–482.​Pazit Levinger et al. The Effect of the ENJOY Seniors Exercise Park Physical Activity Program on Falls in Older People in the Community: A Prospective Pre-Post Study Design. The journal of nutrition, health & aging, (2022) 26: 217–221 ​Pazit Levinger et al. Outdoor physical activity for older people-the senior exercise park: Current research, challenges and future directions. Health promotion journal of Australia, (2018) 1-7.​Levinger et al. Exercise interveNtion outdoor proJect in the cOmmunitY - results from the ENJOY program for independence in dementia: a feasibility pilot randomised controlled trial. BMC Geriatr. 2023 Jul 12;23(1):426.​

687 viewer