Knowledge - RISC

Knowledge บทความทั้งหมด

บทความทั้งหมด

"วัสดุก่อสร้างจากเถ้าชีวมวล" ทางเลือกใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โดย RISC | 5 วันที่แล้ว

รู้หรือไม่ว่า การผลิตไฟฟ้า 1 MW ทำให้เกิด “เถ้าชีวมวล” ประมาณ 200-400 ตัน/ปี ​เถ้าชีวมวล หรือที่เรียกว่า Wood ash นั้นคืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องมาสนใจในเรื่องนี้?​เถ้าชีวมวล จัดเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้ชีวมวลเป็นแหล่งเชื้อเพลิง ซึ่งชีวมวลแต่ละชนิดจะมีปริมาณเถ้าที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-3% หากยิ่งผลิตไฟฟ้ามากเท่าไหร่...ก็ยิ่งเกิดเถ้าชีวมวลมากขึ้นเท่านั้น​ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 226 แห่ง และมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 2,110 MW ซึ่งเท่ากับว่ามีเถ้าชีวมวลเกิดขึ้นเกือบ 1 ล้านตันในแต่ละปี คำถามที่ตามมา...เราจะจัดการกับขยะเถ้าชีวมวลจำนวนมหาศาลนี้ได้อย่างไรบ้าง?​เถ้าชีวมวลจัดเป็นของเสียอุตสาหกรรม จึงต้องได้รับการกำจัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การฝังกลบตามหลักสุขาภิบาล การใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนในเตาเผาปูนซีเมนต์ การหมักทำปุ๋ยและสารปรับปรุงคุณภาพดิน หรือการนำกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ​อย่างไรก็ตาม ปริมาณเถ้าชีวมวลที่เกิดขึ้นมีจำนวนมากเกินไป ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการกำจัดที่สูง เถ้าชีวมวลปริมาณ 80,000 – 100,000 ตัน มีค่ากำจัดสูงถึง 10-15 ล้านบาท และเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการกำจัด และเพิ่มมูลค่าให้กับเถ้าชีวมวลเหล่านี้ จึงมีการศึกษาและพัฒนาวัสดุก่อสร้างโดยใช้เถ้าชีวมวลเป็นส่วนประกอบ​“เถ้าชีวมวล” มีศักยภาพในการใช้เป็นวัสดุทดแทน “ปูนซีเมนต์” ในการผลิตวัสดุก่อสร้างได้จริงหรือ?​โดยทั่วไปแล้วปูนซีเมนต์เป็นวัสดุหลักในการผลิตคอนกรีต เนื่องจากปูนซีเมนต์สามารถทำปฏิกิริยากับน้ำ หรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาไฮรเดรชัน (Hydration) เกิดสารประกอบแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต (C-S-H) ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงทนทานให้กับคอนกรีต การใช้เถ้าชีวมวลแทนที่ปูนซีเมนต์จึงส่งผลต่อคุณสมบัติของคอนกรีตเป็นอย่างมาก​เถ้าชีวมวลมีองค์ประกอบหลักเป็นแคลเซียมออกไซด์ (CaO) ในขณะที่มีปริมาณซิลิกา (SiO₂) อะลูมิน่า (Al₂O₃) และเหล็กออกไซด์ (Fe₂O₃) ต่ำ จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาไฮรเดรชันลดลง อย่างไรก็ตาม SiO₂, Al₂O₃ หรือ Fe₂O₃ สามารถทำปฏิกิริยาปอซโซลาน (Pozzolanic Reaction) กับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)₂) เกิดเป็นสารประกอบ C-S-H ซึ่งนอกจากช่วยเพิ่มกำลังอัดของคอนกรีตในระยะยาวได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มความทนทานต่อซัลเฟต กรด และการเกิดคราบขาวบริเวณผิวคอนกรีตได้​อย่างไรก็ตาม การเพิ่มปริมาณเถ้าชีวมวลมากเกินไป ก็จะทำให้กำลังอัดของคอนกรีตลดลง เถ้าชีวมวลมีอนุภาคขนาดเล็ก และน้ำหนักเบากว่าปูนซีเมนต์ ทำให้คอนกรีตมีน้ำหนักเบา รวมทั้งอนุภาคขนาดเล็กยังสามารถเติมเต็มช่องว่างภายในของคอนกรีตได้ นอกจากนี้ เถ้าชีวมวลยังมีรูพรุน และพื้นที่ผิวสูง ทำให้ดูดซึมน้ำได้ดี ส่งผลให้คอนกรีตที่ได้มีการดูดกลืนน้ำสูง และจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณน้ำในกระบวนการผลิตเพื่อชดเชยน้ำบางส่วนที่ถูกดูดซึม​เราจะเห็นได้ว่า เถ้าชีวมวลส่งผลต่อคุณสมบัติของคอนกรีตเป็นอย่างมาก โดยขึ้นอยู่กับชนิด องค์ประกอบทางเคมี และปริมาณของเถ้าชีวมวล การใช้เถ้าชีวมวลในการพัฒนาวัสดุก่อสร้างจึงเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการความสามารถในการรับน้ำหนักสูง เช่น ขอบคันหิน วัสดุปูพื้น งานตกแต่งสวน หรือช่องระบายอากาศ โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมในการใช้เถ้าชีวมวลเป็นวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ คือ 10-30% โดยน้ำหนักของปูนซีเมนต์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและคุณสมบัติของเถ้าชีวมวล องค์ประกอบของคอนกรีต และอัตราส่วนของผสม​อีกสิ่งที่สำคัญคือ การสร้างความโดดเด่นหรือจุดแข็งกว่าผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่าง ทั้งด้านรูปร่าง ความสวยงาม หรือมีฟังก์ชันการใช้งานพิเศษจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material​อ้างอิงข้อมูลจาก​กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน. 2568. แผนที่แสดงที่ตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทย. ​ขวัญชีวา หยงสตาร์, นุอนันท์ คุระแก้ว, ชูเกียรติ ชูสกุล, และ สุนันท์ มนต์แก้ว. 2567. การพัฒนาอิฐบล็อกประสานจากฝุ่นหินเหลือทิ้งและเถ้าไม้ยางพารา. วารสารวิชาการและวิจัย มทร.พระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 (2567).​สาโรจน์ ดำรงศีล. 2550. ผลกระทบของปูนซีเมนต์ผสมเถ้าชานอ้อยและเถ้าลอยในลักษณะบดร่วมต่อคุณสมบัติทางกายภาพและเชิงกลของคอนกรีต. วารสารวิชาการและวิจัย มจธ. ปีที่ 30 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน (2550).​Ayobami A. B., 2021. Performance of wood bottom ash in cement-based applications and comparison with other selected ashes: Overview, Resources, Conservation and Recycling. 166, 105351.​

54 viewer

เลือก Light อย่างไร ให้ไร้รบกวน

โดย RISC | 6 วันที่แล้ว

“แสง” สิ่งที่ช่วยให้เรามองเห็น ไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ หรือแสงจากสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แสงจึงมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตบนโลก​โดยแสงที่ตาเราสามารถมองเห็นจะอยู่ในช่วงความยาวคลื่นระหว่าง 400 - 700 นาโนเมตร นอกเหนือจากแสงที่ตามองเห็นแล้ว ก็ยังมีแสงประเภทอื่นๆ ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และรังสีอินฟราเรด (IR)​นอกจากแสงจะช่วยให้มองเห็น และดำรงชีวิตได้สะดวกขึ้นแล้ว แสงจากดวงอาทิตย์ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้ แสงยังถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการแพทย์ การสื่อสาร หรือการคมนาคม​แม้ว่าแสงจะมีประโยชน์มากมาย แต่การใช้แสงไฟที่มากเกินไป หรือไม่เหมาะสมนั้น สามารถก่อให้เกิด “มลพิษทางแสง” (Light Pollution) ได้ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มักถูกมองข้ามอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมนุษย์​ปัญหานี้เกิดจากแสงไฟที่ฟุ้งกระจายเกินความจำเป็น อย่างเช่น แสงไฟจากถนน อาคารสูง และป้ายโฆษณาที่ส่องสว่างตลอดคืน มลพิษทางแสงเหล่านี้รบกวนพฤติกรรมในธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ส่งผลให้สัตว์ป่าเสียสมดุลในการดำรงชีวิต เช่น นกอพยพที่บินผิดเส้นทาง เต่าทะเลที่หลงทิศทางจากแสงไฟตามแนวชายฝั่ง และยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิดที่ต้องพึ่งพาความมืดในการดำรงชีวิต ​เพื่อลดผลกระทบของมลพิษทางแสงต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม เราจึงควรเลือกใช้แสงที่เหมาะสม โดยเฉพาะแสงที่ไม่รบกวนวงจรชีวิต และพฤติกรรมของสัตว์ในธรรมชาติ​จากรายงานวิจัย พบว่า แสงไฟที่เหมาะสมควรมีค่าอุณหภูมิสีสัมพันธ์ (Correlated Color Temperature, CCT) ไม่เกิน 3000 เคลวิน (K) มีค่าความยาวคลื่นโดยประมาณอยู่ที่ 600 - 700 นาโนเมตร ซึ่งให้แสงสีเหลืองอุ่น (Warm White) ที่สำคัญเราควรใช้ไฟที่มีทิศทางของแสงสว่างชัดเจน ไม่กระจายแสงหรือหันแสงไฟออกไปยังท้องฟ้า หรือพื้นที่ธรรมชาติที่มีสัตว์อาศัยอยู่ นอกจากนี้ เรายังสามารถช่วยลดมลพิษทางแสงได้ด้วยการปิดไฟที่ไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเปิดไฟตลอดทั้งคืน หรือระบบตั้งเวลาปิด-เปิด เพื่อให้แสงทำงานเฉพาะเมื่อมีความจำเป็น การใช้และการจัดการแสงอย่างเหมาะสมจึงสามารถช่วยลดมลพิษทางแสง และรักษาสมดุลของธรรมชาติให้ยั่งยืนได้ รวมถึงยังช่วยให้สิ่งมีชีวิตยังคงดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขตามปกติในสภาพแวดล้อม​เนื้อหาโดย คุณ กชกร รัตนมา นักวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ RISC​

65 viewer

อย่า “ชินชา” กับฝุ่น PM2.5 ภัยเงียบที่ต้องระวัง

โดย RISC | 1 สัปดาห์ที่แล้ว

หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึก “ชินชา” กับการแจ้งเตือนเรื่องค่าฝุ่น เพราะมันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย ทั้งที่ในความเป็นจริง PM2.5 ยังคงแฝงภัยร้ายแรงไว้ในทุกลมหายใจ​ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งแบบนี้ ค่าฝุ่นมักเกินมาตรฐานรายวัน หรือบางพื้นที่ก็ยังเกินค่ารายปีอีกด้วย แม้ว่าต้นปีนี้ ระดับ PM2.5 โดยรวมทั่วประเทศจะอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีหลังสุด แต่...ในหลายจังหวัดยังมีวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งหมายความว่า สุขภาพของประชาชนก็ยังคงมีความเสี่ยง และไม่ควรมองข้าม​ MEI เปรียบเทียบกับค่า PM2.5 ของแต่ละภูมิภาค Multivariate ENSO Index Version 2 (MEI V.2) เป็นดัชนีปรากฎการณ์ ENSO หลายตัวแปร ซึ่งได้มีการ รวมตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรและบรรยากาศมาใช้ใน การประเมินดัชนี ENSO ได้แก่ Sea level pressure (SLP), Sea surface temperature (SST), Surface zonal winds (U), Surface meridional winds (V) แ ล ะ Outgoing longwave radiation (OLR) ใช้เพื่อประเมินปรากฏการณ์เอลนีโญ (ค่า MEI เกิน 0) และลานีญา (ค่า MEI ต่ำกว่า 0) ผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจาก PM2.5 นั้นไม่ได้เกิดทันที แต่จะค่อยๆ สะสม จนกระทั่งแสดงออกมาในรูปแบบของโรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็ง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนใน กทม. หรือบางครั้งในจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และพะเยา ที่มีระดับ PM2.5 รุนแรง อาจจะแสดงอาการเฉียบพลันในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือด โรคผิวหนัง โรคตาอักเสบ​สาเหตุที่ค่าฝุ่น PM2.5 แปรผันในแต่ละปีเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ สภาพอุตุนิยมวิทยา และปริมาณการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด​ในแง่ของอุตุนิยมวิทยา ลมนั้นมีบทบาทสำคัญ ทั้งทิศทางและความเร็ว หากลมพัดแรงก็ช่วยเจือจางมลพิษได้ดี ในขณะที่ความสูงของชั้นบรรยากาศที่มลพิษสามารถแทรกตัวขึ้นไปได้ หรือที่เรียกว่า “ชั้นผสม” ก็มีผลโดยตรงต่อระดับของฝุ่น หากชั้นนี้ต่ำ มลพิษจะสะสมใกล้พื้นดินและค่าฝุ่นจะสูงขึ้น​อีกหนึ่งตัวแปร คือ ฝนและความชื้น ซึ่งมีบทบาทในการพาฝุ่นละอองตกลงสู่พื้นดิน ความชื้นสูง หรือฝนที่ตกหนักเพียงพอสามารถลด PM2.5 ในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังลดโอกาสของการเกิดไฟไหม้ในที่โล่งที่เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของฝุ่นในหลายภาคของประเทศ​ เมื่อพิจารณาในภาพใหญ่ ปัญหา PM2.5 ยังเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ระดับโลก อย่างเอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) ที่มีผลต่อรูปแบบฝนในประเทศไทย หากฝนตกมากจากลานีญา การเผาในที่โล่งก็จะลดลง แต่ถ้าแล้งจัดเพราะเอลนีโญ การเผาก็จะเพิ่มขึ้นทันที สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาฝุ่นนั้นเชื่อมโยงกับทั้งภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และกิจกรรมของมนุษย์ ​สำหรับในแต่ละภูมิภาคของไทย สาเหตุของฝุ่นก็แตกต่างกัน กรุงเทพฯ และภาคตะวันออกมีแหล่งกำเนิดหลักจากการจราจร โรงงาน และโรงไฟฟ้า โดย PM2.5 จะสูงในช่วงฤดูหนาวที่มีสภาพอุตุนิยมวิทยาสะสมมลพิษอากาศ และฤดูร้อนจะได้รับผลจากแหล่งกำเนิดการเผาในที่โล่งจากพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเสริมให้ระดับความเข้มข้นของฝุ่นรุนแรงมากยิ่งขึ้น​​ขณะที่ภาคเหนือ และอีสานจะได้รับผลกระทบจากการเผาในที่โล่ง ทั้งในพื้นที่เกษตรและป่า โดยเฉพาะในภาคเหนือที่ค่าฝุ่นสามารถสูงเกินค่ามาตรฐานได้ถึงสิบเท่าในช่วงฤดูร้อน สอดคล้องกับจำนวนจุดความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตร และยังได้รับอิทธิพลจากหมอกควันข้ามแดนที่ลอยข้ามประเทศมาอีกด้วย​ส่วนภาคใต้แม้จะมีระดับฝุ่นต่ำกว่าภาคอื่น เนื่องจากมีฤดูฝนยาวนาน และความชื้นสูง แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอ ในช่วงปลายปี ภาคใต้ก็ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนเช่นกัน โดยเฉพาะจากการเผาในประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งฝุ่นสามารถเดินทางไกลข้ามทะเลได้นับพันกิโลเมตร​การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ได้ผลมากที่สุด คือ การแก้ที่ต้นเหตุ แต่เป็นแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซึ่งสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอใคร ก็คือ การป้องกันตัวเอง ซึ่งเป็นด่านแรกในการลดผลกระทบจากฝุ่น​หลักการง่ายๆ ที่ควรจำไว้เสมอคือ "ลดการสัมผัสฝุ่นให้ได้มากที่สุด", ติดตามค่าฝุ่นก่อนออกจากบ้าน, ใช้หน้ากาก N95 เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ค่าฝุ่นสูง, ใช้เครื่องฟอกอากาศ หรืออยู่ในพื้นที่ที่ปลอดฝุ่น​หอฟอกอากาศ “ฟ้าใส” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจในการสร้างพื้นที่ปลอดฝุ่น แม้ว่าการป้องกันตนเองจะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลทันที และช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของเราและคนที่เรารัก​PM2.5 เป็นภัยเงียบที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่ซึมลึกอยู่ในลมหายใจของเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเราเพิกเฉย หรือ “ชินชา” มันอาจกลายเป็นภัยที่สายเกินแก้​เนื้อหาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฏิพัทธ์ วงค์เรือง ผู้ช่วยคณบดี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา และคุณ ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส แล Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC​

146 viewer

Photocatalytic Coating นวัตกรรมเคลือบผิววัสดุ เปลี่ยนมลพิษให้ดีต่อลมหายใจ

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ปัญหา PM2.5 เป็นอีกปัญหาที่แม้สถานการณ์จะดูเบาบางลงในบางเวลา แต่ปัญหานี้จะยังคงอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?​ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดอนุภาคไม่เกิน 2.5 ไมครอน เล็กกว่าขนาดเส้นผมของคนเราถึง 30 เท่า สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินหายใจและเข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา จมูก และคอ ทำให้หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก และหากได้รับอย่างต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง​นอกจากนี้สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) จัดให้มลพิษทางอากาศ (Outdoor Air Pollution) และฝุ่น PM2.5 อยู่ในกลุ่ม 1 (Carcinogenic to Humans) หรือก็คือสารที่มีหลักฐานเพียงพอว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ และยังพบอีกว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งปอด​โดยปกติ เราจะป้องกันตัวเองจาก PM2.5 จากการสวมหน้ากาก N95 หรือใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีไส้กรอง HEPA (H10 – H14) ซึ่งสามารถกรองอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนได้ตั้งแต่ 85% - 99.995%​ แต่รู้หรือไม่ ว่ามีวัสดุอาคารบางชนิดที่ช่วงลดฝุ่นได้ด้วยเหมือนกัน​ Photocatalytic coating หรือการเคลือบผิววัสดุด้วยสารเคลือบที่มีคุณสมบัติในการเร่งปฏิกิริยาเมื่อได้รับแสง ซึ่งมักใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2) เป็นองค์ประกอบหลัก เมื่อไทเทเนียมไดออกไซด์ได้รับแสงอาทิตย์ก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดการถ่ายโอนอิเล็กตรอนบริเวณพื้นผิววัสดุ ทำให้เกิดไฮดรอกซิลเรดิคัล (OH·) และซุปเปอร์ออกไซด์แอนไอออนเรดิคัล (O2-·) ซึ่งสามารถสลายมลพิษทางอากาศ ทั้งฝุ่นละออง แก๊ส แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราบนพื้นผิว เปลี่ยนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และน้ำ (H2O) ซึ่งปลอดภัยต่อสุขภาพ และจากงานวิจัยพบว่า ไทเทเนียมไดออกไซด์สามารถย่อยสลายคาร์บอนในฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 92% พร้อมทั้งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีนี้สามารถลดผลกระทบอันตรายจาก PM2.5 ได้จริง​ปัจจุบันสารเคลือบ Photocatalyst ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับวัสดุก่อสร้างหลายชนิด เช่น กระจก หลังคา หรือผสมลงในสีทาบ้าน ไม่เพียงแค่ช่วยทำความสะอาดพื้นผิวตัวเอง ลดการสะสมของฝุ่นและมลพิษในอากาศ ยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อราแล้ว ยังช่วยลดอุณหภูมิของอาคารได้อีกด้วย ทำให้เป็นการลดการใช้พลังงานของอาคารได้อีกทางหนึ่ง ​เนื้อหาโดย คุณ สุพรรณภางค์ รักษาวงค์ นักวิจัยวัสดุ Sustainable Building Material ​อ้างอิงข้อมูลจาก​IARC Monographs. Outdoor Air Quality Volume 109​ดร.พิบูลย์ จินาวัฒน์. วัสดุก่อสร้างโฟโต้คะตาลิสท์. การประชุมวิชาการระดบชาติ “สถาปัตย์กระบวนทัศน์” พ.ศ.2558​Misawa K, Sekine Y, Kusukubo Y, Sohara K. Photocatalytic degradation of atmospheric fine particulate matter (PM2.5) collected on TiO2 supporting quartz fibre filter. Environ Technol. 2020 Apr;41(10):1266-1274.

111 viewer

พื้นที่สีเขียวคือหัวใจของชีวิตที่ดีขึ้น

โดย RISC | 2 สัปดาห์ที่แล้ว

รู้หรือไม่ ใน 1 ปีต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่บนพื้นที่ 1 เอเคอร์ หรือ 4,050 ตารางเมตร หรือ 2.53 ไร่ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เทียบเท่ากับปริมาณที่รถยนต์ปล่อยออกมาเมื่อขับเป็นระยะทาง 26,000 ไมล์ หรือ 41,842 กิโลเมตร​อย่างที่เรารู้กันว่า การที่เราใช้เวลากับต้นไม้ เราจะได้ประโยชน์มากมาย ตั้งแต่การลดความเครียดไปจนถึงการเพิ่มความสามารถในการรับรู้ ต้นไม้จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ และในปัจจุบัน การขยายและพัฒนาของชุมชนเมือง ทำให้ต้นไม้มีความสำคัญ และได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่...​1. ส่งเสริมการใช้ชีวิตที่กระฉับกระเฉง: เพราะเมืองที่มีต้นไม้ และภูมิทัศน์สีเขียวมากขึ้นจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับพื้นที่สาธารณะ และสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นมากขึ้น เมืองที่มีพื้นที่สีเขียวที่เพียงพอยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย และกิจกรรมกลางแจ้งแก่ประชาชน อย่างเช่น การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือการเล่นกีฬาในพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน ทำให้เกิดสังคมที่มีความสามัคคีและปลอดภัย อีกทั้ง การออกแบบพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับทางเดินและเส้นทางจักรยานก็ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้คนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพอากาศ และลดปัญหาจราจรติดขัดในเมืองได้อีกด้วย​2. สุขภาวะทางกายภาพ และการลดความเครียด: การใช้เวลาในพื้นที่สีเขียว อย่างการอาบป่า (Forest Bathing) ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต และสร้างความรู้สึกสงบ หรือในแง่ของเมือง พนักงานออฟฟิศที่สามารถมองเห็นต้นไม้จากที่ทำงาน รายงานที่ระบุไว้ว่า จะมีระดับความเครียดต่ำกว่าและมีความพึงพอใจในงานมากขึ้น นอกจากนี้ ต้นไม้สามารถลดอุณหภูมิพื้นผิวลงได้มากถึง 12°C ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อน ซึ่งงานวิจัยของ Forest Research ในสหราชอาณาจักรพบว่า การไปเยี่ยมชมป่าช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิต และอาจช่วยประหยัดงบประมาณของ NHS (ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร) ได้ถึง 185 ล้านปอนด์ต่อปีในการรักษาผู้ป่วย​3. เสริมสร้างสุขภาพทางอารมณ์และพัฒนาการด้านสติปัญญา: ธรรมชาติมีส่วนช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า และวิตกกังวล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน แม้ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีในพื้นที่สีเขียวก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพจิตได้ นอกจากนี้ การใช้เวลากับธรรมชาติยังช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหา ทำให้คนมีสมาธิ และประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น ยังมีการศึกษาในเด็กพบว่า การเล่นและเรียนรู้ในพื้นที่สีเขียวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสติปัญญา ทำให้มีความสามารถในการจดจำ และคิดวิเคราะห์ที่ดีขึ้น อีกทั้ง การเดินเล่นในสวน หรือป่าธรรมชาติยังช่วยให้สมองได้พักจากสิ่งเร้าต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในระยะยาว​4. สร้างชุมชนที่ปลอดภัยขึ้น: พื้นที่ที่มีต้นไม้น้อยมักมีอัตราความรุนแรง และอาชญากรรมสูงกว่าพื้นที่ที่มีต้นไม้หนาแน่น ต้นไม้และภูมิทัศน์สีเขียวยังสามารถช่วยลดความกลัว และส่งเสริมความปลอดภัยในชุมชนได้ อีกทั้ง การมีพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการดูแลอย่างดี ยังทำให้ผู้คนออกมาใช้พื้นที่สาธารณะมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเฝ้าระวังตามธรรมชาติของชุมชน ช่วยลดโอกาสในการเกิดอาชญากรรม เช่น การโจรกรรมและการทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ ต้นไม้ที่ปลูกริมถนนยังสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะช่วยลดระดับมลพิษที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นลงได้มากกว่า 50% ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ยังช่วยลดมลภาวะทางเสียงจากการจราจร และกิจกรรมในเมือง ทำให้ชุมชนมีบรรยากาศที่สงบ และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น​จะเห็นได้ว่าต้นไม้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศและน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน และสนับสนุนสุขภาพโดยรวม นอกจากนี้ ต้นไม้ยังเป็นทางออกที่คุ้มค่าต่อการรับมือกับผลกระทบที่รุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง และอุทกภัย การตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ไม่เพียงช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังสร้างชุมชนที่มีสุขภาพดี ปลอดภัย และมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ วสุธา เชน สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C และ WELL AP​อ้างอิงข้อมูลจาก​1. TreePeople Organization. (n.d.). 22 benefits of trees. Retrieved from https://treepeople.org/22-benefits-of-trees/​2. Harvard T.H. Chan School of Public Health. (2021). The health benefits of trees. Retrieved from https://hsph.harvard.edu/news/the-health-benefits-of-trees/​3. Arbor Day Foundation. (n.d.). The value of trees. Retrieved from https://www.arborday.org/value​4. NHS Forest. (n.d.). Why do humans need trees for health? here's what you.... Retrieved from https://nhsforest.org/blog/humans-need-trees-for-health/​5. Savatree. (n.d.). The importance of trees - learn value and benefit of trees. Retrieved from https://savatree.com/resource-center/tree-varieties/why-trees/​6. Immerse yourself in a forest for better health. Retrieved from https://dec.ny.gov/nature/forests-trees/immerse-yourself-for-better-health

93 viewer

ฤดูฝุ่นแบบนี้ ต้นไม้อะไรช่วยดักจับฝุ่นให้เราได้เยอะบ้าง?

โดย RISC | 3 สัปดาห์ที่แล้ว

ช่วงฤดูฝุ่นแบบนี้ เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ และเครื่องฟอกอากาศในหลายๆ บ้าน คงทำงานหนักมากๆ แต่...รู้หรือไม่ นอกจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน​เพราะฮีโร่จากธรรมชาติอย่างต้นไม้ ก็รับบทเครื่องกรองฝุ่นอยู่ด้วยเช่นกัน​ลักษณะทางกายภาพของใบไม้ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ใบมีขน ผิวใบขรุขระ ผิวใบมัน รวมถึงต้นไม้ที่มีใบเยอะ หรือมีกิ่งก้านที่ซับซ้อน จะช่วยในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 และดูดซับมลพิษผ่านทางปากใบในขณะที่ต้นไม้ทำการสังเคราะห์แสง ​ผลจากงานวิจัยการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กจากควันธูปด้วยพืชในอาคาร จากการทดสอบพืชทั้งหมด 16 ชนิด โดยปล่อยควันธูปในกล่องทดลองที่มีพืชในอาคาร 1 ต้นเป็นเวลา 30 นาที เปรียบเทียบกับกล่องทดลองเปล่าที่ไม่มีต้นไม้ พบว่า ต้นกวักมรกตมีความสามารถในการดักจับ PM2.5 ได้มากที่สุด คือร้อยละ 30.87 รองลงมาคือต้นลิ้นมังกร อยู่ที่ร้อยละ 23.70​ในขณะที่งานวิจัยโดย รศ.ดร.ชัยรัตน์ ตรีทรัพย์สุนทร ได้ทดลองต้นไม้ในระบบปิดขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร ที่ความเข้มข้น PM2.5 เริ่มต้นที่ 450-500 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร พบว่า ต้นพรมกำมะหยี่ลดฝุ่นได้มากกว่าร้อยละ 60 และต้นลิ้นมังกรลดฝุ่นได้มากกว่าร้อยละ 40 ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เป็นกลุ่มไม้ประดับสามารถเลือกปลูกในอาคาร หรือนำไปปลูกที่หน้าต่างเพื่อดักอากาศก่อนที่ลมจะพัดพาเข้าบ้านได้​แต่หากพื้นที่บ้านใครยังพอมีที่ว่างด้านนอกอาคารก็สามารถออกแบบสวนให้ช่วยในการลดฝุ่นได้เช่นกัน​อย่างทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เผยแพร่สวนต้นแบบที่มีการใช้ไม้ยืนต้นเพื่อลดฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ที่สนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งสวนนี้เลียนแบบระบบนิเวศที่ต้นไม้ต้องมีความหลากหลาย และใช้ศักยภาพของแต่ละต้นที่แตกต่างกันไป โดยเลือกต้นไม้ที่มีความสูง 3 ระดับ คือ​- ไม้ขนาดใหญ่ เช่น ราชพฤกษ์ ประดู่บ้าน และพิกุล​- ไม้ขนาดกลาง เช่น โมก และไทร​- ไม้พุ่มคลุมดิน เช่น ต้นหมาก ต้นเดหลี ต้นพลูปีกนก ต้นกวักมรกต ต้นคล้ากาเหว่าลาย ต้นคล้าแววมยุรา ต้นคล้านกยูง​ซึ่งการปลูกไม้ 3 ระดับนั้น ก็เพื่อเป็นแนวกันชนในการกำบังฝุ่น และควรปลูกอย่างน้อย 2 ชั้น โดยชั้นที่หนึ่งที่ปะทะลมให้ปลูกไม้พุ่มขนาดเล็ก และแถวที่สองปลูกไม้พุ่มขนาดกลางสลับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เป็นการใช้ต้นไม้ดักลมให้อากาศเคลื่อนที่ช้าลง และทำให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กถูกดักจับด้วยใบพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ความชื้นจากการคายน้ำของพืชบริเวณนั้นจะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับฝุ่นละลองขนาดเล็กในอากาศให้เคลื่อนที่ลดลง และควรรดน้ำต้นไม้บริเวณนั้นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อล้างใบ และเพิ่มความชื้นในดิน ซึ่งการจัดเรียงต้นไม้อย่างเหมาะสมนี้จะช่วยกำบังฝุ่นได้มากกว่าร้อยละ 20-60 เลยทีเดียว​เนื้อหาโดย คุณ พันธ์พิสุ จุลพันธ์วัฒนา สถาปนิกวิจัยอาวุโสและผู้เชี่ยวชาญอาคารเขียว TREES-A, RISC ​อ้างอิงข้อมูลจาก​กันติทัต ทับสุวรรณ, ศิรเดช สุริต. (2564). การดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กจากควันธูปด้วยพืชในอาคาร. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ. 6(12); 80-93. ​ชัยรัตน์ ตรีทรัพย์สุนทร. (2565). การใช้พืชยืนต้นบำบัดฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน Sustainable PM Phytoremediation by Perennials Plants. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ​

168 viewer

ฝุ่นตัวร้าย ไม่ใช่แค่ปอดแต่ทำร้ายไปถึงสุขภาพใจและสมอง

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

รู้หรือไม่ ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้ทำร้ายแค่ปอด แต่ทำร้ายไปถึงสุขภาพใจและสมองได้ด้วย​ทุกๆ ต้นปี ตั้งแต่ช่วงมกราคมเป็นต้นไป ประเทศไทยมักจะประสบกับปัญหาฝุ่น PM2.5 อยู่เป็นประจำ และกำลังเป็นวาระแห่งชาติอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นมีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฏีที่ว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นต้นกำเนิดของปัญหาระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ ปอดอักเสบ ไปจนถึงมะเร็งปอด นอกจากนี้ การป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM2.5 ก็ยังทำได้ยากอีกด้วย เพราะต้องใช้หน้ากากที่มีคุณสมบัติป้องกันฝุ่นเวลาออกไปนอกอาคาร หรือใช้เครื่องกรองฝุ่นสำหรับภายในอาคาร​แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่านั้น พบงานวิจัยในช่วงหลังๆ ว่านอกจากปัญหาที่เกิดกับสุขภาพกายแล้ว เจ้าฝุ่นตัวร้ายนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพใจของเราได้อีกด้วย ​จากงานวิจัยของ Susanna Roberts ที่ตีพิมพ์ในปี 2019 ผลงานวิจัย “Exploration of NO2 and PM2.5 air pollution and mental health problems using high-resolution data in London-based children from a UK longitudinal cohort study” ที่ทำการศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ในประเทศอังกฤษพบว่า เมื่อเด็กที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นได้เติบโตขึ้นจนมีอายุมากกว่า 18 ปี เด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากเป็นพิเศษ โดยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ฝุ่นนั้นทำให้เกิดการอักเสบต่อระบบประสาท (Neuroinflammation) ที่มีผลกระทบด้านอารมณ์ และทำให้ร่างกายเกิดสภาวะเครียดมากขึ้นได้​นอกจากงานวิจัยนี้แล้ว ยังมีอีกงานวิจัยจาก Liuhua Shi ที่ตีพิมพ์ในปี 2023 ผลงานวิจัย “Incident dementia and long-term exposure to constituents of fine particle air pollution: A national cohort study in the United States” ซึ่งทำการศึกษาความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับโรค Dementia ที่เกิดในผู้สูงวัยที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และได้พบว่าถ้ามีการได้รับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น Dementia ได้ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากกระบวนการทางการเกษตร และเกิดจากไฟป่า ​นี่เป็นเพียงตัวอย่างงานวิจัยจากงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงในคนทั่วไปแต่รวมไปถึงกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก และผู้สูงวัยอีกด้วย ซึ่ง RISC หวังว่าบทความนี้เราคงได้เห็นถึงความน่ากลัวของฝุ่น PM2.5 ในมิติสุขภาพใจและสมอง และได้ตระหนักที่จะป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM2.5 กันมากขึ้น​เนื้อหาโดย คุณ ณัฐภัทร ตันจริยภรณ์ นักวิจัยอาวุโส ปฏิบัติการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ RISC ​ขอบคุณข้อมูลจาก ​Exploration of NO2 and PM2.5 air pollution and mental health problems using high-resolution data in London-based children from a UK longitudinal cohort study (2019)​Incident dementia and long-term exposure to constituents of fine particle air pollution: A national cohort study in the United State (2023)​

160 viewer

ธรรมชาติกับการพัฒนาการของเด็กและความสัมพันธ์ของครอบครัว

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เชื่อว่าหากเลือกได้ ใครหลายคนคงเลือกที่จะอยู่อาศัยท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติ ที่ได้ใกล้ชิดทะเล ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ หรือลำธารในทุกๆ วัน โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาว่าง หรือวันหยุดยาว​เพราะการได้สัมผัสธรรมชาติ ใกล้ชิดพื้นที่สีเขียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อตัวเราทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ความวิตกกังวล ลดภาวะซึมเศร้า อีกทั้งมีอายุยืนยาวมากขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจและโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกจากการได้รับแสงแดด รวมทั้งยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการสัมผัสจุลินทรีย์ในธรรมชาติ​ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยต่างๆ มากมายจากทั่วโลกที่สนับสนุนในเรื่องนี้ อย่างเช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Oxford Academic ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 20 จะช่วยลดอัตราความเครียดและภาวะซึมเศร้าลงได้ และหากอาศัยอยู่ในละแวกที่มีพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่าร้อยละ 30 จะสามารถช่วยลดอัตราการวิตกกังวลลงได้อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไมเราถึงรู้สึกพึงพอใจต่อพื้นที่สีเขียว และรู้สึกโหยหาการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ​พื้นที่สีเขียวเพียงแค่ได้มองเห็นก็ช่วยให้เราผ่อนคลายแล้ว และจะดีแค่ไหน? หากสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้มีโอกาสทำกิจกรรม หรือใช้เวลาในพื้นที่ธรรมชาติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การนั่งเล่นพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน นับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีได้อย่างไม่ยากเลย​โดยกิจกรรมห้ามพลาดที่แนะนำให้ชวนทุกคนในครอบครัวมาทำร่วมกัน เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ได้แก่ กิจกรรมการทำสวน (Gardening) และกิจกรรมการเล่น (Play)​การทำสวน หรือปลูกต้นไม้ จะช่วยฝึกทักษะการเคลื่อนไหวควบคู่พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็กไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการขุดดิน พรวนดิน การดึงวัชพืช การเด็ดใบไม้ดอกไม้แห้ง การรดน้ำ นอกจากนี้ การทำสวนยังมีส่วนช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี โดยการทำสวนเพียง 30 นาที ก็สามารถช่วยลดระดับคอร์ติซอลจากระดับความเครียดสูง ลดลงสู่ระดับปกติได้​​ส่วนการเล่นนั้นมีประโยชน์กับคนทุกวัย นอกจากได้ในเรื่องความสนุกสนานแล้ว การเล่นก็ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการเข้าสังคม ซึ่งการเล่นในแต่ละรูปแบบ ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น​- Active Play: การวิ่งเล่น ปีนป่าย กระโดด กระดานลื่น ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทักษะการเคลื่อนไหว และการทรงตัว​- Sensory Play: ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การศึกษาลักษณะรูปทรงสีสันที่แตกต่างกันของพันธุ์ไม้ แมลงหลากสายพันธุ์ ฟังเสียงน้ำไหล ใบไม้ไหว เสียงนกบรรเลงเพลง การเก็บความสวยงามของธรรมชาติด้วยการถ่ายรูป หรือวาดรูป​- Social Play: การล้อมวงคุยกัน หรือการเล่นแบบกลุ่ม เป็นการสร้างทักษะการอยู่ร่วมกัน และการเข้าสังคม ​- Passive Play: การเดินเล่น นั่งเล่น ไกวเปล หรือเล่นกิจกรรมเบาๆ พักเหนื่อยจากการเล่นอื่นๆ และหากได้มีการพูดคุยกันระหว่างกิจกรรมก็จะช่วยฝึกทักษะการเข้าสังคม ร่วมด้วย​หากพื้นที่อยู่อาศัยของเรานั้นถูกแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวโดยรอบที่เอื้อให้เกิดกิจกรรมทางเลือกต่างๆ นับเป็นความโชคดีอย่างมาก เพราะการได้อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติในทุกวัน และมีกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน เป็นการช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กตามวัย เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับทุกคนทุกวัย ลดการเสื่อมถอยของร่างกายผู้สูงวัย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดความวิตกกังวลและความเครียด และเมื่อทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ผลลัพธ์ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ครอบครัวมีความเข้าใจกันมากขึ้นจากการได้บอกเล่า และรับฟัง เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวแน่นแฟ้น และมีความสุขมากขึ้นได้อีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ RISC​อ้างอิงข้อมูลจาก​Beyer, K. M., et al., Exposure to Neighborhood Green Space and Mental Health: Evidence from the Survey of the Health of Wisconsin, 2014.​Cox, D. T. C., et al., Doses of Neighborhood Nature: The Benefits for Mental Health of Living with Nature. Bioscience, 2017.​Elizabeth Pegg Frates, Time spent in green places linked with longer life in women, 2017.​James P, Hart JE, Banay RF, Laden F, Exposure to Greenness and Mortality in a Nationwide Prospective Cohort Study of Women, 2016.​Maureen Bennie, How Does Your Garden Grow? Mental Health, Wellness & Skills Development Through Gardening, 2020.​Rook, G.A.W. Regulation of the immune system by biodiversity from the natural environment: an ecosystem service essential to health, 2013.​Soga, M., et al., Health benefits of urban allotment gardening: improved physical and psychological well-being and social integration. International Journal of Environmental Research and Public Health, 2017.​Van Den Berg, A. E., & Custers, M. H., Gardening promotes neuroendocrine and affective restoration from stress. Journal of Health Psychology, 2011.​

168 viewer

ฝุ่นมีผลต่อสุขภาพเราอย่างไร? ใครต้องระวังบ้าง?

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

เมื่อ "ฝุ่น" กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การรู้เท่าทันและป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด "การใส่ใจเรื่องฝุ่นในวันนี้ อาจช่วยป้องกันโรคร้ายในอนาคต" ​ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครและในอีกหลายจังหวัด ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอยู่บ่อยครั้ง หลายคนอาจเริ่มคุ้นเคยกับภาพท้องฟ้าที่มัวหมอง มองเห็นเพียงหมอกฝุ่น แทนที่จะเป็นฟ้าสดใส และการแจ้งเตือนค่าฝุ่นอันตรายในข่าวทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดี เพราะไม่เพียงทำลายทัศนวิสัย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของเราอีกด้วย​ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลพุ่งสูงจนติดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดในโลก ผู้คนต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เช่น การสวมหน้ากากกันฝุ่น การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในอาคาร หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้ง แต่ก็ยังมีหลายคนไม่ทราบว่า ฝุ่นละอองเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกายมากแค่ไหน และใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ​ฝุ่นละอองที่เราพูดถึงกันบ่อย เช่น PM2.5 และ PM10 คืออนุภาคขนาดเล็กในอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการเผาป่า โดยเฉพาะ PM2.5 ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า ทำให้มันสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อฝุ่นเข้าสู่ร่างกาย มันไม่ได้หยุดอยู่ที่จมูก หรือปอดเท่านั้น แต่ยังสามารถเดินทางไปยังอวัยวะอื่นๆ และสร้างปัญหาสุขภาพกับเราได้​แล้วใครบ้างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ? ​แม้ว่าฝุ่น PM2.5 จะส่งผลกระทบต่อทุกคนที่สูดอากาศเข้าไป แต่บางกลุ่มก็มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพร่างกายที่เปราะบาง หรือมีปัจจัยทางสุขภาพที่ทำให้ผลกระทบจากฝุ่นรุนแรงขึ้น มาดูกันว่ากลุ่มไหนที่ควรเฝ้าระวังและดูแลตัวเองมากที่สุด​ - เด็กเล็ก: เด็กๆ มีระบบทางเดินหายใจ และปอดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ การสูดฝุ่นเข้าไปในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปอดในระยะยาว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืด ภูมิแพ้ และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ​คำแนะนำเบื้องต้น: ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กออกนอกบ้านในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง และติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ​- ผู้สูงอายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง รวมถึงการทำงานของปอดและหัวใจก็ลดลงเช่นกัน ฝุ่น PM2.5 สามารถกระตุ้นโรคประจำตัวได้ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง กำเริบหรือรุนแรงขึ้น​คำแนะนำเบื้องต้น: ดูแลสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านในวันที่ค่าฝุ่นสูง และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจไม่ออกหรือเจ็บหน้าอก ​- หญิงตั้งครรภ์: ฝุ่นละอองสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ และส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เช่น น้ำหนักแรกเกิดต่ำ คลอดก่อนกำหนด หรือพัฒนาการล่าช้า การสูดอากาศที่ปนเปื้อนฝุ่น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์​คำแนะนำเบื้องต้น: หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษสูง สวมหน้ากาก N95 หรือ KF94 หากต้องออกไปข้างนอก และใช้เครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมภายในบ้าน​- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง: กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน หรือโรคภูมิแพ้ มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการกำเริบจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งฝุ่นสามารถกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และส่งผลให้การทำงานของอวัยวะที่มีปัญหาแย่ลง​คำแนะนำเบื้องต้น: ผู้ป่วยโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการดูแลตัวเองในช่วงค่าฝุ่นสูง และพกยาประจำตัวติดตัวไว้เสมอ​- ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง: คนงานก่อสร้าง คนขับรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ หรือพ่อค้าแม่ค้าริมถนน เป็นกลุ่มที่ต้องสัมผัสกับฝุ่นในปริมาณมากและต่อเนื่อง การสูดฝุ่นเข้าไปทุกวันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจในระยะยาว​คำแนะนำเบื้องต้น: หากต้องทำงานกลางแจ้งในช่วงค่าฝุ่นสูง ควรสวมหน้ากาก N95 อย่างถูกวิธี และพักในพื้นที่ปลอดฝุ่นเท่าที่เป็นไปได้ ​นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่ควรใส่ใจด้วย เช่น ​- ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง: การหายใจเร็วขึ้นขณะออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายรับฝุ่นเข้าไปในปริมาณมากกว่าปกติ ​- ผู้ที่สูบบุหรี่: ฝุ่นละอองยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดและโรคหัวใจในผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่อยู่แล้ว ​ไม่ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ การป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรต้องทำ เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการใส่ใจ และดูแลตัวเองในทุกวัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ฝุ่นที่รุนแรงแบบนี้​เนื้อหาโดย คุณ เพชรรินทร์ พงษ์เพ็ชรกูล สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ LEED AP BD+C, WELL AP, Fitwel Ambassador, TREES-A NC, ActiveScore AP, RISC​

206 viewer

นวัตกรรมพร้อมรับมือฝุ่นพิษ PM2.5

โดย RISC | 1 เดือนที่แล้ว

หลังปีใหม่มานี้ หลายคนคงตื่นขึ้นมาเห็นหมอกขาวๆ ปกคลุมไปทั่ว แต่พอเปิด Application หรือเครื่องวัดคุณภาพอากาศขึ้นมา กลับกลายเป็นค่าฝุ่นพิษที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ​ ปัญหาฝุ่นพิษกำลังเป็นสิ่งเรากำลังเผชิญอย่างหนักในปีนี้ ที่ดูเหมือนจะรุนแรง และนานขึ้นจนเริ่มกระทบกับสุขภาพใครหลายๆ คน แล้ว...เราจะต้องอยู่กับฝุ่นพิษนี้ไปตลอด?​ RISC จึงไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมหอฟอกอากาศ “ฟ้าใส” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับคนไทย ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาตั้งแต่ ฟ้าใส 1, ฟ้าใส 2 และ Fresh One และได้ทำการติดตั้งในพื้นที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค ช่วยลดค่าฝุ่นได้ 50% มหาวิทยาลัยพะเยา ช่วยลดค่าฝุ่นได้ 40% นับว่าเป็นการสร้าง "เซฟโซน" ที่มีสภาพอากาศที่ปลอดภัยภายนอกอาคาร ปัจจุบัน RISC ยังคงพัฒนาเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ๆ ซึ่ึ่ง “ฟ้าใส” รุ่นล่าสุดได้ออกแบบให้เคลื่อนย้ายง่าย และติดตั้งได้สะดวกในทุกพื้นที่ จนกลายมาเป็นหอฟอกอากาศอัตโนมัติแบบไฮบริด "ฟ้าใสมินิ" ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ประสิทธิภาพการทำงานฟอกอากาศระยะไกลสูงสุดที่ 50 เมตร เทียบเท่าต้นไม้ในการฟอกอากาศถึง 700 ต้น (อ้างอิงผลจากห้องปฎิบัติการทดสอบฟ้าใส) และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมทั้งไวรัสอีกด้วย​ ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปริมาณฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงขึ้น หอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” ได้แสดงประสิทธิภาพในการลดปริมาณฝุ่นเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ จากข้อมูลการตรวจวัดล่าสุด ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 08:30 น. มีรายละเอียดดังนี้​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 อ้างอิงจาก AirVisual: 147 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ค่าเฉลี่ยช่วงเวลา 08:00-09:00)​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 อ้างอิงจากเครื่องมือวัดในพื้นที่ 152 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร​📌 ค่าฝุ่น PM2.5 บริเวณหน้าหอฟอกอากาศฟ้าใสมินิ ลดลงเหลือ 63 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร​ จากการลดค่าฝุ่นดังกล่าว หอฟอกอากาศ “ฟ้าใสมินิ” แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยลดค่าฝุ่นในพื้นที่ได้ถึง 60% ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ ทำความรู้จักกับ "ฟ้าใส มินิ" หอฟอกอากาศ “ฟ้าใส มินิ” นำหลักการมาจากหอดักจับมลพิษอุตสาหกรรมแบบเปียก (Venturi Scrubber) เพื่อสร้างต้นแบบหอฟอกอากาศอัตโนมัติแบบไฮบริด (Hybrid Air Purifier Tower ออกแบบภายใต้แนวคิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางสุขภาวะ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น “ฟ้าใส มินิ” มีจุดเด่นที่ต่างกับฟ้าใสทั้ง 2 รุ่น คือ ขนาดเล็กกว่า เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้ายและติดตั้ง ส่วนประสิทธิภาพการทำงานฟอกอากาศ ฝุ่น PM2.5 และความสามารถในการฆ่าแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสได้ ยังใกล้เคียงกับทั้ง 2 รุ่น​ “ฟ้าใส มินิ” ลดขนาดของตัวเครื่องลงเหลือความสูงเพียง 3.20 เมตร และฐานกว้าง 1.35 เมตร เพื่อเข้าถึงพื้นที่ติดตั้งได้ง่าย ขนาดของพัดลมขาเข้า 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง จำนวน 2 ใบพัด รวมเป็น 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ขนาดของพัดลมขาออก 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง หรือครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1 สนามฟุตบอลต่อชั่่วโมง​ หลักการทำงานของ “ฟ้าใส มินิ” เริ่มต้นจากการดูดอากาศจากผนังด้านข้างด้วยพัดลมดูดอากาศเข้าไปใน chamber รูปทรงกระบอก ผ่านระบบหัวฉีดสเปรย์ จนเกิดรูปแบบไซโคลน (cyclonic pattern) โดยอากาศจะผ่านหัวพ่นละอองน้ำความเร็วสูง 2 ชั้นผสมกับการออกแบบแผ่นโครงสร้างดักฝุ่นละออง และเพิ่มแรงตึงผิวให้กับน้ำเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถดักจับฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ที่มีขนาดเล็กกว่าฝุ่น PM2.5 และ PM10 อากาศที่ออกมาจะผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบ UVGI เพื่อให้เกิดอากาศสะอาด และปล่อยลมออกมาในตำแหน่งที่คนใช้งาน มีใบพัดช่วยดึงให้ได้ปริมาตรตามต้องการ ประสานระบบพลังงานไฮบริด ใช้พลังงานไฟฟ้า 600-3,000 วัตต์ต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณฝุ่นในแต่ละวัน และใช้ปริมาณน้ำในระบบเพียง 50 ลิตรต่อวัน และมีระบบหมุนเวียนน้ำบางส่วนให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยเทคโนโลยีโอโซน และระบบกรองน้ำ ก่อนหน้านี้ RISC ได้พัฒนา “ฟ้าใส” และนวัตกรรมฟอกอากาศมาหลายรุ่น ซึ่งตอบโจทย์แตกต่างกัน สามารถดูข้อมูลและทำความรู้จักแต่ละรุ่นได้เพิ่มเติม ตามลิงก์ที่แนบนี้​ข้อมูล “ฟ้าใส 1” https://web.facebook.com/riscwellbeing/videos/494956578093907/ ​ข้อมูล “ฟ้าใส 2” https://web.facebook.com/riscwellbeing/posts/2746237258972773 ​ข้อมูล “Fresh One” https://web.facebook.com/riscwellbeing/posts/2494077847522050​ หากหน่วยงานหรือสนใจข้อมูล “ฟ้าใส” เพิ่มเติมได้ที่ คุณ นิสิต วิชัยสกุล บริษัท ดี ซูพรีม จำกัด มือถือ 061-789-2687 เมล์ nisit_wi@dtgo.com​ เนื้อหาโดย คุณ ณพล เกียรติก้องมณี สถาปนิกวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญระดับ TREES-A, Building Technology, Intelligent Systems, Innovative Solutions, RISC

395 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา

© 2025 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน