Knowledge - RISC

Knowledge Sustainnovation

Sustainnovation

"การออกแบบและงานระบบป้องกันน้ำท่วม" ทำได้อย่างไร?

โดย RISC | 1 ปีที่แล้ว

เข้าสู่หน้าฝนทีไร ปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนต้องว้าวุ่น!! คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้ำ ว่าจะเข้ามาท่วมบ้านเรารึเปล่า? หรือท่วมแล้วเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง?​ทุกความว้าวุ่นกังวลใจเหล่านี้ จริงๆ แล้วสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบและจัดการเรื่องงานระบบป้องกันน้ำท่วม ซึ่งมีหลายขั้นตอนและปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา เพื่อสร้างระบบให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยขั้นตอนจะมีตั้งแต่...​- การประเมินความเสี่ยง: เริ่มต้นการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ของเรา อย่างเช่น ประเมินแหล่งน้ำที่อาจเกิดน้ำท่วม ความเสี่ยงจากพายุ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของน้ำท่วม ดังนั้นผู้ที่ออกแบบแปลนพื้นที่ภายในบริเวณบ้านต้องสำรวจระดับความสูงของน้ำในปีที่ผ่านมา หรืออาจจะย้อนหลังเป็น 10 ปี เพื่อที่จะหาระดับของพื้นที่บ้านให้เหมาะสมในการสร้างบ้าน​- การออกแบบระบบระบายน้ำ: ออกแบบระบบระบายน้ำให้มีความเหมาะสม เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฝนตกหนักหรือน้ำท่วม ซึ่งระบบนี้สามารถรวมถึงรางน้ำ ท่อระบายน้ำ และอาจจะมีระบบสูบน้ำทิ้ง หากบ้านอยู่ต่ำกว่าระดับระบายน้ำของสาธารณะ​- การป้องกันการซึมเข้าบ้าน: มีหลายเหตุการณ์ที่ตัวบ้านอยู่ต่ำกว่าระบบระบายน้ำของสาธารณะ ส่งผลให้น้ำสามารถซึมลอดผ่านเข้ามาตามท่อระบายน้ำได้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน เราอาจต้องเตรียม "ซีลเลอร์" หรือ วัสดุป้องกันน้ำซึม เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่เข้ามาผ่านช่องโหว่ หรือรอยร้าวในโครงสร้าง เช่น ซีลเลอร์คอนกรีต และกระสอบทรายอุดตามบ่อพักของระบบระบายน้ำ​- การสร้างกำแพงและอุปกรณ์ป้องกัน: การสร้างกำแพงหรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้ามาในพื้นที่ เป็นขั้นตอนสุดท้ายแต่เป็นขั้นตอนที่ต้องป้องกันแรกสุด คือ ทำกำแพงหรือออกแบบประตูที่สามารถใช้งานอุปกรณ์ป้องกันน้ำแบบง่าย เช่น ประตูป้องกันน้ำท่วม​หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมก่อกำแพง หรือกั้นกระสอบทราย และใช้วัสดุอุดรอยต่อเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าสู่ตัวบ้านอย่างมั่นคงแข็งแรงแล้วยังเกิดเหตุน้ำท่วมภายในบ้านอีก”​นั่นก็เพราะยังมีจุดที่มักจะถูกมองข้าม และทำให้เกิดความล้มเหลวในการป้องกันน้ำจากภายนอกเข้ามาในตัวบ้าน นั่นก็คือ “ระบบท่อน้ำทิ้ง” นั่นเอง​โดยปกติแล้วน้ำทิ้งจะไหลออกจากตัวอาคารผ่านท่อน้ำทิ้งที่อยู่สูงกว่า ลงสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะที่อยู่ต่ำกว่า แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมระดับน้ำในท่อระบายน้ำสาธารณะจะสูงกว่าระดับท่อน้ำทิ้ง จึงทำให้น้ำจากภายนอกไหลย้อนกลับเข้ามาในตัวบ้าน ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันน้ำไหลย้อนกลับทางท่อน้ำทิ้งด้วย​“ระบบป้องกันน้ำไหลย้อน” เป็นระบบที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับเข้ามาในตัวบ้านผ่านทางท่อน้ำทิ้ง (หรือท่อประปา) ซึ่งจะใช้ได้ในกรณีที่เราสามารถป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้ามาในตัวบ้านผ่านทางอื่นๆ ได้ (ระบบนี้ใช้ได้กับกรณีที่ระดับน้ำท่วมภายนอกสูงประมาณ 50 – 60 ซม.) หลักการทำงานของระบบป้องกันน้ำไหลย้อน เพื่อป้องกันน้ำท่วมจากภายนอกที่มีระดับน้ำสูงกว่าไหลย้อนเข้ามาในบ้านผ่านระบบท่อน้ำทิ้ง โดยขนาดของระบบป้องกันน้ำไหลย้อนจะมีขนาดแตกต่างกันไปตามขนาดและปริมาณการใช้น้ำในแต่ละบ้าน อย่างเช่น บ้านขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ควรสร้างบ่อพักน้ำเสียขนาดไม่น้อยกว่า 50 x 50 x 50 ซม. (กว้าง x ยาว x ลึก) และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการติดตั้งเครื่องสูบน้ำหรือปั๊มไดโว่ (เครื่องสูบน้ำหรือปั๊มไดโว่ต้องใช้ไฟฟ้า จึงควรเดินสายไฟฟ้าเข้าไปยังภายในตัวบ้าน เพื่อให้สะดวกต่อการปิด-เปิดระบบสูบน้ำ) ที่มีขนาดท่อสูบน้ำเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว เพื่อต่อท่อ PVC หรือสายยางเพื่อสูบออกไปภายนอกอาคารหรือนอกรั้ว แล้วทำการติดตั้งวาล์วน้ำ (ประตูน้ำหรือวาล์วปีกผีเสื้อขนาด 6 นิ้ว) หรือใช้วิธีติดตั้งชุดท่อสั้นฝาปิดหน้าจาน ให้กับท่อน้ำทิ้งที่จะระบายน้ำจากบ่อพักน้ำเสียออกไปยังท่อระบายน้ำสาธารณะ เพื่อปิดในกรณีที่ระดับน้ำภายนอกสูงกว่าภายใน และเปิดเมื่อระดับน้ำภายในสูงกว่าภายนอก​หลังจากที่ระบบป้องกันน้ำท่วมถูกสร้างขึ้นแล้ว ควรหมั่นทำการทดสอบระบบ ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เช่น ก่อนเข้าหน้าฝนต้องตรวจสอบ ระบบระบายน้ำว่ามีสิ่งอุดตันในระบบหรือเปล่า ที่จุดเชื่อมต่อกับระบบระบายน้ำสาธารณะถ้ามีการติดตั้งระบบสูบน้ำต้องตรวจสอบตัวเครื่องจักร หรือเตรียมเชื้อเพลิงให้พร้อม หรือจะเป็นปั๊มที่ใช้ระบบไฟฟ้าก็ควรตรวจสอบการชำรุดของสายไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ในระบบให้มีความพร้อมใช้งานตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้งานอย่างทันท่วงทีและปลอดภัย​นอกจากนี้ ควรมีแผนการปฏิบัติฉุกเฉินเมื่อเกิดน้ำท่วม การเตรียมตัวของสมาชิกในบ้านจะได้ไม่เกิดความตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์ รวมทั้งประเมินผลหลังจากน้ำท่วม เพื่อดูว่าระบบป้องกันน้ำท่วมทำงานดีหรือไม่ หรือต้องมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกหรือไม่ในอนาคต​เนื้อหาโดย คุณ มนตรี ภูแล่นคู่ วิศวกรวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญด้าน Well-Being Research Integration และ Building Infrastructure, RISC

1353 viewer

กลิ่นที่มาจากท่อของคอนโด เกิดจากอะไร?

โดย RISC | 1 ปีที่แล้ว

ปัญหาเรื่อง “กลิ่นเหม็นจากท่อ” อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนต้องเคยเจอ โดยเฉพาะคนที่อยู่คอนโด อาคารสูงๆ หรือโรงแรมต่างๆ แล้วกลิ่นที่ว่ามันเกิดมาจากอะไร?​ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า อาคารสูง คอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ หรือโรงแรมนั้นใช้ระบบถังเก็บของเสียหรือบ่อบำบัดน้ำเสียเป็นระบบรวมที่ถังเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ใช้อาคารนั้นมักจะคิดว่า ท่อในอาคารน่าจะแยกกันระหว่างท่อของโถชักโครก หรือ ท่อรวบรวมที่ถ่ายหนัก และท่อสำหรับระบายน้ำต่างๆ เช่น ท่อระบายน้ำเสียห้องครัว ท่อระบายน้ำจากถังซักผ้า หรือท่อระบายน้ำจากห้องน้ำที่เรียกว่า Floor Drain แต่จริงๆ แล้วถูกต้องครึ่งนึง นั่นก็เพราะมีการแยกท่อย่อยในแต่ละห้องแต่ละยูนิต แต่สุดท้ายปลายทางก็จะไปรวมในถังเหมือนเดิม​ ส่วนสาเหตุที่มีกลิ่นเหม็น หลักๆ ก็มาจากการไม่ดูแลบ่อบำบัดหรือถังบำบัดน้ำเสีย โดยเฉพาะการเติมอากาศ เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการกำจัดกลิ่นได้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และอีกสาเหตุมาจากของเสียที่ค้างในส่วนของท่อ P-tap หรือ U-tap ที่บางครั้งผู้อยู่อาศัยอาจลืมหรือเทของบูดเน่าลงไปที่ซักล้างจนไปสะสมในท่อระบายน้ำ​ปัจจุบันทางผู้ออกแบบระบบสุขาภิบาลอาคารก็ได้พยายามออกแบบและมีวิธีป้องกันกลิ่นที่มาจากท่อหลายวิธี อย่างเช่น...​- การบำรุงรักษาถังบำบัดน้ำเสียให้มีระบบเติมอากาศแบบอัตโนมัติ และมีการออกแบบสำรองอุปกรณ์ เมื่อตัวเติมอากาศชำรุด จะได้มีอีกตัวคอยทดแทน​- ผู้ออกแบบมีการออกแบบระบบระบายอากาศออกจากถังบำบัดในกรณีที่เกิดแก๊สไข่เน่าเป็นจำนวนมาก​- ในส่วนของห้องพักในแต่ละยูนิต ที่ท่อระบายน้ำของตัวสุขภัณฑ์ต่างๆ จะมี U-tap หรือ P-tap ติดตั้งไว้กันกลิ่นย้อนกลับ แต่ต้องคอยตรวจสอบไม่ให้น้ำแห้งซึ่งจะทำให้เกิดกลิ่นย้อนมาจากระบบถังบำบัดได้​- ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันกลิ่นที่ Floor Drain ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้า หรือห้องซักล้าง โดยการทำงานของอุปกรณ์ชนิดนี้ จะเปิดให้น้ำไหลลงและจะปิดดักกลิ่นเมื่อน้ำไหลลงจนหมด ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่อยู่ในท้องตลาด สามารถหาซื้อได้ง่าย ใช้สำหรับกันกลิ่นและแมลงได้  โดยราคามีตั้งแต่หลัก 100 บาทขึ้นไป​ นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมด สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะช่วยลดกลิ่นในระบบระบายน้ำเสียลงได้ ก็คือ ควรแยกขยะที่จะเป็นสาเหตุของกลิ่นเน่าเสียต่างๆ ออกไปทิ้งต่างหาก ไม่ควรเทลงระบบระบายน้ำสียถ้าไม่จำเป็น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ท่อน้ำในอาคารไม่มีกลิ่นได้แล้ว​เนื้อหาโดย คุณ มนตรี ภูแล่นคู่ วิศวกรวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญด้าน Well-Being Research Integration และ Building Infrastructure, RISC​

5424 viewer

งานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ จะจดสิทธิบัตรได้ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?

โดย RISC | 1 ปีที่แล้ว

“ทรัพย์สินทางปัญญา” คำนี้ เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นหูกันมาบ้าง ซึ่งหากเป็นเมื่อหลายปีก่อน คำที่เราเรียกใช้หรือได้ยินกันจนติดหูจะเป็นคำว่า “ลิขสิทธิ์” มากกว่า​ซึ่งจริงๆ แล้ว ทรัพย์สินทางปัญญา หรือ IP (Intellectual Property) จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ก็คือ ลิขสิทธิ์ (Copyright) และทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial Property) นั่นเอง​“ลิขสิทธิ์” นั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ที่ให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวกับผู้สร้างสรรค์ และจะได้รับความคุ้มครองทันทีโดยไม่ต้องจดทะเบียน แต่...ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะมีลิขสิทธิ์ได้ โดยงานสร้างสรรค์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ก็มีตั้งแต่ วรรณกรรม, นาฏกรรม, ศิลปกรรม, ดนตรีกรรม, โสตทัศนวัสดุ, ภาพยนตร์, สิ่งบันทึกเสียง, แพร่เสียงแพร่ภาพ รวมทั้งงานอื่นๆ ที่เป็นวรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะขณะที่ “ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม” นั้นคือความคิดสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ อนุสิทธิบัตร และสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นหลักฐานในความเป็นเจ้าของให้กับผู้ประดิษฐ์ การคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ และป้องกันการละเมิด​แล้วงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์จะจดสิทธิบัตรต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?​การที่สิ่งประดิษฐ์จะขอรับสิทธิบัตรได้ ตามกฎหมายแล้วต้องเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ นั่นก็คือ... ​• ต้องมีความใหม่ (Novelty) ไม่ได้เป็นงานที่มีปรากฏอยู่แล้ว​• มีขั้นตอนในการประดิษฐ์สูงขึ้น (Inventive step) เป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่ผู้ที่มีความชำนาญในระดับสามัญของสาขาวิทยาการนั้น (กรณียื่นคำขอรับเป็นอนุสิทธิบัตร ไม่ได้ใช้เงื่อนไขข้อนี้ในการพิจารณา จึงทำให้การประดิษฐ์ส่วนใหญ่ มักจะเป็นอนุสิทธิบัตร)​• สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม (Industrial applicability) ได้​การที่เราจะขอยื่นจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์นั้น จึงต้องมีความแตกต่างของลักษณะทางเทคนิค และวิธีการทำงานที่ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ก็ยังมีกระบวนการอื่นๆ ที่ต้องใช้ในการขอยื่นจดสิทธิบัตร รวมถึงตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย​เนื้อหาโดย คุณ รวินท์ฐิสา แตงสุวรรณานนท์ ผู้จัดการด้านการจัดการระบบทรัพย์สินทางปัญญา, RISC​

1581 viewer

"Passive Cooling" ลดความร้อนให้บ้านด้วยวิธีธรรมชาติ

โดย RISC | 1 ปีที่แล้ว

เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ หลายคนอาจมองหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อช่วยคลายร้อน แต่สำหรับอีกหลายคนที่ต้องการพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ต่างก็มองหาวิธีที่ช่วยลดความร้อนในบ้านกัน ครั้นจะเปิดเครื่องปรับอากาศเพียงอย่างเดียว ก็กลัวว่าจะแบกรับค่าไฟไม่ไหว แล้วจะมีวิธีไหนบ้างล่ะ? ที่สามารถช่วยได้​ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึงตัวแปรของความสบายกันก่อน โดยความสบายของมนุษย์ (Human Comfort) จะมีองค์ประกอบหลากหลายด้าน ได้แก่ ความสบายเชิงอุณหภาพ (Thermal Comfort) คุณภาพอากาศ (Air Quality) ความสบายทางสายตา (Visual Comfort) หรือความสบายทางด้านเสียง (Acoustic Comfort) ซึ่งวันนี้เราพูดถึงเรื่องอากาศร้อน เราจะมาเน้นกันที่ “ความสบายเชิงอุณหภาพ” และแหล่งที่มาของความเย็นตามธรรมชาติ เพื่อหาแนวทางในการลดความร้อนให้กับบ้าน และทำให้เรารู้สึกสบายมากขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้​ตัวแปรของความรู้สึกสบายเชิงอุณหภาพของมนุษย์นั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ก็คือ...​• ตัวแปรที่เกิดจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อม (Environmental Factor) เช่น อุณหภูมิอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโดยรอบ และความเร็วลม​• ตัวแปรที่เกิดจากปัจจัยส่วนบุคคล (Human Factor)​ต่อไปเรามาลงรายละเอียดในเรื่องของ “ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อความรู้สึกสบายเชิงอุณหภาพของมนุษย์” กัน​อย่างแรก อุณหภูมิอากาศ (Air Temperature) ก็คือ อุณหภูมิอากาศกระเปาะแห้งที่วัดค่าได้จากเทอร์โมมิเตอร์ โดยช่วงขอบเขตของความสบายจะอยู่ที่ 22-27 องศาเซลเซียส ส่วนค่าระดับของความสบายที่เหมาะสมที่สุดนั้นจะอยู่ที่ 24-25 องศาเซลเซียส​ ต่อมา ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ก็คือ สัดส่วนของปริมาณความชื้นในอากาศเปรียบเทียบกับปริมาณความชื้นสูงสุดที่อากาศสามารถรับได้ โดยไม่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ซึ่งช่วงขอบเขตของความสบายจะอยู่ที่ 20-75 %RH ส่วนค่าระดับของความสบายที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ที่ 55±5 %RH​อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโดยรอบ (Mean Radiant Temperature, MRT) คือ ค่าเฉลี่ยของปริมาณรังสีความร้อนที่มีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโดยรอบเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาเซลเซียส ก็จะส่งผลให้มนุษย์รู้สึกร้อนขึ้นหรือเย็นลง ประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส​และสุดท้ายคือ ความเร็วลม (Air Velocity) โดยมีช่วงขอบเขตของความสบายอยู่ที่ 0.05-1.00 เมตร/วินาที ซึ่งสามารถรับรู้ได้ว่ามีความเคลื่อนไหวของอากาศ โดยที่ความเร็วลมต้องไม่น้อยเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด หรือมากเกินไปจนรบกวนทำให้เกิดความรำคาญ สำหรับมนุษย์อย่างเราจะรู้สึกเย็นลง 0.4 องศาเซลเซียส เมื่อความเร็วลมเพิ่มขึ้น 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือประมาณ 0.28 เมตร/วินาที​เมื่อเรารู้ถึงปัจจัยทางสภาพแวดล้อมของตัวบ้านที่ส่งผลให้เรารู้สึกร้อนหรือเย็นแล้ว ต่อไปเราจะมาดูแหล่งที่มาของความเย็นที่มีอยู่โดยรอบบ้านเรา ก่อนนำไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับปรุง เพื่อช่วยลดความร้อนให้กับบ้านของเราสำหรับแหล่งที่มาของความเย็นตามธรรมชาติ ก็จะมีตั้งแต่...​ความเย็นจากพื้นดิน (Earth) มีทั้งความเย็นจากใต้ดินรวมถึงความเย็นจากใต้แหล่งน้ำในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากไม่ได้รับอิทธิพลทางความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ จึงทำให้มีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิอากาศภายนอกทั่วไป และมีความคงที่สม่ำเสมอตลอดทั้งวัน อุณหภูมิดินโดยเฉลี่ยของประเทศไทย ที่ความลึก 1 เมตร จากผิวดิน จะอยู่ที่ประมาณ 26-28 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิน้ำจากแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีความลึกตั้งแต่ 1.50 เมตร ขึ้นไป โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส​การระเหยของน้ำ (Evaporation) ได้แก่ การระเหยที่ผิว (Surface) ทั้งจากผิวของแหล่งน้ำและจากผิวของวัสดุที่มีการดูดซับน้ำไว้ และการคายน้ำของพืชพรรณ (Transpiration) ซึ่งเป็นการดึงพลังงานความร้อนจากสภาพแวดล้อมเพื่อใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากน้ำกลายเป็นไอน้ำ ส่งผลให้อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นลดลง โดยที่การระเหยของน้ำนั้นใช้พลังงานความร้อน 2.3 เมกะจูล/กิโลกรัม (2,200 บีทียู/ชั่วโมง) ในการทำให้น้ำ 1 ลิตร เปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอ​กระแสลม (Wind) จะช่วยพาความร้อนและความชื้นออกจากตัววัตถุและผิว รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการระเหยของเหงื่อ ซึ่งเป็นการคายความร้อนออกจากร่างกายของมนุษย์ แต่ความเร็วลมเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ คือไม่เกิน 4 เมตร/วินาที (ประมาณ 1 เมตร/วินาที ที่ระดับความสูง 10 เมตร จากพื้นดิน) จึงจำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบเพื่อรับลม เพิ่มความเร็วลม หรือลดอุณหภูมิของลมก่อนเข้าสู่ตัวอาคาร​ความเย็นจากท้องฟ้า (Sky) เนื่องจากอุณหภูมิพื้นหลังจักรวาล (Background Temperature of the Universe) นั้นมีอุณหภูมิต่ำมากถึง -270 องศาเซลเซียส (2.735 องศาเคลวิน) ส่งผลให้อุณหภูมิของท้องฟ้าเมื่อไม่ได้รับอิทธิพลจากรังสีดวงอาทิตย์ จะมีช่วงอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ -70 องศาเซลเซียส (203 องศาเคลวิน) และเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าใกล้พื้นดิน หากมองแบบเข้าในง่ายๆ ท้องฟ้าจึงเป็นแหล่งความเย็นอันมหาศาลนั่นเอง​ร่มเงา (Shading) แหล่งที่มาของความร้อนบนพื้นผิวโลกที่มีอิทธิพลสูงที่สุด ก็คือ รังสีดวงอาทิตย์ การป้องกันความร้อนและเพิ่มความเย็นให้กับวัตถุและสภาพแวดล้อมที่ดี จึงเป็นการสร้างร่มเงาเพื่อป้องกันความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 14:00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลความร้อนสูงที่สุด การสร้างร่มเงาจะสามารถลดความร้อนได้ถึง 5 เท่าเลยทีเดียวหลังจากที่เรารู้ทั้งปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและแหล่งความเย็นตามธรรมชาติโดยรอบบ้าน ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการพิจารณาว่า มีวิธีการใดบ้าง? ที่สามารถประยุกต์ใช้กับบ้านของเราได้ตามแนวทางการออกแบบอาคารเพื่อการปรับเย็นตามธรรมชาติ​การทำความเย็นจากพื้นดิน (Earth Cooling)​• การใช้ประโยชน์จากดิน ซึ่งสามารถสร้างความเย็นจากดินที่ความลึก 0.60 เมตร ซึ่งมีอุณหภูมิของดินอยู่ที่ประมาณ 26-28 องศาเซลเซียส ควรมีร่มเงาจากไม้ต้นหรือพืชคลุมดิน เพื่อป้องกันการรับอิทธิพลความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ และอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือมีการรดน้ำเพื่อให้มีความชื้นในดินสูง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำ และทำให้อุณหภูมิของดินลดต่ำลง​• การใช้ประโยชน์จากน้ำ โดยที่เราสามารถสร้างความเย็นจากน้ำที่ความลึก 1.50 เมตร ซึ่งมีอุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส และควรมีร่มเงา รวมทั้งอาจเพิ่มการระเหยของน้ำโดยการเพิ่มความเร็วลม หรือการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสอากาศ อย่างเช่น การติดตั้งน้ำพุ น้ำตก หรือแม้แต่กังหันน้ำ​การทำความเย็นด้วยการระเหยของไอน้ำ (Evaporative Cooling)​• การออกแบบแหล่งน้ำ โดยแหล่งน้ำที่มีความกว้าง 32 เมตร ที่ไม่ได้รับอิทธิพลความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ สามารถทำความเย็นให้กับสภาพแวดล้อมเทียบเท่าเครื่องปรับอากาศประมาณ 1 ตันความเย็น (12,000 บีทียู/ชั่วโมง)​• การเลือกชนิดต้นไม้ โดยปกติต้นไม้ที่มีอัตราการคายน้ำ 5.5 ลิตร/ชั่วโมง (65 ลิตร/วัน) จะสามารถทำความเย็นให้กับสภาพแวดล้อมเทียบเท่าเครื่องปรับอากาศประมาณ 1 ตันความเย็นเช่นกัน​• การเลือกวัสดุพื้นผิวภายนอกอาคาร ซึ่งมีตั้งแต่วัสดุที่มีค่าการดูดซึมน้ำและการระเหยของน้ำสูง (High Water Absorption and High Evaporation), วัสดุที่มีค่าการดูดซับความร้อนต่ำ (Low Thermal Absorption) เช่น วัสดุที่มีสีอ่อน (Light Color) หรือวัสดุมวลสารต่ำ (Low Mass) และความหนาแน่นน้อย (Low Density), วัสดุที่มีค่าการแผ่รังสีสูง (High Emissivity) เช่น วัสดุพื้นผิวขรุขระ (Rough Surface) หรือวัสดุพื้นที่ผิวมาก (Large Surface Area)​การระบายอากาศตามธรรมชาติ (Natural Ventilation)​• การเพิ่มปริมาณลม โดยการวางทิศทางอาคารและการออกแบบรูปทรงอาคารที่มีการรับลมให้สัมพันธ์กับทิศทางลมประจำของสถานที่ตั้งนั้นๆ​• การเพิ่มความเร็วลม โดยการออกแบบต้นไม้และเนินดิน เช่น การจัดวางแนวต้นไม้บังคับทิศทางลมตามลำดับความสูง โดยสัดส่วนของช่องลมเข้าต่อช่องลมออกเท่ากับ 1.75 : 1 หรือการออกแบบเนินดินที่มีความลาดชัน 30 องศา​• การลดอุณหภูมิลม ด้วยแหล่งน้ำ ต้นไม้ และวัสดุพื้นผิว เช่น การวางตำแหน่งของแหล่งน้ำที่มีร่มเงา รับทิศทางลมก่อนเข้าสู่ตัวอาคาร, การเลือกชนิดต้นไม้ที่มีทรงพุ่มแผ่กว้างเพื่อสร้างร่มเงา และลำต้นสูงโปร่งเพื่อไม่บดบังการเคลื่อนที่ของลม, การเลือกวัสดุพื้นผิวภายนอกที่มีร่มเงาและมีการระเหยของน้ำ รับทิศทางลมก่อนเข้าสู่ตัวอาคาร​​การแผ่รังสีกลับสู่ท้องฟ้าในเวลากลางคืน (Night Sky Radiation)​การออกแบบหลังคา ควรเลือกวัสดุเคลือบผิวหลังคาที่มีค่าการแผ่รังสีสูง (Emissivity) มากกว่า 0.9 ซึ่งสามารถแผ่รังสีความร้อนกลับสู่ท้องฟ้าในเวลากลางคืนได้ดี และวัสดุหลังคาควรมีมวลสารน้อย เพื่อให้เก็บกักความร้อนน้อย และสามารถคายความร้อนได้รวดเร็ว นอกจากนี้ องศาความลาดชันของหลังคาครลาดชันประมาณ 15-30 องศา สำหรับพื้นที่ที่ต้องการรวบรวมความเย็น โดยพื้นที่หลังคาที่สัมผัสกับท้องฟ้าโดยตรง จะสามารถเก็บกักความเย็นในตอนกลางคืนได้ประมาณ 7 บีทียู/ชั่วโมง/ตารางฟุต​การป้องกันความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ (Solar Radiation Protection)​• การป้องกันความร้อนด้วยการออกแบบภูมิทัศน์ โดยการปลูกต้นไม้นั้นสามารถให้ร่มเงาแก่พื้นที่โดยรอบได้ และยังช่วยลดความร้อนจากการรับรังสีดวงอาทิตย์โดยตรง นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับความร้อน และเพิ่มการระเหยของน้ำด้วยการคายน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดิน แต่ความสามารถในการให้ร่มเงาจะแปรตามปัจจัยต่างๆ ทั้งเรื่องรูปทรงของต้นไม้ ความสูง ขนาดทรงพุ่ม ความหนาแน่น (ทึบ-โปร่ง) ของพุ่มใบ และขนาดของใบ สำหรับการเลือกชนิดพืชพรรณ จะมีแนวทางที่แตกต่างกันตามทิศทางของช่องเปิดที่ต้องการป้องกันความร้อน ตามนี้​    ทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ได้รับผลกระทบจากรังสีดวงอาทิตย์ในมุมสูง และปริมาณมากที่สุดตลอดปี จึงควรเลือกพืชที่มีลักษณะ...​    - รูปทรงสูง และแผ่กว้าง (Spreading) ความสูงลำต้นควรสูงกว่าระดับความสูงของผู้ใช้งาน ณ บริเวณพื้นที่ใช้สอยนั้นๆ​    - พุ่มใบเปิดเป็นชั้น ให้ร่มเงาในแนวแกนนอน (Horizontal shading) กันแดดในมุมสูงได้ดี และยอมให้ลมผ่านได้​    - ไม่ผลัดใบในช่วงฤดูร้อน​    - อัตราการคายน้ำประมาณ 5.5 ลิตร ต่อ ชั่วโมง​    - มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นละอองและสารพิษ​    ทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ได้รับผลกระทบจากรังสีดวงอาทิตย์ในมุมต่ำ และรุนแรงในช่วงบ่ายถึงเย็นของวัน จึงควรเลือกพืชที่มีลักษณะ...​    - รูปทรงสูงแบบ Column หรือ Cone หรือ Pyramid ปลูกในลักษณะเป็นแนวป้องกัน (Buffer)​    - พุ่มใบให้ร่มเงาในแนวแกนตั้ง (Vertical shading) กันแดดในมุมต่ำได้ดี และยอมให้ลมผ่านได้​    - ไม่ผลัดใบในช่วงฤดูร้อน​    - อัตราการคายน้ำประมาณ 5.5 ลิตร ต่อ ชั่วโมง​    - มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นละอองและสารพิษ​• การป้องกันความร้อนด้วยการออกแบบอาคาร การออกแบบรูปทรงอาคาร หลังคา และอุปกรณ์บังแดด ตามตำแหน่งที่ตั้งและทิศทางการวางอาคาร โดยการสังเกตทิศทางของแสงแดดที่บ้านของเราในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของแต่ละพื้นที่ที่เราต้องการบังแดด หรือช่วงเวลา 14:00 น. ของแต่ละวัน แล้วจึงเลือกอุปกรณ์บังแดดที่สามารถติดตั้งได้อย่างเหมาะสมในแต่ละพื้นที่นั้นๆ​​จากที่เรากล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปแนวคิดการลดความร้อนให้บ้านด้วยวิธีธรรมชาติที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามนี้...​• กางร่มให้กับตัวบ้านและพื้นที่ใช้งานภายนอกบ้าน ด้วยการมีหลังคา กันสาด ชายคา หรือต้นไม้​• เปิดประตูหน้าต่าง เพื่อให้อากาศถ่ายเท โดยระวังไม่นำอากาศร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน หากมีข้อจำกัดด้านช่องเปิดสามารถติดตั้งพัดลมเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศได้​• ปลูกต้นไม้รอบบ้านให้มากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณช่องเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อให้ร่มเงา และสร้างแหล่งความเย็น หากพื้นที่ของบ้านมีพื้นที่มากพอ อาจเพิ่มบ่อน้ำ น้ำพุ หรือน้ำตก เพื่อเพิ่มเติมความเย็นจากการระเหยของน้ำได้​• ลดพื้นที่ดาดแข็ง ถนน หรือคอนกรีต และเลือกวัสดุปูพื้นภายนอกบ้านที่ช่วยดูดซึมน้ำและไม่สะสมความร้อน​​เนื้อหาโดย คุณ สริธร อมรจารุชิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ, Research Integration & Design Solutions for Well-Being, RISC​

4091 viewer

นวัตกรรมเพื่อผู้บกพร่องทางกาย เปลี่ยนสังคมให้เป็นของทุกคน

โดย RISC | 1 ปีที่แล้ว

สังคมเพื่อความอยู่ดีมีสุข หมายถึง สังคมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ของทุกชีวิต โดยทั้งพืชพันธุ์ สัตว์นานาชนิด จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความอยู่ดีมีสุข นอกจากนี้ การปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน พืชพันธุ์ และสัตว์ต่างๆ ยังสร้างความสุขให้กันได้อีกด้วย แต่ในสังคมปัจจุบันของเรา ผู้คนต่างแบ่งแยกและสื่อสารกันเองเฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีความบกพร่องทางกายและจิตใจมักถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มและสังคมที่แคบของคนที่มีความบกพร่องแบบเดียวกัน เช่น ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (amyotrophic lateral sclerosis: ALS)ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระได้เหมือนคนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีโอกาสในการประกอบอาชีพน้อยกว่า จากที่คนมักตัดสินว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถทำงานได้หากไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และขาดโอกาสในการศึกษาในช่วงวัยเด็ก ส่งผลให้เกิดการแปลกแยกจากสังคมและส่งผลให้โดดเดี่ยวมากขึ้น แล้วเราจะสามารถสร้างสังคมเพื่อให้คนกลุ่มนี้มีความสุขได้อย่างไร คำตอบนั้นไม่ยากนัก นั่นคือ การมองคนกลุ่มนี้ให้เหมือนกับเราทุกคน ให้สามารถเข้าถึงโอกาสในการศึกษาตั้งแต่วัยเด็ก เข้าสังคม ทำงาน และรู้สึกว่าพวกเขาช่วยเหลือสังคม เหมือนกันความสุขของเราท่ามกลางความแตกต่าง แต่ในความเป็นจริง ในสังคมปัจจุบันกลับมีกำแพงสูงกั้นไม่ให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงคนในสังคมอย่างมีความสุขได้  จึงทำให้ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและบริการล้ำสมัยมากมายที่พัฒนาเพื่อทลายกำแพงและช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้มีส่วนร่วมในสังคม รู้จักผู้คน และเอาชนะความโดดเดี่ยวอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีติดตามดวงตา (Eye-Tracking Technology)เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เราสามารถพิมพ์ ระบายสี และเล่นเกมเพียงแค่เคลื่อนสายตาไปตามจุดต่างๆ ที่ต้องการ เทคโนโลยีนี้ช่วยเปิดโอกาสด้านอาชีพสำหรับผู้มีความบกพร่องทางกาย โดยทำให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายหรือสนทนาได้ สามารถสื่อสารและทำงานบนคอมพิวเตอร์ได้เหมือนกับคนปกติ ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นผู้สร้างสรรค์และนวัตกรจากการเรียนรู้และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีจำนวนมาก ที่พัฒนาเพื่อช่วยคนกลุ่มนี้ให้สามารถสื่อสารได้ง่ายขึ้น รวมถึงนวัตกรรม OriHime eye ที่ช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และยังส่งเสริมให้วิศวกรและนวัตกรรังสรรค์นวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้อีกด้วยหุ่นยนต์ตัวแทนเสมือน (Avatar Robotics): การร่วมกันใช้จุดแข็งเพื่อความสำเร็จร่วมกันหุ่นยนต์ตัวแทนเสมือน (Avatar robots) ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้หรือผู้ป่วยติดเตียงด้วยการเป็นตัวแทนในการสื่อสารและพบปะผู้คนใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์ตัวจิ๋วที่สามารถวางบนไหล่ได้ ทำหน้าที่เหมือนเป็นคู่หู เป็นการเปิดโอกาสความร่วมมือระหว่างคนที่มีจุดแข็งต่างกัน ผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถใช้หุ่นยนต์ตัวแทนเสมือนในการสำรวจพื้นที่โลกได้ โดยอาศัยคนที่มองเห็นแต่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ทำหน้าที่เสมือนดวงตาและหูให้กับเพื่อน เพื่อสร้างการรับรู้และผจญภัยร่วมกันจากที่เห็นตัวอย่างข้างต้น เราควรเน้นเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาเพื่อโจทย์ต่อผู้ที่ต้องการได้ แม้เป็นเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันแต่สร้างความตระหนักรู้ด้านการสร้างความอยู่ดีมีสุขยิ่งขึ้นได้ แทนที่จะพึ่งพาหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ขาดความยืดหยุ่นและทักษะการสื่อสารแบบมนุษย์เพียงอย่างเดียว เราควรที่จะพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางกาย ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถสร้างวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยผู้ที่ประสบปัญหาได้อย่างตรงจุดเนื้อหาโดย ดิเฟย์ มิยาโอะ ที่ปรึกษาโครงการวิจัยเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS), ผู้เชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยี, RISCอ้างอิงข้อมูลจาก1) "A vision for a wellbeing society" by Nic Marks, New Economics Foundation2) "Social: Why Our Brains Are Wired to Connect" by Matthew D. Lieberman3) https://orylab.com/en/4) https://youtu.be/91BjginKFeU

770 viewer

รับข่าวสาร

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารกับเรา

© 2025 Magnolia Quality Development Corporation Limited - A DTGO Company
ผลลัพธ์
การยืนยัน
การยืนยัน